ช่วงนี้กำลังสนใจเรื่องประวัติศาสตร์จีนช่วงปลายราชวงศ์ จนมาถึงการสร้างชาติในระบบสาธารณรัฐ และจบด้วยชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
หนังสือที่ผมอ่านอยู่คือ "ดาวแดงเหนือแผ่นดินจีน" หรือ Red Star Over China ของ Edgar Snow นักข่าวฝรั่งคนแรกที่มีโอกาสได้สัมภาษณ์เหมา เจ๋อ ตุง ขณะกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า
ทีนี้ เหตุการณ์ปฏิวัติและสร้างชาติจีนยุคใหม่นั้นซับซ้อนมาก คือเอาแค่ระยะเวลาแบบ official ก็ยาวนานเกือบ 40 ปีแล้ว (นับจากปฏิวัติซินไห่ปี 1911 ถึงการประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949) ยังไม่รวมเหตุการณ์ก่อนหน้าและหลังจากนั้น
ส่วนตัวละครและฝักฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็มีมากมาย ตั้งแต่ฝ่ายราชวงศ์ชิง ฝ่ายขุนศึกของราชวงศ์ ฝ่ายขุนศึกหัวเมือง ฝ่ายปฏิวัติ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ฝ่ายจีนคณะชาติ ญี่ปุ่น สหรัฐ รัสเซีย ฯลฯ เยอะแยะไปหมด
ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจเรื่องราว บริบท สถานการณ์ในแต่ละช่วง ก็ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์จีนในยุคนั้นๆ ด้วย หลายวันที่ผ่านมาจึงใช้เวลาทำความเข้าใจเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร
ความเสื่อมถอยของราชวงศ์ชิง
ราชวงศ์ชิง (Qing) เป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน ขึ้นสู่จุดสูงสุดในสมัยจักรพรรดิเฉียหลง (Qianlong) จากนั้นก็เริ่มเสื่อมถอยหลังแพ้สงครามฝิ่นสองครั้งกับชาติตะวันตก
ราชวงศ์ชิงช่วงปลายเริ่มนับจากจักรพรรดิเสียนเฟิง (Xianfeng) (องค์ที่สี่จากท้าย) ครองราชย์เป็นระยะเวลาสั้นๆ 1850-1861 ช่วงนี้แพ้สงครามฝิ่นครั้งที่สอง จักรพรรดิสวรรคตไป แต่ตัวละครสำคัญของชิงช่วงปลายยังคงอยู่คือ พระสนมอี้ ซึ่งตอนหลังก็คือ "ซูสีไทเฮา" (Cixi) นั่นเอง
จักรพรรดิชิง 3 องค์สุดท้ายล้วนอยู่ใต้อิทธิพลของซูสีไทเฮาทั้งนั้น เริ่มจาก
- จักรพรรดิถงจื้อ (Tongzhi) ครองราชย์ 1861-1875 คนนี้เป็นลูกของซูสีไทเฮาเอง ครองราชย์ตอนอายุ 5 ขวบ ตายตอนอายุ 19 (ครองราชย์ประมาณ 13 ปี)
- จักรพรรดิกวังซวี่ (Guangxu) ครองราชย์ 1875-1908 เป็นหลานป้าของซูสีไทเฮา ครองราชย์ประมาณ 34 ปี ตายก่อนซูสีไทเฮา 1 วัน
- จักรพรรดิเซวียนถ่ง (Xuantong) ครองราชย์ 1908-1912 จักรพรรดิองค์สุดท้ายที่รู้จักในนาม "ปูยี" ถูกเลือกโดยซูสีไทเฮาก่อนตาย ตอนครองราชย์อายุ 2 ขวบ ตอนสละราชสมบัติอายุประมาณ 6 ขวบ
ซูสีไทเฮาเป็นผู้ปกครองราชวงศ์ชิงอยู่หลังม่านตั้งแต่ปี 1861 เปลี่ยนจักรพรรดิมาสององค์ จนกระทั่งกวังซวี่เริ่มโตพอจะปกครองประเทศได้ ซูสีไทเฮาก็วางมือและไปอยู่ในวังฤดูร้อนในปักกิ่งแทนในปี 1889 รวมระยะเวลาที่ปกครองล็อตแรกประมาณ 28 ปี
ซูสีไทเฮามีนโยบายอนุรักษ์นิยม หัวโบราณ สืบทอดอำนาจและขนบธรรมเนียมจากราชวงศ์ชิงมาครบถ้วน ซึ่งเริ่มล้าสมัยเมื่อเทียบกับโลกในยุคนั้น ในขณะที่จักรพรรดิกวังซวี่มีหัวปฏิรูปมากกว่า และใช้สอยขุนนางหัวใหม่ ซึ่งสุดท้ายเริ่มปฏิรูปประเทศในปี 1898 ที่เรียกว่า "ปฎิรูปร้อยวัน" (Hundred Days' Reform) แต่ไม่สำเร็จ เพราะขุนนางเก่าไปฟ้องซูสีไทเฮา ทำรัฐประหาร และกักตัวจักรพรรดิกวังซวีไว้ในตำหนักตลอดชีวิต
ซูสีไทเฮากลับมาปกครองประเทศอีก 10 ปี ก่อนจะสวรรคตในปี 1908 รวมเวลาปกครองจีนประมาณ 40 ปี (ถ้านับระยะเวลาทั้งหมดก็ประมาณ 50 ปี)
50 ปีของซูสีไทเฮานี้เป็นการกดไม่ให้สายปฏิรูป ขุนนาง นักศึกษารุ่นใหม่ๆ ได้เดินหน้านโยบายปฏิรูปประเทศ ช่วงปลายราชวงศ์จึงมีการกบฎหลายครั้ง ที่ใหญ่ที่สุดคือกบฎนักมวยในปี 1900 ที่ทำให้ซูสีไทเฮาต้องหนีไปอยู่ที่ซีอานพักหนึ่ง
ปฏิวัติซินไห่ 1911
ช่วงปลายของซูสีไทเฮา ก็มีกลุ่มคนจีนหัวใหม่ทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก พยายามเคลื่อนไหว ปลุกระดมเพื่อปฏิวัติราชวงศ์ชิง
คนที่โดดเด่นในตอนนั้นคือ ซุน ยัต เซ็น (เกิด 1866) ที่ได้รับการศึกษาด้านเภสัชฯ จากมิชชันนารีตะวันตก และไม่พอใจราชวงศ์ชิง เลยตั้งสมาคมซิงจงฮุ่ย (Xingzhonghui) ในปี 1894 โดยพยายามปลุกระดมประชาชนในมณฑลต่างๆ ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับราชวงศ์ชิง
ซุนยัตเซ็นโดนราชวงศ์ชิงล่า เลยต้องหนีไปอยู่ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา อยู่พักใหญ่ ซึ่งช่วงนี้ซุนยัตเซ็นก็ตั้งสมาคมใหม่ "ถงเหมิงฮุ่ย" (Tongmenghui) มีปฏิบัติการอยู่ในต่างประเทศ และได้เงินจากคนจีนโพ้นทะเลที่ไม่ชอบชิง (ช่วงนี้ซุนยัตเซ็นเข้ามาอยู่ในมาเลเซียและไทยด้วยพักหนึ่ง)
ระหว่างที่กลุ่มของซุนยัตเซ็นอยู่เมืองนอก ในจีนเองก็มีสมาคมอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรกันปลุกระดมให้ประชาชนลุกขึ้นสู้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็โดนปราบไปตลอด แกนนำคนสำคัญของถงเหมิงฮุ่ยในจีนคือ "หวงซิง" (Huang Xing) นายพลแปดนิ้ว (ซึ่งหนังเรื่องล่าสุดของเฉินหลง 1911 เขารับบทเป็นนายพลคนนี้)
หวงซิงปลุกระดมผู้คนมาหลายสิบครั้งก็ไม่สำเร็จ มาสำเร็จเอาตอนปี 1911 ในการประท้วงที่อู่ชาง (Wuhang uprising) ที่ฝ่ายปฏิวัติรบชนะทหารของชิงในเดือนตุลาคม 1911 จนทำให้เกิดซีรีส์การประท้วงและยึดเมืองชุดใหญ่ตลอดปี 1911 (ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดถูกเรียกว่า "การปฏิวัติซินไห่" หรือ Xinhai Revolution) หลายมณฑลเริ่มประกาศตัวเป็นอิสระจากรัฐบาลชิง
เนื่องจากช่วงนั้นจักรพรรดิปูยียังเด็ก และราชสำนักชิงก็ตกต่ำ อำนาจการสั่งการจึงเป็นของนายพล "หยวนซื่อไข่" (Yuan Shikai) ที่จะเป็นตัวละครสำคัญในอีกหลายปีข้างหน้า หยวนซื่อไข่เป็นผู้บัญชาการของกองทัพที่เก่งที่สุดของชิง ที่หมดอำนาจไปแล้วแต่ถูกเรียกตัวกลับมาสู้การปฏิวัติ
ปลายปี 1911 ฝ่ายปฏิวัติและฝ่ายของหยวนซื่อไข่ก็ตกลงกันได้ว่า จะเลิกระบบจักรพรรดิ หันมาใช้ระบบสาธารณรัฐ และเรียกตัวซุนยัตเซ็นกลับมาในช่วงปลายเดือนธันวาคม
สาธารณรัฐจีน (Republic of China) ก่อตั้งในวันที่ 1 มกราคม 1912 โดยให้ซุนยัตเซ็นเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว (provisional president) กษัตริย์ปูยีสละราชบัลลังก์ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ (แต่ยังอยู่ในวังไปอีกพักหนึ่ง ตามหนังเรื่อง The Last Emperor)
เรื่องเหมือนจะจบด้วยดี แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น
รัฐบาลเป่ยหยาง 1912-1916
เงื่อนไขการเจรจาระหว่างฝ่ายปฏิวัติและฝ่ายหยวนซื่อไข่คือ ถ้าหยวนซื่อไข่บีบให้จักรพรรดิสละราชสมบัติได้ ซุนยัตเซ็นจะมอบตำแหน่งประธานาธิบดีให้
หยวนซื่อไข่เป็นประธานาธิบดีคนที่สองในวันที่ 10 มีนาคม 1922 โดยใช้คณะรัฐมนตรีผสมระหว่างฝ่ายของหยวนซื่อไข่กับฝ่ายปฏิวัติ
ปี 1912 เป็นปีที่จีนเตรียมตัวเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งฝ่ายปฏิวัติก็ตั้งพรรคขึ้นมาลงเลือกตั้ง หลักๆ แล้วคือพรรคชาตินิยม หรือ ก๊กมินตั๋ง/กั๋วหมินตั่ง (Kuomintang - KMT) การเลือกตั้งมีในช่วงปลายปี 1912 ซึ่งพรรคก๊กมินตั๋งชนะ
ปี 1913 พรรคก๊กมินตั๋งที่เตรียมจะจัดตั้งรัฐบาลในเดือนเมษายน หัวหน้าพรรคที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีถูกลอบสังหารโดยฝ่ายของหยวนซื่อไข่ในเดือนมีนาคม 1913 ฝ่ายก๊กมินตั๋งเลยระดมกำลังมาสู้กับฝ่ายหยวนซื่อไข่ (Second Revolution) ในช่วงกลางปี 1913 แต่แพ้เละเทะ
หยวนซื่อไข่ได้อำนาจการเมืองจีนเบ็ดเสร็จ ฝ่ายก๊กมินตั๋งหนีออกไปในต่างประเทศ รัฐบาลช่วงนี้เรียกรัฐบาลเป่ยหยาง (Beiyang Government) ตามชื่อกองกำลังของหยวน
หลังจากหยวนซื่อไข่สามารถกำจัดฝ่ายปฏิวัติ (counter revolution) ได้แล้ว ก็เตรียมฟื้นฟูระบบกษัตริย์อีกครั้ง โดยเขารับตำแหน่งฮ่องเต้คนใหม่เองในช่วงปลายปี 1915 แต่ก็โดนต้านเยอะมาก หยวนเป็นจักรพรรดิได้ 83 วันก็ต้องเปลี่ยนกลับ และป่วยตายช่วงกลางปี 1916
จากนั้นจีนก็เริ่มเข้าสู่ยุค "แผ่นดินเดือด" ที่ไม่มีใครครองอำนาจอย่างแท้จริง
ยุคขุนศึก 1916-1928
หลังหยวนซื่อไข่ตายก็ไม่มีใครยอมใคร ขุนศึกผู้คุมกำลังทหารในมณฑลต่างๆ ก็ตั้งตัวเป็นอิสระ ส่วนรัฐบาลที่ปักกิ่ง (ตอนนั้นชื่อเป่ยจิง) ก็อ่อนแอ และฝ่ายก๊กมินตั๋งเองก็ถูกตีกระเจิงไปอยู่ต่างประเทศ แถมแบ่งออกเป็นฝ่ายย่อยๆ เหมือนกัน
เหตุการณ์ช่วงนี้จะมั่วๆ คือขุนศึกทะเลาะกันและแย่งกันเป็นใหญ่ มีความพยายามฟื้นฟูราชวงศ์ชิงอีกครั้ง โดยเชิญปูยีกลับมาเป็นจักรพรรดิในปี 1917 เป็นช่วงเวลาสั้นๆ และเลิกไปเพราะโดนค้านเยอะ ปูยีถูกไล่ออกจากพระราชวังต้องห้ามในช่วงนี้เอง
หลังหยวนซื่อไข่ตาย ในปี 1917 ซุนยัตเซ็นกลับมาในจีนอีกครั้ง โดยตั้งตัวอยู่ทางใต้ โดยตั้งรัฐบาลที่กว่างโจว (ฐานที่มั่นของฝ่ายชิงอยู่ที่ปักกิ่ง) พรรคก๊กมินตั๋งช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไรเพราะอาศัยอำนาจของขุนศึกท้องถิ่น ไม่มีกำลงทหารของตัวเอง
ฝ่ายของก๊กมินตั๋งสะสมกำลังอยู่ที่ภาคใต้ชั่วเวลาหนึ่ง โดยมีแผนจะรุกขึ้นไปตีขุนศึกทางเหนือ เพื่อรวมจีนให้เป็นหนึ่ง แต่ซุนยัตเซ็นกลับเป็นมะเร็ง ตายไปก่อนในปี 1925 ช่วงนี้จีนฝ่ายใต้ก็จับมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ก่อตั้งในปี 1921 ด้วย
จีนฝ่ายใต้ถูกสืบทอดต่อโดยเจียงไคเช็ค ซึ่งเป็นทหารขวาจัดที่จบการศึกษามาจากญี่ปุ่น คือเดิมทีพรรคก๊กมินตั๋งจะประกอบด้วยฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา โดยซุนยัตเซ็นจะออกซ้ายนิดๆ เลยสามารถเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ แต่พอมาเป็นเจียงไคเช็คที่เป็นขวาแบบฟาสซิสต์เต็มขั้น ก็เลยไม่ถูกกับคอมมิวนิสต์ (เจียงไคเช็คได้รับการยอมรับน้อยกว่าซุนยัตเซ็น เลยพยายามทุกทางเพื่อสืบทอดอำนาจ ซึ่งรวมถึงการแต่งงานกับน้องสาวของภรรยาซุนยัดเซ็น เพื่อให้เกี่ยวข้องกันทางเครือญาติด้วย)
เจียงไคเช็คเริ่มยุทธการบุกเหนือ (Northern Expedition) ในปี 1926 ไล่ตีขุนศึกไปทีละกลุ่ม สงครามชุดนี้กินเวลา 3 ปี และพรรคก๊กมินตั๋งก็พิชิตจีนทั้งประเทศได้ในปี 1928 นำประเทศกลับมาเป็นหนึ่งอีกครั้ง (แต่ช่วงหลังๆ ขุนศึกก็ยอมแพ้โดยไม่สู้ และสามารถปกครองตัวเองต่อไปได้แบบเนียนๆ)
แผนที่แสดงเส้นทางของยุทธการบุกเหนือของพรรคก๊กมินตั๋ง แยกกันเป็น 3 สาย บุกจากล่างสุด (กวางตุ้ง) ขึ้นไปตีปักกิ่ง (จาก Saint Martin's University)
ในทางตัวหนังสือ พรรคก๊กมินตั๋งครองจีนได้ แต่ในทางปฏิบัติ ก็ยังมีกลุ่มคอมมิวนิสต์ที่ให้ความร่วมมือแต่ไม่ได้เป็นพวก 100% และกลุ่มขุนศึกที่ยอมสวามิภักดิ์ด้วย
ปี 1927 ยังมีเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนแตกกัน นั่นคือ กองกำลังผสมสองฝ่ายนี้บุกยึดเซี่ยงไฮ้จากขุนศึกได้ และเจียงไคเช็คที่เกลียดพรรคคอมมิวนิสต์อยู่แล้ว ก็อาศัยจังหวะนี้ปราบสมาชิกของ พคจ. ที่เซี่ยงไฮ้ หวังฆ่าให้ตายหมดเสี้ยนหนาม เหตุการณ์นี้เรียกว่า Shanghai massacre ซึ่งฝ่าย พคจ. โดนฆ่าไปเป็นพัน ส่วนระดับแกนนำอย่าง เฉินตู้ซิ่ว (Chen Duxiu) เลขาธิการและผู้ก่อตั้งพรรค กับ โจวเอินไหล (Zhou Enlai) รอดมาได้
ต้นปี 1929 เจียงไคเช็ครวมประเทศเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง แต่ยังมีพรรคคอมมิวนิสต์ที่เป็นเสี้ยนหนาม หนีไปอยู่ในชนบท และการรุกรานจากจักรวรรดิญี่ปุ่นก็กำลังคืบคลานเข้ามา
ทศวรรษแห่งนานกิง / ยุคสงครามกลางเมือง 1927-1937
ช่วงเวลาสิบปีระหว่างปี 1927-1937 ถูกเรียกว่าเป็น "ทศวรรษแห่งนานกิง" หรือ "ทศวรรษแห่งนานจิง" (Nanjing/Nanking Decade) เพราะมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหลวงของ "สาธารณรัฐจีน" ที่นานกิงในปัจจุบัน
ยุคนี้จะเริ่มนับจากการตั้งรัฐบาลนานกิงของเจียงไคเช็ค (ก่อนพิชิตทั่วประเทศได้เล็กน้อย) ไปจนถึงเหตุญี่ปุ่นบุกในปี 1937
เหตุการณ์ในช่วงนี้คือ พรรคก๊กมินตั๋งครองประเทศจีนได้ และใช้ระบบ 1 ประเทศ 1 พรรคปกครอง ซึ่งเจียงไคเช็คก็ต้องพยายามสร้างเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ ปราบขุนศึก ปราบก๊กต่างๆ ภายในพรรคตัวเองให้อยู่หมัด
ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์หลังจากโดนปราบในเหตุการณ์ที่เซี่ยงไฮ้ ก็หนีมายังภาคกลาง-ตะวันตกของจีน และก่อตั้งประเทศในชื่อ "สาธารณรัฐโซเวียตจีน" (Soviet Republic of China) ในปี 1931
คำว่า "โซเวียต" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรัสเซีย แต่หมายถึงรัฐคอมมิวนิสต์ แบบเดียวกับโซเวียตรัสเซีย (USSR)
สาธารณรัฐโซเวียตจีนมีพื้นที่ไม่ต่อกัน ประมาณว่าเขตไหนแดงๆ ก็ประกาศตัวเป็นรัฐโซเวียต และประสานงานระหว่างเขตกัน โดยเขตหลักอยู่ที่มณฑลเจียงซี (Jiangxi) มีระบบเศรษฐกิจ ธนบัตรของตัวเอง (แบงค์เป็นรูปเลนิน!) และได้รับความช่วยเหลือจากโซเวียตรัสเซียอยู่เยอะ
ตั้งประเทศมาได้ไม่ทันไร เขตโซเวียตจีนก็โดนรัฐบาลจีนคณะชาติล้อมปราบ โดยครั้งแรกตั้งแต่ปี 1930-1931 นั่นแหละ ซึ่งฝ่ายโซเวียตจีนก็ใช้ยุทธการรบแบบกองโจร ตอดเล็กตอดน้อย ล่อให้กองทัพจีนคณะชาติเข้าไปยังพื้นที่แล้วตลบหลัง เอาชนะมาได้เรื่อยๆ ช่วงการล้อมปราบมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Encirclement Campaigns ถ้าพูดเป็นภาษาไทยสมัยนี้ก็คง "กระชับวงล้อม" หรือ "ขอพื้นที่คืน" นั่นล่ะครับ
เจียงไคเช็คล้อมปราบโซเวียตจีนมา 4 ครั้ง ล้มเหลวกลับไปทุกครั้ง เปลืองพลังเงิน-ทหารไปมาก มาสำเร็จเอาในการล้อมปราบครั้งสุดท้ายคือครั้งที่ 5 ในปี 1934 โดยใช้ยุทธการใหม่คือบุกเข้าไปช้าๆ สร้างป้อมเชื่อมต่อกัน ค่อยๆ กดดันเข้าไปเรื่อยๆ ด้วยกำลังทหาร-อาวุธที่มากกว่า
พรรคคอมมิวนิสต์จีนถูกล้อมอยู่เกือบปี ตอนหลังรู้ว่าน่าจะแพ้แน่ เลยวางแผนตีฝ่าวงล้อม พาทหารและประชาชนของตัวเองนับแสนออกไปทางทิศตะวันตก คนวางแผนในช่วงนี้เป็นฝีมือโจวเอินไหลล้วนๆ แทบจะคนเดียว เหตุผลส่วนหนึ่งที่หนีออกจากวงล้อมได้เป็นเพราะกองกำลังที่ปิดล้อมไม่ได้มีแต่กองกำลังจากรัฐบาล มีกองกำลังของขุนศึกท้องถิ่นด้วย ซึ่งโจวเอินไหลไปเจรจากับขุนศึก (ที่ไม่ต้องการให้ทหารของตัวเองตายจากการรบกัน) และเปิดทางออกไปได้
จากนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เริ่มประวัติศาสตร์ 1 ปีช่วงที่ตื่นเต้นมาก นั่นคือการเดินทัพระยะไกล (Long March) เพื่อหนีการไล่ตามของเจียงไคเช็ค มีทั้งข้ามแม่น้ำ ปีนสะพาน ข้ามเหว เดินทัพกลางคืน ฯลฯ อ่านแล้วยังกับเกมแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
พรรคคอมมิวนิสต์เดินทางไปยังทิศตะวันตก ซึ่งเป็นเขตบ้านนอกที่พรรคก๊กมินตั๋งยังไม่มีอิทธิพลแผ่ไปถึง กองกำลังของ พคจ. แบ่งเป็น 3 สาย โดยสายหลักของเหมาเจ๋อตงและโจวเอินไหลคือกองทัพที่ 1 (นอกจากนี้ยังมีกองทัพที่ 2 และ 4 แยกกันเดินทางไปคนละเส้น)
Logn March ใช้เวลา 1 ปีเต็ม เดินด้วยเท้าไปครึ่งประเทศจีน ตอนแรกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เข้าไปยังยูนนาน แล้วตอนหลังเดินทางขึ้นเหนือไปภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ไปตั้งมั่นอยู่ที่มณฑลส่านซี (Shanxi) ซึ่งอยู่ห่างไกลอิทธิพลของก๊กมินตั๋งมากที่สุด
การเดินทัพทางไกลครั้งนี้ทารุณมาก เพราะภูมิประเทศทางภาคตะวันตกของจีนมีแต่ภูเขา นอกจากนี้ก็โดนทัพของเจียงไคเช็คล้อมปราบ ทิ้งระเบิด ฯลฯ อยู่เรื่อยๆ แถมเจอปัญหาโรคภัย อาหารขาดแคลน สภาพอากาศ ฯลฯ สรุปว่าตอนเริ่มต้นเดินมีเกือบแสน ตอนถึงที่หมายมีเกือบหมื่นเท่านั้น แต่บรรดาผู้นำของ พคจ. ก็รอดไปถึงที่หมายกันได้เกือบหมด
การเดินทัพรอบนี้ถึงจะโหดร้ายทารุณ แต่ก็มีประโยชน์ในเชิงประชาสัมพันธ์แนวคิดของ พคจ. โดยฝ่ายนำกำหนดว่าห้ามปล้นชิงราษฎร ต้องการของให้ซื้อ ถ้าเจอเจ้าที่ดินกดขี่ให้ปล้นแล้วเอาของมาแจกราษฎร ชาวนายากจนในพื้นที่ ทำให้มีคนเข้าร่วม+เห็นใจ พคจ. อีกมาก
แผนที่: Long March จาก Wikipedia เส้นทางเดินทัพของเหมา เริ่มต้นตรงตัว X อันล่างสุด ตามเส้นสีแดง ไปจบที่ก้อนสีแดงด้านบนสุด
สุดท้ายช่วงปลายปี 1935 พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้ฐานที่มั่นใหม่ในมณฑลส่านซี และตั้งเมืองหลวงที่นครป่าวอัน (Bao'an) ในการเดินทัพครั้งนี้ เหมาเจ๋อตงแสดงความเป็นผู้นำและสั่งสมบารมีจนกลายเป็นเบอร์ 1 ของ พคจ. (โจวเอินไหลเป็นเบอร์ 2)
ปี 1936 เอ็ดการ์ สโนว์ คนเขียนหนังสือ "ดาวแดงเหนือแผ่นดินจีน" เดินทางไปที่ป่าวอัน และมีโอกาสสัมภาษณ์เหมา รวมถึงสังเกตสภาพการณ์ในเขตโซเวียตจีน ที่ยากจนแต่ก็มีกำลังใจที่ดีจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน (ในอดีตจีนมีปัญหาเรื่องเจ้าที่ดินมาก ทำให้ชาวนายินดีเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ต้านระบบเจ้าที่ดิน)
ระหว่างนั้น ญี่ปุ่นก็รุกเข้ามาในดินแดนจีนเรื่อยๆ โดยเริ่มจากแมนจูเรีย-แมนจูกัว ซึ่งเจียงไคเช็คก็ใช้วิธียอมๆ หยวนๆ มาโดยตลอด แต่หันมาเน้นการปราบคอมมิวนิสต์แทน ทำให้คนจีนไม่พอใจมาก (อารมณ์แบบว่าศัตรูมาบุกหน้าบ้านแล้วยังไปทำอย่างอื่น รบกันเองกับคนชาติเดียวกัน)
พคจ. พยายามจับมือกับพรรคก๊กมินตั๋งเพื่อรบญี่ปุ่นแต่เจรจาไม่สำเร็จสักที จนช่วงปลายปี 1936 ก็เกิดเหตุขุนศึกที่เป็นพันธมิตรกับเจียงไคเช็ค จับเจียงเป็นตัวประกันไว้ 2 อาทิตย์ แลกกับเงื่อนไขว่าเจียงต้องจับมือกับคอมมิวนิสต์เพื่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งสุดท้ายเจียงก็ยอม (ส่วนขุนศึกคนนี้คือ Zhang Xueliang ก็โดนโทษกักบริเวณในบ้านชั่วชีวิต โทษฐานไปจับผู้นำ) เหตุการณ์นี้เรียกว่า Xi'an incident
สองฝ่ายเลยต้องจับมือกันชั่วคราวเพื่อต้านญี่ปุ่นในปี 1937 เป็นต้นไป ความร่วมมือครั้งนี้เรียกว่า Second United Front หรือ "แนวร่วมครั้งที่สอง"
สงครามโลกครั้งที่สอง 1937-1945
ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายจริงๆ เป็นแค่ในนาม เพราะต่างฝ่ายต่างรบกับญี่ปุ่น ไม่ค่อยได้ประสานงานกันนัก (แค่หยุดสู้กันเองก็ดีแล้ว) ฝ่ายจีนคณะชาติเป็นกำลังหลักที่รบกับญี่ปุ่นในแบบ ซึ่งก็โดนญี่ปุ่นตีนานกิงได้อย่างรวดเร็ว (เหตุการณ์ตามหนังสือ "หลั่งเลือดที่นานกิง") ทำให้เจียงต้องอพยพหนีไปยังภาคตะวันตกอยู่เรื่อยๆ
ส่วนฝ่าย พคจ. ก็ใช้กลยุทธแบบกองโจรตามที่ถนัด ทำให้เสียหายน้อยและได้รับเสียงสนับสนุนจากคนในพื้นที่มาก โมเมนตัมของทั้งสองฝ่ายเลยเริ่มเปลี่ยน นั่นคือก๊กมินตั๋งมีพลังลดลง ในขณะที่ พคจ. มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ
(หมายเหตุ: ช่วงนี้ยังอ่านไม่ถึงเลยไม่ค่อยละเอียด)
สงครามกลางเมืองครั้งที่สอง 1946-1950
หลังจากญี่ปุ่นยอมแพ้ ทั้งสองฝ่ายก็มารบกันต่อ คราวนี้ฝ่าย พคจ. มีกำลังเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่ฝ่ายก๊กมินตั๋งมีความขัดแย้งภายในระหว่างฝ่ายของเจียงไคเช็ค กับฝ่ายของหลี่ซงเหริน (Li Zongren) โดยตอนหลังหลี่ซงเหรินขึ้นมามีอำนาจทางปกครอง แต่ก็สั่งทหารที่ยังอยู่กับเจียงไคเช็คไม่ได้
ปัจจัยหลายอย่างนี้ทำให้ฝ่ายพรรคก๊กมินตั๋งแพ้สงคราม และโดนพรรคคอมมิวนิสต์ยึดประเทศได้เบ็ดเสร็จในปี 1950 ซึ่งฝ่ายของเจียงไคเช็คเห็นอนาคตของตัวเองมาสักพักหนึ่ง ก็เตรียมทางถอยและอพยพไปไต้หวันมาก่อนแล้ว
ก่อนพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเอาชนะได้เบ็ดเสร็จ ก็ประกาศตั้งประเทศใหม่ "สาธารณรัฐประชาชนจีน" (People's Republic of China) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 ปิดฉากความขัดแย้งตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศ์ชิง รวมเวลาเกือบ 50 ปี (ผมเข้าใจว่าเนื้อหาส่วนนี้อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง "มังกรสร้างชาติ" หรือ Founding of a Republic ซึ่งยังไม่ได้ดู)
แต่เรื่องของจีนยังไม่จบง่ายๆ เพราะพรรคคอมมิวนิสต์ที่ยึดอำนาจได้ก็มีปัญหาภายใน ต้องรอไปอีกเกือบ 20 ปีจนถึงยุคของเติ้งเสี่ยวผิง เสถียรภาพถึงเริ่มกลับคืนมาสู่ประเทศจีน รวมเวลาเบ็ดเสร็จที่อยู่ใน "ยุคมืด" ก็น่าจะเกือบร้อยปี ถือเป็น China's Lost Decade อย่างแท้จริง