Ralph McQuarrie นักวาดภาพต้นแบบของ Star Wars เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 82 ปี
หนังสือเล่มแรกในชีวิตที่เคยสั่งจาก Amazon คือหนังสือรวมภาพวาดของ McQuarrie ครับ (เล่มนี้) ภาพของเขางดงามและมีเสน่ห์มาก
Ralph McQuarrie นักวาดภาพต้นแบบของ Star Wars เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 82 ปี
หนังสือเล่มแรกในชีวิตที่เคยสั่งจาก Amazon คือหนังสือรวมภาพวาดของ McQuarrie ครับ (เล่มนี้) ภาพของเขางดงามและมีเสน่ห์มาก
ต้องยอมรับคนทำจริงๆ ว่าเจ๋งมาก คือ โยงของ 4 อย่างเข้าด้วยกัน
แล้วเอาคลิปนี้ไปเปิดฉายใน TED จริงๆ เพื่อโฆษณาหนัง แถมยังหวังผลคลิปไวรัล ช่วยโปรโมท TED กลับให้อีกต่างหาก
ขายของหน่อยครับ Transform Thailand หนังสือเล่มใหม่ของ SIU (ผมเป็นบรรณาธิการ) รวมบทสัมภาษณ์ "กูรู" ด้านเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง มาสนทนาเรื่องอนาคตของประเทศในมิติด้านนี้
บันทึกไว้สักหน่อย เผื่อจะมีประโยชน์กับคนอื่นนะครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ที่ออฟฟิศอยากได้เบอร์โทรศัพท์+อินเทอร์เน็ตใหม่อีกเบอร์หนึ่ง เดิมทีใช้บริการของ TOT อยู่แล้ว ซึ่งชุมสายที่ใช้อยู่ เน็ตก็วิ่งได้เต็มสปีดดีมาก (6M/512k) เลยไม่อยากเสี่ยงไปใช้ยี่ห้ออื่น เอา TOT นี่แหละ
(นอกเรื่องนิด: ผมใช้บริการ ADSL ทั้ง 3 ยี่ห้อคือ TOT/TRUE/3BB สรุปได้เลยว่าคุณภาพการให้บริการขึ้นอยู่กับโชคชะตาว่าไปอยู่แถวไหน เพราะเคยเจอกรณี TRUE ห่วย หลุดตลอด เลยคาดว่าเป็นกับสายเก่า ลองเปลี่ยนเป็น 3BB ลากสายใหม่หมดก็หายสนิท ในขณะที่ TRUE อีกแหล่งหนึ่งก็ใช้ดีไม่มีปัญหาใดๆ)
แต่เนื่องจากว่ามันเป็นเบอร์บริษัท มันจะมี requirement ว่าต้องเป็นชื่อบริษัทด้วย (แต่ใช้โปรโมชันแบบบุคคลปกติได้) คราวก่อนให้น้องที่ออฟฟิศไปขอเบอร์ให้ เลยไม่รู้เบื้องลึกอะไร คราวนี้ต้องทำเองเลยรู้ซึ้ง T_T
รายละเอียดของโปรโมชันคงไม่กล่าวถึง เพราะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา เอาตัว "กระบวนการ" หรือ "วิธีการ" ขอใช้บริการดีกว่า
มีดังนี้ครับ
ทางเลือกที่เป็นไปได้
สรุปคือ ในทางปฏิบัติแล้ว ไปศูนย์บริการเถิดครับ T_T
มีข้อควรระวังนิดหนึ่งคือ พื้นที่ของเราอาจจะไม่มีคู่สายให้บริการ ดังนั้นควรค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของศูนย์บริการใกล้บ้าน (จากหน้าเว็บข้างต้น) แล้วโทรไปสอบถามก่อนว่ามีเบอร์ให้ใช้หรือไม่ (เจ้าหน้าที่รับเรื่องจะรู้จักพื้นที่ในขอบเขตของตัวเองเป็นอย่างดีว่ามีหรือไม่) จะได้ไม่ต้องไปเก้อ
อีกประเด็นคือศูนย์บริการ TOT ปิด 16.30 น. และน่าจะปิดในวันหยุดราชการด้วย (อันนี้ไม่ชัวร์) ผมเกือบพลาดเพราะคอลล์เซ็นเตอร์บอกว่าสาขาที่ใกล้ที่สุดคือ พหลโยธินซอย 8 (อาคารพหลโยธินเซ็นเตอร์ ชั้น 12) ปิด 17.00 ผมไปถึงตอน 16.30 พอดีกะว่าเหลือเวลาพอ ปรากฏว่าปิดไฟหมดแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ยอมรับเรื่องของผมไว้ให้ ไม่ต้องไปอีกรอบ (คือ TOT ก็มีอะไรดีๆ เหมือนกันนะ ถึงระบบจะห่วยก็ตาม)
สำหรับนิติบุคคล
เอกสารทั้งหมดต้องลงลายมือชื่อ + ประทับตราบริษัททุกหน้า และตอนไปยื่นเรื่องต้องเอาตรายางของบริษัทไปด้วย เพราะต้องประทับตราในแบบฟอร์มของ TOT อีกทีหนึ่ง
เมื่อสมัครขอใช้บริการและจ่ายค่าบริการของเดือนแรกเรียบร้อย ก็รอครับ
เจ้าหน้าที่แจ้งผมว่าจะส่งเรื่องขอใช้บริการไปยังชุมสายที่ใกล้พื้นที่ของเราที่สุด (ชุมสาย != ศูนย์บริการ) ในเวลาประมาณ 3 วันทำการ และทางชุมสายจะติดต่อกลับเพื่อนัดวันติดตั้งภายในเวลา 1 สัปดาห์หลังยื่นเรื่อง
ลองใช้ LibreOffice 3.5 แล้วประทับใจค่อนข้างมาก ทำงานได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และหน้าตาดูเรียบง่ายขึ้นมาอีกนิดหน่อย นี่เป็นสัญญาณที่ดีมาก เพราะถือเป็น LibreOffice รุ่นใหญ่ตัวแรกที่มีแนวทางการพัฒนาของตัวเอง ไม่ต้องอิงกับแนวทางของ OpenOffice เหมือนรุ่นก่อน
ในฐานะที่ในอดีตเคยทำงานกับทีม StarOffice ที่ต่างประเทศมาบ้าง ผมคิดว่าปัญหาอย่างหนึ่งของ OpenOffice ก็คือ "ความปิด" ของทีมงานเอง (อยู่ที่เยอรมนี) คือตัวโครงการเป็นโอเพนซอร์สก็จริง แต่รูปแบบการพัฒนายังปิดอยู่มาก ไม่ค่อยรับโค้ดจากคนนอกมากเท่าที่ควรจะเป็น (ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Novell ไม่พอใจจนต้องหนีไปทำ Go-OO)
จะพูดให้แฟร์ก็ต้องบอกว่า ไม่ได้มีแต่ OpenOffice แห่งเดียวที่เจอปัญหานี้ โครงการที่มีรากเหง้ามาจากบริษัทเปิดโค้ด ก็เจอปัญหานี้กันมาแล้วทั้งนั้น เช่น Mozilla เดิมในยุค Netscape ครอบงำก็เคลื่อนตัวได้ช้า หรือ Red Hat กับโครงการ Fedora ก็ด้วย
ล่าสุดไปอ่านเจอบล็อกของ Simon Phipps เขียนชมพัฒนาการของโครงการ LibreOffice แล้วยิ่งเข้าใจแจ่มชัด
Phipps บอกเองว่าความสำเร็จของ LibreOffice เกิดจากความเป็นอิสระของโครงการ ทำให้นักพัฒนาภายนอกมีแรงจูงใจที่จะร่วมพัฒนามากขึ้นมาก และความเป็นอิสระก็ช่วยให้บั๊กหรือปัญหาหลายชนิดที่เคยไม่ถูกแก้ในยุคของ Sun/StarOffice ด้วยเหตุผลเรื่องการเมือง สามารถเป็นไปได้ในยุคนี้ (โค้ดบางจุดเก่าเกือบ 20 ปี ซึ่ง StarOffice ไม่ยอมทิ้ง)
ถ้า Phipps เป็นบล็อกเกอร์หรือนักข่าวทั่วไปคงไม่มีปัญหา แต่ในอดีตเขาคือผู้บริหารสูงสุดฝ่ายโอเพนซอร์สของ Sun ที่คุมโครงการโอเพนซอร์สหลายๆ ตัวของซันมาเองกับมือจนกระทั่งขายบริษัท ในเมื่อผู้บริหารสูงสุดยังพูดเองแบบนี้ คงแปลว่า "เกินเยียวยาแล้ว"
บล็อกของ Phipps คงเป็นสิ่งยืนยันที่ดีมากว่า สิ่งที่ Sun (และ Oracle ล้มเหลว) กลับเกิดขึ้นได้ด้วยฝีมือของชุมชนเพียงลำพัง ความจริงข้อนี้แสดงให้เห็นถึง ความอ่อนด้อยทางการบริหารของ Sun จนบริษัทต้องพบกับจุดจบนั่นเอง
ค่อยๆ อ่านเก็บเล็กผสมน้อย อ่านมานานพอสมควรจนสุดท้ายก็จบจนได้ มาบันทึกไว้สักหน่อย
ดาวแดงเหนือแผ่นดินจีน หรือ Red Star Over China เป็นหนังสือสารคดีของ Edgar Snow นักข่าวอเมริกันที่เข้าไปในเขตโซเวียตทางตะวันตกเฉียงเหนือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในปี 1936 ช่วงปลายของสงครามกลางเมืองจีนรอบแรก (ดูบล็อก History of China: Late Qing to People's Republic ประกอบ) เพื่อดูว่า "เขตโซเวียต" ของจีนฝ่ายแดงที่ถูกปิดล้อมจากฝ่ายขาว (รัฐบาลนานกิงของเจียงไคเช็ค) มีหน้าตาเป็นอย่างไร
รัฐบาลเจียงไคเช็คใช้สงคราม propaganda โฆษณาชวนเชื่อว่าเขตจีนแดงโหดร้าย ทารุณ ปล้นฆ่าข่มขืน เต็มไปด้วยโจรป่าแดง แต่สิ่งที่ Snow พบกลับตรงกันข้ามคือ นักรบเด็กหนุ่มที่มีวินัยสูง ใช้ชีวิตสมถะ (เพราะยากจน+ถูกปิดล้อม) อดทน แต่กำลังใจดีเยี่ยม และซื้อใจชาวบ้าน ชาวนาในพื้นที่ได้ เพราะช่วยปลดปล่อยชาวนายากจนจากเจ้าที่ดิน (ฟิวดัลจีน) ที่ร่ำรวยและขูดภาษี บวกกับปฏิบัติต่อชาวบ้านด้วยดี (อยากได้อะไรซื้อเอา ไม่ขโมย)
Snow ยังมีโอกาสได้คุยกับผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลายๆ คนที่ถูกทางการขาวตั้งค่าหัวแพงลิบลิ่ว พบว่าทุกคนจะคล้ายๆ กันคือมีความคิด ได้รับการศึกษาสูง แต่มีความแค้นต่อราชวงศ์ชิง/พรรคก๊กมินตั๋งที่ฟอนเฟะ เลยหนีมาอยู่ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ หลายๆ คนจะเรียลลิสติกมาก ความเป็นอยู่สมถะ รักลูกน้อง ออกรบในแนวหน้าเอง
ตัวอย่างแกนนำที่ Snow ได้สัมภาษณ์ก็มีทั้งเหมาเจ๋อตงเอง โจวเอินไหล สีไห่ตง จูเต๋อ หลินเปียว เป็นต้น
ฝ่ายแดงในเขตโซเวียตจีนนี้ เป็นกลุ่มที่โดนพรรคก๊กมินตั๋งขับไล่และล้อมปราบในปี 1927 และโดนขับไล่จากภาคใต้ของประเทศ เดินทัพทางไกลหรือ long march ในปี 1934-1935 ก่อนจะหนีมาตั้งฐานที่มั่นในภาคตะวันตกเฉียงเหนือช่วงปี 1935 เป็นต้นมา ช่วงที่ Snow มาดูคือฐานทัพเริ่มจะมั่นคงแล้ว ก่อนที่เจียงไคเช็คจะเข้ามาปราบใหญ่อีกรอบในปลายปี 1936
เขตโซเวียตในตอนนั้นมีดีแค่คน ทักษะ และกำลังใจ เพราะทรัพยากรขาดแคลนมาก (น้ำตาลและเกลือยังหายาก) อาวุธก็น้อย ใช้สงครามกองโจรเป็นหลัก ถ้าโดนเจียงไคเช็คบี้ดีๆ อาจจะล่มไปแล้ว แต่สุดท้ายเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ซีอานในช่วงปลายปี 1936 เพราะกองทัพพันธมิตรของเจียงไคเช็คในภาคเหนือ (ทัพอีสานของจางเซี่ยเหลียง และทัพพายัพของหยางหู่เฉิง) ก่อกบฏจับตัวเจียงไคเช็คขณะเดินทางไปเยี่ยมซีอานเพื่อเตรียมปราบโซเวียตจีน (ฐานของเจียงไคเช็คอยู่ที่นานกิง) ทำให้สุดท้ายเจียงไคเช็คยอมพักรบกับกองทัพแดงชั่วคราว เพื่อต้านญี่ปุ่นที่รุกเข้ามาในปี 1937 จุดเริ่มต้นของสงครามมหาเอเชียบูรพา
อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ทำให้พอสรุปเหตุปัจจัยที่ทำให้ฝ่ายของเจียงไคเช็คพ่ายแพ้ฝ่ายของเหมาในระยะยาวได้ดังนี้
มีมิตรสหายบอกว่าหนังสือเล่มนี้ออกจะโปรพรรคคอมมิวนิสต์จีนมากไปหน่อย (แต่ตัว Snow เองเป็นอเมริกันเสรีนิยม) ดังนั้นควรจะหาหนังสือเล่มอื่นมาบาลานซ์ด้วย อันนี้ก็ต้องตามอ่านกันต่อไป
จากที่เล่นภาคแรก The Secret of Monkey Island: Special Edition ไปเมื่อ 2 ปีก่อน (นานขนาดนี้เลยรึ!) ก็ได้ฤกษ์เล่นภาคสอง เล่นๆ หยุดๆ จนสุดท้ายมาเล่นจบก็วันนี้
ของแถมในภาคนี้จะมี audio commentary จากผู้สร้างเกมต้นฉบับให้ด้วย (เทปเสียงสนทนาว่าตอนสร้างฉากพวกนี้ในปี 1991-1992 คิดอะไรยังไง) และมีภาพสเกตช์ของฉากต่างๆ ทั้งเวอร์ชันต้นฉบับ และเวอร์ชันรีเมคให้ดูด้วยในส่วนของโบนัส
สนใจซื้อได้จาก Steam
ปัญหาคือ เราจะไปหาภาคสามจากไหนละเนี่ย
งานวิจัยเล็กๆ ที่น่าสนใจสำหรับคนที่ติดตามวงการ search engine
งานนี้เป็นของบริษัท Optify ทำเพื่อโปรโมทกิจการด้าน SEO/Social PR ของตัวเองแต่ก็เป็นประโยชน์ในระดับหนึ่ง โดยบริษัทนี้ตามไปดูว่า search engine สองรายใหญ่คือ Google/Bing บริหารจัดการข้อมูลอย่างไร ในยามที่โลกเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เป็นข่าวใหญ่ เช่น แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น หรือ สตีฟ จ็อบส์ ลาออก
ผลก็คือเขาพบว่า
ตัวรายงานฉบับเต็มโหลดได้จาก Optify (ต้องลงทะเบียน), ต้นข่าวจาก GeekWire
เสียดายว่างานของ Optify ใช้ sample น้อยไปนิดหนึ่งคือ 3 cases ถ้ามีเยอะกว่านี้หน่อยคงมันส์กว่านี้มาก
เรื่องราวของการสร้างเนื้อสร้างตัวนั้นน่าประทับใจเสมอ โดยเฉพาะองค์กรที่ประสบความสำเร็จและเรารู้จัก
วันนี้บทความที่ได้อ่านโดยไม่ตั้งใจคือ How Y Combinator Started เป็นงานเขียนของ Paul Graham นักลงทุนชื่อดังเจ้าของบริษัท Y Combinator ที่ปั้นบริษัทไอทีมาแล้วมากมายอย่าง Dropbox, Reddit, Scribd ซึ่งคราวนี้เขาเขียนเล่าเรื่องการตั้งบริษัทตัวเองในปี 2005 (7 ปีที่แล้ว) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
หมายเหตุ: อีกอันที่เจ๋งคือ ภาพถ่ายของ Y Combinator ในปี 2005 ดูเทียบกับบทความแล้วจะซาบซึ้งขึ้นอีก 20%
แต่ที่เจ๋งที่สุดคืองานเขียนคลาสสิค How to Start a startup ซึ่ง Graham เขียนในปี 2005 ช่วงก่อนตั้ง Y Combinator เล็กน้อย ถือเป็นคัมภีร์สำคัญของวงการ it startup เพราะชี้จุดเลยว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ยาวหน่อยแต่อ่านแล้วคุ้มค่าแน่นอน
ผมเปิดกิจการของตัวเองมาได้พอสมควร บอกได้เลยว่าหลายอย่างตรงมากอย่างไม่ตั้งใจ และเช่นเดียวกับที่ Graham เขียนไว้คือตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไร แต่พอมามองย้อนกลับไปแล้ว มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องโดยภววิสัยและวิธีคิดของเราในช่วงๆ นั้น
ป.ล. เคยเขียนถึง Paul Graham ไว้นิดหน่อยที่ Start Up Your Life
อาจารย์ที่เคารพ โทรมาชวนไปบรรยายวิชา Enterprise IT ให้กับนักศึกษาภาคอินเตอร์ SKE ที่เกษตร โดยเจาะจงหัวเรื่องว่า "สามก๊กไอทีของคุณน่ะ" ก็ไปตามนั้น
เนื่องจากมีสไลด์เก่าอยู่แล้วเลยง่ายหน่อย เอามาแปลงเป็นภาษาอังกฤษ (เพราะสอนภาคอินเตอร์) และปรับเนื้อหาเพิ่มเล็กน้อยให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิม แปะไว้เป็นหลักฐานสักหน่อยครับ
ถ้าเรายึดนิยามว่า media tablet เป็นโซลูชันที่ใช้แท็บเล็ตบริโภค (consume) สื่อหลากหลายชนิดแล้ว ชัยชนะของตลาดนี้อยู่ที่ vertical integration ว่าใครมีแพลตฟอร์มอะไรครบถ้วนกว่ากัน ให้บริการได้เพียบพร้อม ประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวดีกว่าคู่แข่ง
เท่าที่นึกออก ตอนนี้ก็มี "จตุรเทพ" ที่ดันมี 5 ราย
อีกรายที่เหลือคือ
ผู้ท้าชิงรายอื่นๆ ไม่มีอะไรครบเท่านี้ ก็ต้องดิ้นกันไป ที่น่าจะพอขึ้นมาได้คือ Samsung กับ HTC ที่พยายามใช้วิธี partner เพื่อสร้างบริการ/คอนเทนต์ แต่ไม่รู้ว่าในระยะยาวจะไปได้ดีแค่ไหน
รายอื่นๆ คงต้องกาทิ้ง หรือไม่ก็ลดบทบาทเป็น hardware vendor เพียงอย่างเดียว
เมื่อคืน (22 มี.ค.) MCOT Radio ขอสัมภาษณ์เรื่องการจดบริษัท Blognone มีคำถามถึง "คำแนะนำ" ต่อคนที่อยากจดบริษัท IT startup บ้าง
ตอบไปแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ ก็ขอมาจดลงบล็อกหน่อย
ผมว่าการจดบริษัทเนี่ยมันเท่มากเลยนะครับ (คือจดบริษัทแรกก็รู้สึกยังงั้น พอเป็นบริษัทที่สองเริ่มจะเฉยๆ ละ) แต่เราจะเอาความเท่มาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจจดหรือไม่จด ก็อาจจะไม่ถูกนัก
เพราะการจดบริษัทมันมี cost ในเรื่องกระบวนการมากพอสมควร หลักๆ คือเรื่องเอกสารและเรื่องภาษี
งานเอกสารเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก จริงๆ ตั้งใจจด Blognone ในเดือนมกราคม เพื่อจะได้จำง่ายๆ ว่าจดมากี่ปีแล้ว แต่ก็ติดอุปสรรคเรื่องเอกสารมากมาย เช่น
สรุปคือจดเสร็จไปเดือนกุมภาช่วงปลายๆ แฮะๆ ไม่สนุกเลย
ส่วนเรื่องภาษีและบัญชีก็ตามที่รู้ ๆ กันคือต้องมีผู้สอบบัญชี (และในทางปฏิบัติก็ต้องมีคนทำบัญชี ซึ่งควรจะจ้าง) ต้องเสียเงินอีก จดปั๊บมี fixed cost แน่ๆ
ดังนั้นถ้ายังไม่จำเป็นต้องจดจริงๆ ก็อย่าเพิ่งจด รอจนสถานการณ์พร้อม มีรายได้เข้ามาพอสมควร หรือจำเป็นต้องใช้สถานะของบริษัทไปทำนิติกรรมในฐานะนิติบุคคล (เช่น ต้องประมูลงาน) ค่อยจดก็ได้ ช่วงแรกอาจทำธุรกิจด้วยชื่อบุคคลธรรมดาไปก่อนได้
วันนี้ไปงานแถลงข่าวของ Ford ที่โรงแรมเรเนซองก์ ราชประสงค์/ชิดลม เขาเลี้ยงข้าวเที่ยงด้วย เลยได้ทดลองห้องอาหารใหม่
อาหารเที่ยงบุฟเฟต์ที่เรเนสซองก์ มีของไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับโรงแรมย่านสุขุมวิทหลายแห่ง อาหารที่จำได้มีดังนี้
แต่อันที่น่าสนใจมากจนต้องมาเขียนลงบล็อกคือไอ้นี่ครับ "ซุ้มก๋วยเตี๋ยว" ที่ต่างจากอาหารโรงแรมทั่วไปมาก คือโรงแรมทั่วไปจะเป็นซุ้มเล็กๆ มีคนทำก๋วยเตี๋ยวชามเล็กๆ ให้ตามสั่ง
แต่ของที่นี่จะต่างออกไป คือเป็นตะกร้าใส่ของสด เส้น ผัก เนื้อ ลูกชิ้น ไว้ให้เยอะมาก เรามีหน้าที่คีบลงชาม จากนั้นทางเชฟจะเอาไปลวกให้ แล้วนำกลับมาให้เราตักน้ำซุปใส่เอง แปลกมากเพิ่งเคยเจอ
อย่าถามว่าราคาเท่าไรเพราะว่างานนี้กินฟรี!
เจอโฆษณานี้แปะอยู่ข้างรถไฟฟ้า เลยรู้สึกว่า อืม เว็บรีวิวร้านอาหาร-สถานที่ในเมืองไทยนี่มันก็เยอะเหมือนกันนะ
ที่รู้จักและนึกออก - แนวพวก user-generated content
ลองหาเพิ่ม - กลุ่มที่เป็นรีวิวโดยทีมของเว็บเอง ไม่ได้เป็น UGC
มีแบบพิสดารอีกอันคือ gintalk.com เป็น search engine อย่างเดียวไม่ host เนื้อหาเอง
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมบล็อก เว็บบอร์ด หรือพวกเซคชันย่อยด้านอาหารในเว็บพอร์ทัล (รวมถึงเว็บแนวเดียวกันที่ผมไม่รู้จักหรือค้นหาไม่เจอ) และยังไม่รวมเว็บที่ไม่ได้เจาะตลาดด้านอาหารโดยตรง แต่มีคนนำมาใช้รีวิวอาหารเยอะพอสมควร (เช่น pg.in.th หรือ instagram)
โดยสรุปคือเป็นตลาดที่สู้กันดุเดือดมาก ถึงผมอยากจะให้ทุกเว็บอยู่ได้ (มีเว็บเยอะๆ เนื้อหาออนไลน์เยอะๆ เป็นเรื่องดีทั้งนั้น) แต่สุดท้ายคงมีแค่บางเว็บที่ยืนระยะได้ ต้องรอดูกันว่าจะเหมือนวงการคูปองหรือเปล่า
ทั้งหมดนี้เป็นการนั่งเทียนเขียนเองล้วนๆ นะครับ
มานั่งนึกๆ ดูแล้ว ผมคิดว่าปัญหาการอัพเดต Android (เป็นปัญหาแน่ๆ ไม่ว่าจะแฟนบอย สาวกแค่ไหนก็ต้องยอมรับ) อาจจะ (ย้ำว่า อาจจะ) รุนแรงที่สุดในยุคนี้ นั่นคือการเปลี่ยนจาก 2.3 -> 4.0 ซึ่งหลังจากนี้ สถานการณ์น่าจะดีขึ้น เพราะ
The good old handy shortcut Ctrl+Alt+Backspace for restarting X Window has been disabled since Ubuntu 9.04 Jaunty Jackalope (reference). The reason is preventing Windows users from accidentally reboot his/her desktop. Sound reasonable for me.
By the way, sometimes X Window fails to load and you need something to fix it quickly. After little investigation, I found a new key-combo for restarting X in recent Ubuntu releases:
Alt+PrintScreen+K
Recent LibreOffice releases are quite nice (they even made me think what Sun had stuck for many years). Now I want to know which direction the project is heading in the near future.
After a quick search in LibreOffice Wiki, I found these:
คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เผอิญมาเจอบทความ Why Google isn’t worried about Android revenue วิเคราะห์ได้ค่อนข้างตรงกับที่คิด เลยเอามาเขียนบล็อกหน่อย
เท่าที่ติดตามวงการมือถือมา โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าพัฒนาการของมือถือในแนวดิ่ง (vertical development) จำพวกว่าซีพียูเร็ว จอสวย การ์ดจอดี กล้องเทพ ฯลฯ ยังเป็นเรื่องที่ตัวผมเองสนใจอยู่ เพียงแต่มันไม่ได้น่าตื่นเต้นเหมือนช่วง 2-3 ปีก่อนที่มันพัฒนากันพรวดๆ อีกแล้ว
ผมยังอยากได้มือถือเจ๋งๆ ฟีเจอร์เด็ดๆ ใช้เป็นเครื่องส่วนตัวอยู่ เพียงแต่ถ้าเราถามว่า ฟีเจอร์มันดีกว่านี้ขึ้นไปอีกแล้วมันจะช่วยโลกแค่ไหน คำตอบก็คงเป็นว่าไม่เยอะเท่าไรหรอก ตลาดที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นกว่ามากในช่วงหลังๆ คือการพัฒนามือถือในแนวขวาง (horizontal development) หรือการนำมือถือที่มีอยู่ในทุกวันนี้ กระจายไปยังกลุ่มคนให้มากขึ้น (โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังไม่เคยมีสมาร์ทโฟน) ซึ่งมันจะเกิดประโยชน์อีกหลายอย่างต่อสังคมมากขึ้นมาก และหลายกรณีจะถึงขนาดพลิกแผ่นดินเลยทีเดียว
อธิบายง่ายๆ อีกรอบว่าเทคโนโลยีปัจจุบันมันเพียงพอแล้วสำหรับงานส่วนใหญ่ สิ่งที่ต้องพัฒนากันต่อไปเป็นมิติอื่นๆ เช่น ทำให้เทคโนโลยีที่มีอยู่มันใช้ง่ายขึ้น หรือ ทำให้ราคาถูกลง หาซื้อเป็นเจ้าของได้ง่ายแทน
มือถือเครื่องละ 25,000 เอามาเล่น Draw Something คงไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก (แต่ก็ไม่เสียหายอะไรนะครับ ถ้าได้มาอย่างสุจริต) แต่ถ้ามือถือจอ 320x240 มันเกิดใช้รายงานสภาพอากาศ สอบถามราคาพืชผล ช่วยนำทางมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ฯลฯ ได้ขึ้นมาในราคา 1900 บาท เราจะเห็นอะไรสนุกๆ และมีประโยชน์อีกเยอะมาก (ดูบทความ มือถือเพื่อปวงชน: บทเรียนของสมาร์ทโฟนเครื่องละ 2,400 บาทในเคนยา ประกอบ)
ภาพฝันพวกนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนหลายอย่าง ในส่วนของ hardware cost มันคงต่ำลงเรื่อยๆ ตามสภาพการแข่งขันในตลาดอยู่แล้ว ส่วนของซอฟต์แวร์มาถึงตอนนี้คงชัดเจนว่าเป็น Android ด้วยเหตุผลเรื่อง ความแพร่หลาย:ราคา:ความสามารถในการปรับแต่งอย่างเสรี ที่ดีกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในตลาด (iOS นี่รัฐบาลสหรัฐมาขอให้แก้ยังไม่ทำให้เลยนะครับ) ถึงแม้มันจะยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่ต้องแก้อีกมากก็ตามที (ระบบอื่นที่ดีกว่าในบางแง่เช่น MeeGo ก็มี แต่โดยภาพรวมแล้วก็ยังไม่เห็นอะไรที่มาเป็นตัวแทนได้ ถึงแม้มันควรจะมีก็ตาม)
ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกอะไรที่แท็บเล็ต ป.1 ของไทยจะใช้ Android และในที่สุดมันคงลามไปถึงโครงการลักษณะเดียวกันของประเทศอื่นๆ ด้วย
ก้าวต่อไปที่ต้องหันมามองดูกันให้ชัดๆ คือ "แอพพลิเคชัน" หรือ "การนำไปใช้" ว่าเราจะสามารถดัดแปลงมันให้มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันได้อย่างไร (และต้องคำนึงถึงคนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีพวกนี้เป็นหลักด้วย) ฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์พร้อมแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นกับหัวคิดและฝีมือเป็นหลัก
ที่พอนึกได้แบบเร็วๆ (มันต้องมีอันที่ดีกว่านี้แน่ๆ) เช่น
ถ้าเราทำแอพพลิเคชัน (ในที่นี้ไม่ได้จำกัดแค่ mobile app) พวกนี้ได้สำเร็จ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยน่าจะไปได้ไกลอีกมาก (ช่วยเบนเข็มเข้าสู่knowledge-based economy ในราคาที่ถูกมาก) ขณะเดียวกันโอกาสทางธุรกิจของคนทำแอพพลิเคชันก็จะเพิ่มขึ้น เพราะตลาดขยายขึ้นมาก โมเดลการหารายได้จะกลายเป็น micropayment แต่ด้วยจำนวนที่มากขึ้นมากแทน ซึ่งตรงนี้การขับเคลื่อนด้วยภาคเอกชน การสร้าง ecosystem ทางธุรกิจก็น่าจะไปได้ (ผมเชื่อในตลาดเสรีที่ภาคเอกชนเป็นคนขับเคลื่อนว่ามันจะยั่งยืนกว่ารัฐลงมาทำเอง)
นักพัฒนาไทยควรคิดถึงเรื่องนี้ และนักวางแผน-นโยบายของไทยก็ควรจะคิดเรื่องนี้มากๆ เช่นกัน
บทความเนื้อหาคล้ายๆ กันในไทยรัฐ แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา รัฐต้องชัดเจนเรื่องแอพ-คอนเทนต์
ร่วมทริป กสทช. ไปเวิร์คช็อปที่โรงแรม Marriott หัวหิน (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Hua Hin Marriott Resort & Spa แต่ในชีวิตจริงคงไม่มีใครเรียก) ก็มาเขียนบล็อกไว้สักหน่อยก่อนจะขี้เกียจครับ
ตัวโรงแรมค่อนข้างเก่าแต่ก็ยังดูดี (เพียงแต่สถาปัตยกรรมจะไม่เหมือนโรงแรมสมัยใหม่เท่านั้น) และขนาดโรงแรมก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก บรรยากาศจะตกแต่งด้วยสีน้ำตาล earth-tone และป่าเขตร้อนเป็นหลัก
โรงแรมแบ่งเป็น 2 ปีก ผมได้นอนปีก tower wing ที่ติดสวน ก็จะไม่เห็นทะเล
อ่านหนังสือ "สตาลิน อำนาจบนซากศพ" แต่งโดย เพิ่มศักดิ์ โตสวัสดิ์ สำนักพิมพ์ Animate Group ที่ @charoenchai ให้ยืมมา ก็รู้เรื่องประวัติศาสตร์รัสเซียมากขึ้น (ประวัติศาสตร์รัสเซียช่วงที่พูดถึงกันเยอะๆ คือช่วงปฏิวัติรัสเซีย 1917 แล้วโดดข้ามมาที่ความล่มสลายของโซเวียตเลย)