Quantcast
Channel: Isriya Paireepairit blogs
Viewing all 557 articles
Browse latest View live

Today

$
0
0

ช่วงหลังๆ ผมหันมาสนใจประวัติศาสตร์ไทยยุคใหม่ (ที่ไม่ได้สอนกันเท่าไรนักในชั้นเรียนภาคบังคับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม)

มาศึกษาช่วงแรกๆ แล้วพบว่ามันโคตรซับซ้อน ตัวละครเยอะ ฝักฝ่ายเยอะ (แถมหักหลังกันไปมา เปลี่ยนฝ่ายกันไปมา) กว่าจะทำความเข้าใจได้ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย

จากความเข้าใจของผมเอง เหตุการณ์สำคัญๆ ที่เป็น "จุดเปลี่ยน" จริงๆ ของประเทศ นับจาก 2475 เป็นต้นมา ได้แก่

  • 2475
  • 2490
  • 2500
  • 2516/2519 (ต้องคิดรวมสองอันนี้เป็นแพ็คคู่)
  • 2535
  • 2549

มานั่งคิดๆ ดูแล้ว วันนี้ของปี 2553 ก็น่าจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ list นี้ได้อย่างไม่มีข้อกังขาอะไรเช่นกัน (อีก 50 ปีข้างหน้า ถ้ามองย้อนกลับมา มันอาจสำคัญกว่า 2475 ด้วยซ้ำในบางมิติ)


New Machine: Mifune

$
0
0

ชีวิตนี้ซื้อคอมมาก็มาก รวมกันน่าจะเกิน 10 เครื่องแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เคย "เทิร์น" คอมเก่าเป็นคอมใหม่

เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเช้านึกอยากได้คอมใหม่สำหรับที่ออฟฟิศ เลยเปิดเว็บลองหาข้อมูลดูหน่อยว่าเดสก์ท็อปแบบมีแบรนด์ รุ่นราคาถูกๆ จะสักเท่าไร ก็ปรากฏว่าไปเจอโปรโมชันพิเศษของ Acer คือ "คอมเก่าแลกคอมใหม่" (สำเนาภาพ) นำเดสก์ท็อปหรือโน้ตบุ๊กเก่า (ยี่ห้ออะไรก็ได้) ไปแลกซื้อ Acer Aspire All-in-One รุ่นล่าง Z1220 จากราคา 14,990 เหลือ 9,990 บาท

แบบนี้ก็เข้าล็อคสิครับ เนื่องจากในสมัยที่เดสก์ท็อปยังรุ่งเรือง ปี 2006 (อู้ว์ 6 ปีแล้วสินะ) ผมซื้อเดสก์ท็อปมาตัวหนึ่งเป็น AMD Sempron ตั้งชื่อว่า Persephone จากนั้นก็ซื้อจอแบน Samsung SyncMaster 740N มาเสริมทัพให้มันอีกรอบในปี 2007 (ข้อดีของการเขียนบล็อก ช่วยให้ "ความทรงจำ" ของเราเองสามารถค้นได้จากกูเกิล)

Persephone ถูกใช้เป็นเครื่องหลักอยู่พักหนึ่ง (บล็อกแท็ก Persephone) จนกระทั่งยุคสมัยของโน้ตบุ๊กมาเยือน บวกกับสมรรถนะเริ่มล้าสมัย มันก็เลยเริ่มถูกทิ้งจมกองฝุ่นมาเรื่อยๆ (ผมขโมยจอไปใช้ที่ออฟฟิศบ้างบางครั้ง)

ก่อนหน้านี้เคยโละคอมเก่าไปบ้างผ่านช่องทางบริจาค-ทิ้งเป็นเศษเหล็ก รอบนี้มีให้เทิร์นคอมเก่าเป็นคอมใหม่จึงน่าสนใจมาก เหมือนเป็นการซื้อคอมใหม่ราคาถูก + บริจาคคอมเก่าไปในตัว (Acer จะไปบริจาคให้โรงเรียนที่ขาดแคลน) เพราะปัจจุบัน Persephone ก็รอวันถูกกำจัดอยู่แล้ว

ว่าแล้วก็โทรไปถามศูนย์บริการ Acer เพื่อขอรายละเอียดเพิ่ม สรุปว่าเป็นคอมยี่ห้อไหนก็ได้ เก่าแค่ไหนก็ได้ ขอแค่ใช้งานได้ (เพราะเป้าหมายคือเอาไปให้คนอื่นใช้ต่ออีกที) และอุปกรณ์ต้องครบ ถ้าเป็นเดสก์ท็อปจะต้องมีเมาส์ คีย์บอร์ด และมอนิเตอร์มาให้ด้วย (แอบเสียดายจอ 740N เหมือนกันแต่ก็เอาเถอะ)

เท่าที่ประเมิน โปรนี้ค่อนข้างคุ้มสำหรับคนที่มีคอมเก่าวางเกะกะไว้แบบผม และก็อยากได้คอมใหม่มาใช้แทน (แบบไม่ใช่เครื่องหลัก) คอมก็ไม่ต้องแรงมาก เน้นราคาถูกประหยัด ทำงานได้ครบถ้วน ซึ่งพวกนี้ตรงสเปกหมด (แถมเป็น all-in-one ซึ่งมีข้อดีในแง่ประหยัดที่ ผมเพิ่งซื้อ all-in-one มาก่อนหน้านี้เครื่องหนึ่งก็ประทับใจดี)

และจากประสบการณ์ ของจะมีจำกัดและหมดเร็วพอสมควร ถ้าจะเอาจริงๆ ต้องรีบดำเนินการโดยเร็ว

เมื่อตัดสินใจได้ก็ลุย! เคลียร์ข้อมูลออกจากคอมเก่าให้เรียบร้อย (ผมแบ็คอัพไว้นานแล้วจึงไม่ต้องเสียเวลาแบ็คอัพใหม่) ปัดฝุ่นเล็กน้อย แล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ลาก่อนลูกพ่อ รับใช้กันมานาน ได้เวลาที่เจ้าจะต้องออกสู่โลกกว้างแล้ว

Goodbye Persephone

ผมไปแลกซื้อที่ Banana IT สาขาเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะเพราะใกล้ที่สุด ถามทางร้านบอกว่าได้โควต้าร้านละ 15 เครื่อง มีคนมาเทิร์นไปเยอะพอสมควรแล้ว ถ้าไม่นับเครื่องของผมก็จะเหลืออีก 5 เครื่องเท่านั้น

ช่างที่ร้านตรวจเช็คคอมเล็กน้อยก็เรียบร้อย (คือ Persephone มันทำงานได้อยู่แล้วไม่มีปัญหาใดๆ แค่มันเก่าและช้าสำหรับยุคนี้) จ่ายเงินรับของขนกลับ เสร็จพิธี

เกริ่นมาตั้งนาน มาดูของใหม่กันหน่อย Acer Aspire Z1220 สเปกดังนี้

  • AMD E-350 APU 1.5GHz
  • RAM 2GB
  • GPU Radeon HD 6310
  • HDD 500GB
  • จอ 20 นิ้ว
  • รองรับ Wi-Fi ในตัว ไม่ต้องลากสายวุ่นวาย (All-in-One เดี๋ยวนี้น่าจะมีกันหมดแล้ว)

Acer Aspire Z1220

คอมราคาระดับนี้มากับ FreeDOS อยู่แล้ว (จริงๆ ต่อให้คอมราคา 40k บ้านเราก็มากับ FreeDOS อยู่ดี) เบื้องต้นเลยลง Windows 8 Consumer Preview ไปก่อน อนาคตค่อยว่ากัน (เดี๋ยวรอดู Windows 8 Release Preview ต้นเดือนหน้าอีกที) เท่าที่ใช้มาลง Windows 8 มีปัญหาเรื่องไดรเวอร์การ์ดจอ แก้ได้โดยโหลดไดรเวอร์จาก AMD มาใช้ก็เรียบร้อย

รีวิวแบบสั้นๆ Aspire Z1220 หน้าตาหรูหราน้อยกว่า Gateway One ตัวที่ใช้อยู่เดิม (ราคามันต่างกันตั้ง 3 เท่านิ) แต่ก็มีพอร์ตต่างๆ มาให้ครบครัน ให้ USB มาเยอะจัดคือ 6 พอร์ต ด้านข้าง 2 พอร์ต และด้านหลัง 4 พอร์ต อีกอันที่ชอบคือเป็นจอแบบไม่ glossy ไม่สะท้อนแสง อันนี้ดีมาก

Acer Aspire Z1220

Acer Aspire Z1220

อีกเรื่องที่ดีแบบไม่ตั้งใจคือ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบใช้เมาส์-คีย์บอร์ดไร้สายอย่างแรง เพราะจะเกิดปัญหาแบตหมดในช่วงเวลาสำคัญๆ อยู่เสมอ เนื่องจาก Z1220 เป็นรุ่นถูกเลยมาพร้อมกับเมาส์-คีย์บอร์ดแบบมีสาย (หัว PS2 ทั้งคู่ด้วยนะ!) ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว

สิ่งที่น่าตะลึงคือคีย์บอร์ดเป็นปุ่มแบนแบบชิคเล็ต แต่วางปุ่มลอยขึ้นมาสูงแล้วเว้นช่องว่างระหว่างคีย์เป็นหลุมลึก (เราควรเรียกมันว่าคีย์บอร์ดแบบพิมพ์ดีด?) เพิ่งเคยเจอครั้งแรก ในระยะยาวน่าจะมีปัญหาเรื่องฝุ่นผมร่วงลงไปเยอะอยู่

IMG_5629

คีย์บอร์ดดีไซเนอร์มักมีปัญหา usability ใช้ยากเกินความจำเป็น จากภาพจะเห็นว่าปุ่ม Delete/Insert ถูกวางเรียงติดกันเป็นพรืด ไม่สามารถใช้การคลำเพื่อกดปุ่มได้เลย แถมปุ่มลูกศรก็เอามาวางเรียงติดกับ Shift/Control ด้านขวาอีกด้วย พิสดารมาก (ระยะยาวคงถูกแก้ไขด้วยคีย์บอร์ด Logitech ตัวละ 100-200 เป็นแน่)

IMG_5635

ปิดท้ายด้วยภาพถ่ายร่วมของ All-in-One สองตัวที่มีในตอนนี้ เล่นเอาโต๊ะเต็มเลยทีเดียว เครื่องนี้ถือเป็น Acer ตัวที่สองในชีวิต และเป็น Acer แบบเต็มๆ ตัวแรก (ตัวก่อนนี้เป็น Gateway ที่เป็นแบรนด์ลูก)

ประเด็นสุดท้ายที่ต้องคิดหนัก (อีกแล้ว) คือการตั้งชื่อเครื่อง เปิดโพย แล้วสรุปว่าได้ชื่อ Mifune เพราะมันพิมพ์ง่ายดี!

Rivers in Luang Prabang

$
0
0

มาเที่ยวหลวงพระบางครับ หลวงพระบางเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สายคือ แม่น้ำโขง (คนแถวนี้เรียก แม่น้ำของ) และ แม่น้ำคาน ดังนั้นถ้าอยู่ในตัวเมืองหลักของหลวงพระบาง เดินไปทางไหนก็ต้องเจอแม่น้ำเข้าสักสายหนึ่งจนได้

ว่าแล้วก็แปะรูปแม่น้ำเสียเลย (ภาพทั้งหมดถ่ายด้วยโหมด panorama ของ ICS) เริ่มจากแม่น้ำโขงก่อน อันนี้เป็นท่าข้าม มีเรือข้ามไปฝั่งตรงข้าม + ล่องแม่น้ำไปยังเมืองอื่นๆ ในละแวกนั้น

ภาพที่สองเป็นท่าข้ามอีกจุดหนึ่ง ด้านขวามือจะเห็นดินสันดอนปากแม่น้ำ ตรงนั้นคือจุดบรรจบของแม่น้ำคานเข้ามารวมกับแม่น้ำโขง

มาดูแม่น้ำคานกันบ้าง (รูปนี้ถ่ายแล้วเบลอไม่ทราบสาเหตุ) แม่น้ำคานจะมีสีน้ำตาลเข้มกว่าเพราะชะล้างดินจากบนเขาลงมา และมีชาวบ้านทำสะพานไม้ไผ่เพื่อข้ามฝั่งเป็นระยะๆ

รูปสุดท้ายเป็นแม่น้ำคานอีกช่วงหนึ่ง น้ำในฤดูนี้ยังไม่เยอะมาก ต่ำกว่าตลิ่งเยอะมาก (ถ้าน้ำล้นตลิ่งนี่ก็น่ากลัวเหมือนกัน)

A Brief History of Laos

$
0
0

มาเที่ยวลาวก็ควรจะเข้าใจประวัติศาสตร์ลาวไว้บ้าง เวลาไปดูโน่นนี่จะได้ติดตามเรื่องราวได้ถูก และเข้าใจว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในยุคไหน มีแรงจูงใจอะไรบ้าง

ผมก็เพิ่งมาเริ่มอ่านประวัติศาสตร์ลาวเมื่อเร็วๆ นี้ เท่าที่พอสรุปให้ตัวเองเข้าใจได้แบบคร่าวๆ ก็ตามนี้ (ถ้าผิดก็รบกวนผู้รู้แก้ด้วยนะครับ)

ข้อมูลอ้างอิงจาก

  • หนังสือ "คู่มือนำเที่ยวหลวงพระบาง" โดย ศรัณย์ บุญประเสริฐ
  • หนังสือ "ประวัติศาสตร์ลาวหลายมิติ" โดย รศ.ดร.ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์
  • Wikipedia

ยุคกำเนิด

คนลาวเป็นกลุ่มหนึ่งของชนชาติไท-ไต ที่อพยพลงมาจากจีนตอนใกล้ (ตำนาน "น่านเจ้า-หนองแส-ตาลีฟู" แบบเดียวกับไทย อันนี้ยังเป็นที่กังขาว่าจริงหรือไม่เช่นกัน) ส่วนคนพื้นถิ่นเดิมคือเผ่าข่า นอกจากนี้พื้นที่ลาวในอดีตก็ได้รับอิทธิพลจากจามและเขมร ซึ่งอยู่ทางใต้ของคาบสมุทรอินโดจีนด้วย

ตามตำนานบอกว่า ขุนบรม เป็นผู้นำของชนชาติลาวที่อพยพลงมาจากจีน ขุนบรมมีบุตรชาย 7 คน คนโตชื่อ ขุนลอ เป็นคนตั้งเมือง เชียงทอง (หลวงพระบางในปัจจุบัน) ขึ้นมา ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ยังเลือนลาง ส่วนมากเป็นแต่ตำนานบอกเล่ากันต่อๆ มา

ล้านช้าง

ประวัติศาสตร์แบบ officially ของลาวเริ่มขึ้นที่ พระเจ้าฟ้างุ้ม (Fa Ngum) เป็นคนตั้ง อาณาจักรล้านช้าง (Lan Xang) ขึ้นมาในปี 1353 รวมชาติให้เป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรก เริ่มรับศาสนาพุทธเข้ามาจากขอม มีอาณาเขตแผ่ไปถึงตอนเหนือของเวียดนามและทางใต้คือภาคอีสานของไทยในปัจจุบัน

ล้านช้างดำรงอยู่ต่อมาอีกพักใหญ่ มีการเชื่อมโยงกับอาณาจักรขอมผ่านการแต่งงาน และขอ "พระบาง" พระพุทธรูปลังกามาจากนครวัด (ปัจจุบันคาดว่าเป็นพระพุทธรูปจากขอมเองมากกว่า) มาไว้ที่เชียงทอง (ปัจจุบันยังเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์-พระราชวังหลวงพระบางเดิม)

ปี 1558 เริ่มเผชิญการคุกคามจากพม่า โดยล้านนา/เชียงใหม่ในฐานะรัฐเพื่อนบ้านโดนพม่าตี ทำให้ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (Xētthāthirāt) ต้องย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เวียงจันทน์ในปี 1560 และจับมือเป็นพันธมิตรกับอยุธยา พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมีบทบาทสร้างวัดสำคัญๆ ในอีสานหลายแห่ง เช่น พระธาตุพนม พระธาตุศรีสองรัก (วัดพระแก้วที่เวียงจันทน์ถูกสร้างขึ้นในสมัยนี้ โดยเชิญพระแก้วมรกตมาจากเชียงใหม่)

ในช่วงที่ย้ายเมืองหลวงมาเวียงจันทน์ ลาวได้นำพระบางไปซ่อนไว้ในถ้ำเพื่อป้องกันไม่ให้พม่ายึดไป และเปลี่ยนชื่อเมืองเชียงทองเป็นหลวงพระบางแทน

ปี 1570 ช่วงเดียวกับอยุธยาเสียกรุงครั้งแรก เวียงจันทน์โดนพม่าตีแตก แต่ก็กู้เอกราชกลับมาได้เร็ว ช่วงหลังจากนี้เวียงจันทน์ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าสลับกับสยามเป็นระยะๆ มีบางช่วงไม่มีกษัตริย์ปกครองด้วยซ้ำ

ปี 1638 พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ขึ้นครองบัลลังก์เวียงจันทน์ ประเทศกลับมาเจริญรุ่งเรืองตลอดรัชสมัย 57 ปี เวียงจันทน์กลายเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนา จับมือเป็นพันธมิตรกับสยามช่วงสมัยพระนารายณ์ ทำให้เป็นเอกราชจากพม่าและเวียดนามได้ ช่วงนี้เริ่มมีนักบวชตะวันตกเดินทางเข้ามาเป็นครั้งแรก

3 อาณาจักร

หลังพระเจ้าสุริยวงศาสวรรคตปี 1695 ไม่มีทายาท ทำให้ต่างชาติคือสยามและเวียดนามเข้ามาแทรกแซง สุดท้ายลาวแตกเป็น 2 อาณาจักร

  • หลวงพระบาง ทางตอนเหนือ เป็นรัฐในปกครองของสยาม ปกครองโดยเจ้ากิ่งกิสราช
  • เวียงจันทน์ ตอนกลาง ส่งบรรณาการให้ทั้งสยามและเวียดนาม ปกครองโดยเจ้าไชยองค์เว้

ภายหลังลาวตอนใต้คือ จำปาสัก ก็แยกตัวออกมาเป็นอาณาจักรที่สามในปี 1713

เมืองขึ้นของสยาม

อาณาจักรลาวช่วงนี้แยกกันต่างคนต่างอยู่มาพักใหญ่ ในช่วงที่ไทยเสียกรุงครั้งที่สองให้พม่า ลาวก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าด้วย จนกระทั่งพระเจ้าตากสินกู้เอกราชได้และขึ้นมาตีเชียงใหม่ ก็ได้ส่งเจ้าพระยาจักรี (รัชกาลที่ 1) มาตีเวียงจันทน์ ได้พระแก้วมรกตไปอยู่กรุงเทพ ลาวเวียงจันทน์เลยเป็นของไทยตั้งแต่ปี 1778 ส่วนหลวงพระบางเป็นของสยามในปี 1792 แต่ยังมีกษัตริย์ครองนครอยู่

ลาวเริ่มฟื้นฟูอิทธิพลของตัวเองเพื่อแยกตัวจากสยาม โดยอาศัยเวียดนามเข้าช่วย เหตุการณ์สำคัญคือ เจ้าอนุวงศ์ (Ānuvong) ที่ก่อกบฎต่อสยามและตีลงมาได้ถึงโคราช แต่ฝ่ายหลวงพระบางกลับไม่ยกทัพมาช่วยเพราะอยู่กับฝ่ายสยาม ทำให้รัชกาลที่สามสามารถยกกองทัพมาเอาชนะเจ้าอนุวงศ์ได้ (เจ้าอนุวงศ์ในมุมมองของคนลาวคือวีรบุรุษผู้ประกาศเอกราชต่อสยาม)

เวียงจันทน์หลังยุคเจ้าอนุวงศ์ถูกทำลายโดยกองทัพสยาม และอาณาจักรลาวกลางถูกผนวกกลายเป็นจังหวัดของสยาม สิ้นสุดสมัยของกษัตริย์ในยุคนี้ (ส่วนกษัตริย์ของหลวงพระบางยังคงอยู่ แต่ในฐานะประเทศราชของสยาม)

ลาวตกเป็นของสยามจนกระทั่งฝรั่งเศสบุกเข้ามา ช่วงนี้มีเหตุการณ์จีนฮ่อบุกเข้ามาจากทางเหนือ ไทยต้องขอให้ฝรั่งเศส (ที่เป็นเจ้าของเวียดนามแล้ว) ช่วยเหลือ ซึ่งก็ส่งผลให้ฝรั่งเศสแผ่อิทธิพลมาเรื่อยๆ

สุดท้ายไทยเสียลาวกลาง-ใต้ (ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง) ไปเมื่อปี 1893 (พ.ศ. 2436 จากเหตุการณ์ รศ. 112) และเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง (หลวงพระบาง) ในปี 1903 (พ.ศ. 2446)

จากนั้นลาวจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมอินโดจีน (French Indochina) นับช่วงที่ตกเป็นเมืองขึ้นของไทยนาน 114 ปี

เมืองขึ้นของฝรั่งเศส

อาณานิคมของฝรั่งเศสแบ่งออกเป็น 5 ส่วนได้แก่ (แผนที่)

  • ตังเกี๋ย (รัฐอารักขาไม่มีกษัตริย์) ==> เวียดนามเหนือ
  • อันนัม (รัฐอารักขามีกษัตริย์) ==> เวียดนามกลาง
  • โคชินไชน่า (อาณานิคม) ==> เวียดนามใต้
  • ลาว (รัฐอารักขามีกษัตริย์)
  • เขมร (รัฐอารักขามีกษัตริย์)

จุดศูนย์กลางของอินโดไชน่าอยู่ที่ไซ่ง่อน และภายหลังย้ายมาฮานอย ทำให้ลาวมีสภาพถูกทิ้ง ไม่ได้รับการพัฒนาเท่ากับเวียดนาม ข้าราชการ นักศึกษาระดับสูงจึงมักต้องไปเรียนที่ฮานอย (และชั้นสูงขึ้นไปก็ต้องไปฝรั่งเศส)

ลาวยุคอาณานิคมแบ่งออกเป็น 2 เขตใหญ่ๆ คือ ลาวเหนือ (หลวงพระบาง) มีกษัตริย์ปกครอง ส่วนลาวใต้คือตั้งแต่เวียงจันทน์ลงไป เป็นเขตที่ฝรั่งเศสปกครองโดยตรง

ประกาศเอกราช

ลาวเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสอยู่ประมาณ 50 ปี พอถึงปี 1944 เกิดสงครามโลก ฝรั่งเศสถอนตัวจากอินโดจีน (เพราะประเทศแม่ก็โดนฮิตเลอร์บุกยึดเรียบร้อย) ทำให้ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองแทนอยู่พักหนึ่ง พอญี่ปุ่นแพ้สงครามไป ลาวก็ประกาศอิสรภาพในปี 1945 รวมประเทศลาวทั้งสองส่วนเป็นหนึ่งเดียว

ช่วงที่ก่อนสงครามโลกเป็นต้นมาเป็นรัชสมัยของ พระเจ้าศรีสว่างวงศ์ (เกิด 1904) ในยุคนี้มีเจ้าของลาว 3 พระองค์ที่เป็นพี่น้องกัน และมีบทบาทอย่างมากต่อการเมืองของลาวยุคหลังสงครามโลก (เป็นญาติกับเจ้าศรีสว่างวงศ์)

  • องค์โต เจ้าเพ็ดชะราช (เกิด 1889)
  • องค์รอง เจ้าสุวรรณภูมา (เกิด 1901)
  • องค์ที่สาม เจ้าสุภานุวงศ์ (เกิด 1909)

เจ้าเพ็ดชะราชเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของลาว คือ ควบทั้งตำแหน่งพระมหาอุปราช และอัครเสนาบดี (นายกรัฐมนตรี) ช่วงปลายสงครามโลกเป็นผู้ก่อตั้งขบวนการกู้ชาติลาว และเป็นคนประกาศอิสรภาพของลาวที่เวียงจันทน์ในปี 1945

ปัญหาคือฝรั่งเศสกลับเข้ามาในอินโดจีนอีกครั้งหลังสงคราม และเจ้าศรีสว่างวงศ์มีแนวคิดกลับไปเป็นรัฐในปกครองของฝรั่งเศส จึงปลดเจ้าเพ็ดชะราชออกจากตำแหน่ง และเมื่อปี 1946 กองทัพฝรั่งเศสยึดลาวได้ เจ้าเพ็ดชะราชและฝ่ายลาวอิสระจึงหนีข้ามมาอยู่ไทย

ฝ่ายลาวราชอาณาจักรตกลงเป็นประเทศเอกราช ภายใต้สหภาพฝรั่งเศส มีรัฐธรรมนูญของตัวเองในปี 1947 ช่วงนี้ฝ่ายลาวอิสระที่เพลี่ยงพล้ำ แตกออกเป็น 3 ฝ่ายตาม 3 พี่น้อง

  • เจ้าเพ็ดชะราช เป็นกลาง อยู่ในไทย
  • เจ้าสุวรรณภูมา เข้าข้างฝรั่งเศส กลับไปหลวงพระบาง
  • เจ้าสุภานุวงศ์ ต้องการอิสระ เลยขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม (ฝ่ายของโฮจิมินห์)

ฝ่ายเจ้าสุวรรณภูมา กลับลาวไปเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1951 ภายใต้เจ้าศรีสว่างวงศ์

ฝ่ายเจ้าสุภานุวงศ์ ตั้งรัฐบาลของตัวเองในปี 1950 ชื่อ ขบวนการปะเทดลาว มีฐานที่มั่นอยู่ทางเหนือด้านที่ติดกับเวียดนามตอนเหนือ มีผู้นำฝ่ายพลเรือนอีกคนคือ ไกรสอน พมวิหาน

ฝรั่งเศสแพ้สงครามอินโดจีน (โดยเฉพาะแพ้เวียดนาม) เลยเซ็นสัญญาเจนีวา ถอนตัวออกไปในปี 1954 ลาวได้เอกราชอย่างสมบูรณ์ แต่ลาวเองก็แตกออกเป็น 2 ส่วน คือ ลาวราชอาณาจักร (สนับสนุนโดยสหรัฐและไทย) และลาวคอมมิวนิสต์ (สนับสนุนโดยเวียดนามและรัสเซีย)

สงครามกลางเมือง

ลาว 2 ฝ่ายรบกันอยู่พักหนึ่ง และเจรจาตั้งรัฐบาลผสมในปี 1957 โดยให้เจ้าสุวรรณภูมาซึ่งค่อนข้างเป็นกลาง เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ภายในฝ่ายราชอาณาจักรเองก็มีความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเจ้ากับฝ่ายขวาจัด มีการรัฐประหารกันไปมา

ปี 1959 เจ้าศรีสว่างวงศ์ และ เจ้าเพ็ดชะราช เสด็จสวรรคตในปีเดียวกัน ฝ่ายลาวราชอาณาจักรได้กษัตริย์องค์ใหม่คือ เจ้าศรีสว่างวัฒนา ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว

ความพยายามตั้งรัฐบาลผสมสองฝ่ายสิ้นสุดในปี 1964 เมื่อลาวฝ่ายขวารัฐประหาร (แต่ไปไม่รอด) ลาวฝ่ายซ้ายจึงหนีออกนอกนครหลวงเวียงจันทน์ และเริ่มสงครามเต็มรูปแบบในปี 1968 จนถึงปี 1973 สงครามก็ยุติเพราะสหรัฐเปลี่ยนนโยบายในสงครามเวียดนาม จึงเลิกสนับสนุนลาวฝ่ายราชอาณาจักร

ระหว่างปี 1973-1975 เป็นการปะทะกันทางการเมือง ลาวฝ่ายราชอาณาจักรอ่อนแอลงมาก ฝ่ายขบวนการปะเทดลาวได้ชัยชนะในปี 1975 ทำให้เจ้าศรีสว่างวัฒนาสละราชบัลลังก์ ลาวกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์ ฝ่ายเจ้าลาวเดินทางออกนอกประเทศไปยังฝรั่งเศส สหรัฐ และไทย

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ลาวหลังปี 1975 มีเจ้าสุภานุวงศ์เป็นประธานประเทศ และไกสอน พมวิหาน เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก สืบทอดอำนาจรัฐบาลมาจนถึงทุกวันนี้ ใช้ชื่อประเทศว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" หรือ Laos PDR

โดยสรุปแล้ว ศูนย์กลางของลาวยุคราชอาณาจักรอยู่ที่หลวงพระบางมาโดยตลอด ถึงแม้จะโดนรุกรานและตกเป็นเมืองขึ้น แต่เจ้าของลาวก็อยู่ที่หลวงพระบางมาจนถึงปี 1975 ดังนั้นวัฒนธรรมของลาวก่อนสมัยใหม่ (เน้นเรื่องพุทธ-เจ้า) จึงมีศูนย์กลางที่หลวงพระบางนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่หลวงพระบางโดนรุกรานบ่อยครั้ง ทำให้เมืองเก่าถูกทำลายไปมาก สิ่งปลูกสร้างของหลวงพระบางในปัจจุบันส่วนใหญ่จึงเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคราชอาณาจักรช่วงหลังๆ (หลังเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส) เสียมาก

Keyword:

Panoramic Luangprabang

$
0
0

ถัดจาก ชุดแรก มาเก็บตกภาพชุดพานอรามาในหลวงพระบางกันต่อ ทั้งหมดถ่ายด้วยฟีเจอร์ Panorama ของ Android ICS ครับ (มันง่ายที่สุดแล้วคือต่อให้เสร็จสรรพในตัว ไม่ต้องมานั่งต่อเองเหมือนแต่ก่อน แต่ก็มีปัญหาภาพเบลอบ้างในบางกรณี)

เริ่มจากแม่น้ำโขง มุมจากพระธาตุพูสี ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สำคัญของเมืองหลวงพระบาง

Mekong River - from Phou si

อีกรูปถ่ายจากมุมที่สูงขึ้นไปอีกนิด ฝรั่งนั่งปักหลักรอดูพระอาทิตย์ตกกันเพียบ (ส่วนเราขี้เกียจรอ)

Mekong River - from Phou si

อีกด้านบนพระธาตุพูสี หันไปแล้วจะเห็นตัวเมืองหลวงพระบางสวยงาม มุมนี้จะเห็นโค้งแม่น้ำคาน พร้อมสะพานเหล็ก (ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปถ่ายจากตรงนั้นด้วย)

Luang Prabang Panorama - View from Phou Si

อีกมุมของเมืองหลวงพระบาง เขยิบจากจุดเมื่อกี้เล็กน้อย โค้งน้ำจะไม่สวยเท่าแต่เห็นถนนชัดกว่า

Luang Prabang จากพระธาตุพูสี

จากสะพานแดงของแม่น้ำคาน ถ่ายกลับไปยังพูสี (เห็นพระธาตุเล็กๆ ด้านซ้ายมือบนเขา) ข้างขวามือของภาพเป็นรีสอร์ทที่อยู่ข้างๆ แม่น้ำคาน

แม่น้ำคาน - Nam Khan River

แม่น้ำโขงจากริมฝั่งวัดพระบาทใต้ อยู่ด้านใต้ของตัวเมือง เป็นจุดชมวิวอีกอันที่เห็นสันทรายสวยงาม

แม่น้ำโขง

ยังมีภาพถ่ายซ้ำมุม (กันเสีย) อีกเล็กน้อย อยู่ในอัลบั้ม Panoramic Luangprabang

รีวิวกล่องดาวเทียม GMM Z

$
0
0

การบุกเข้ามาในตลาดทีวีดาวเทียมของกลุ่มแกรมมี่ถือว่าน่าสนใจมาก (รายละเอียดดูในบทความ “อากู๋” แถลงข่าวแกรมมี่เปลี่ยนชื่อ 1 Sky เป็น GMM Z บล็อกนี้จะรีวิวกล่องเป็นหลัก)

ผมจดๆ จ้องๆ จะซื้อ GMM Z มานานตั้งแต่เป็น 1 Sky แต่เช็คข้อมูลในเว็บแล้วพบว่าห่วยมาก และ feedback จากคนที่ใช้อยู่ออกมาเข้าขั้นแย่ จนกระทั่งแกรมมี่ประกาศรีแบรนด์เป็น GMM Z และทำตลาดแบบจริงจัง จึงค่อยน่าสนใจขึ้นมาหน่อย

ต้องอธิบายนิดนึงว่าเดิมทีผมติดจาน DTV อยู่แล้ว (โลกของทีวีดาวเทียมมันยิ่งใหญ่มากนะครับ ถ้าดูแต่ True Visions จะพลาดอะไรหลายอย่างไปมาก) ปรากฏว่ากล่อง DTV เกิดเจ๊งขึ้นมาพอดี (ซึ่งเป็นปัญหาของ DTV เพราะกล่องเจ๊งเยอะ) เลยตัดสินใจซื้อกล่อง GMM Z มาลองดู ถ้าใช้ได้ก็จะได้ใช้แทนไปเลย โมเดลการขายกล่องของแกรมมี่คือขายแต่กล่องเท่านั้น (กล่องทำโดยเครือสามารถด้วยซ้ำ) ส่วนจานจะเป็นจานอะไรก็ได้อยู่แล้ว (ทั้ง C/KU Band) ขอแค่มีสาย coaxial ลากมาถึงข้างๆ ทีวี เปลี่ยนมาเสียบเข้ากล่อง GMM Z ก็ใช้ได้เลย ตรงนี้ต้องยอมรับว่าทำการบ้านมาดี (สำหรับคนที่ยังไม่มีจานก็เห็นมีจับมือกับ DTV ขายเป็นแพกเกจพิเศษกล่อง+จานเหลือง)

จุดที่น่าสนใจมากคือช่องทางการขายกล่องที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงขายใน 7-Eleven ด้วย ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนี้ เพราะตั้งใจไปซื้อที่ร้านขายกล่องดาวเทียมใกล้บ้าน ปรากฏว่าวันที่ไปซื้อเจอสถานการณ์ "ของหมด" เลยตัดสินใจเดินไปดูที่ 7-Eleven แถวนั้น ซึ่งก็มีขายและซื้อมาในราคา 1,590 บาทครับ (ร้านขาย 1,500 ถ้วน) การซื้อกล่องดาวเทียมใน 7-Eleven ถือเป็นประสบการณ์เซอร์เรียลครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ

GMMZ from 7-Eleven

หมดช่วงโม้แล้วมาเข้าสู่การรีวิวดีกว่า เริ่มจากการแกะกล่อง กล่องมีสองชั้น กล่องชั้นนอกเป็นกล่องสีขาวแบบสอด ส่วนชั้นในเป็นสีดำแบบฝาพับ

GMMZ Box

ด้านหลังเป็นโฆษณาช่องพิเศษของ GMM Z ที่แกรมมี่ทำเอง พร้อมเบอร์โทรเข้าศูนย์คอลล์เซ็นเตอร์

GMMZ Box - Rear

รายละเอียดด้านข้างกล่อง ทำโดยบริษัทสามารถวิศวกรรม

GMMZ Label

เปิดมาแล้วเจอกล่องรับสัญญาณอยู่ในพลาสติกห่อ

GMMZ Wrap

อุปกรณ์ภายในกล่องมีไม่กี่อย่าง เริ่มจากตัวกล่องรับสัญญาณ รีโมท สายเอวี และถ่านรีโมท

GMMZ Unbox

ด้านหลังของกล่องแทบไม่มีอะไรให้เสียบเลย มีแค่สายเอวีกับสายโคแอกเชียลเท่านั้น

GMMZ Box - Rear

รีโมทควบคุมกล่อง อันนี้ผมเคยฟังคุณเดียว ตั้งวรกุล ของ GMMZ พูดในที่ประชุมของ กสทช. ว่าแกรมมี่ตั้งใจทำปุ่มสีเขียวเป็นปุ่มลัดเข้าหมวดช่องต่างๆ มาให้เลย จะได้กดกันง่ายๆ

GMMZ Remote

ด้านหน้าของกล่อง (ยังไม่เปิด) มีปุ่มเปิดเครื่อง และปุ่มเปลี่ยนช่อง

GMMZ Front

เปิดเครื่องแล้วจะมีไฟแดงแสดงสถานะขึ้นมาครับ

GMMZ On (with screen)

ช่วงแรกเปิดมาใหม่ๆ กำลังเช็คเฟิร์มแวร์ จะมีตัวเลข % ความคืบหน้าขึ้นมาแสดงบนตัวเครื่องด้วย

GMMZ Box

หน้าจอเปิดเครื่อง สังเกตโลโก้ยังเป็น 1 Sky อยู่ (พร้อม ...เอ่อ.. โฆษณา) โดยอัพเกรดเฟิร์มแวร์ผ่าน OTA

GMMZ Splash - Before Updating

อัพเกรดเสร็จแล้วรีบูท เปลี่ยนโลโก้เป็น GMM Z แทนแล้ว

GMMZ Splash - After Updating

หน้าจอตอนอัพเดต OTA

GMMZ OTA Update

เมื่อเปิดเครื่องเรียบร้อยแล้ว การใช้งานก็ไม่ต่างอะไรกับกล่องดาวเทียมทั่วๆ ไปครับ เรื่องคุณภาพสัญญาณผมรู้สึกว่าภาพไม่ชัดเท่ากับ DTV อันนี้ไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร ส่วนช่องที่มีให้ดู สำหรับจาน KU Band ก็ไม่ต่างอะไรจากกล่อง DTV มากนัก (ดาวเทียมเดียวกันนิ)

ปัญหาในการรับชมคือ GMM Z เองกลับไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อช่องที่รับได้ในทุกกรณีครับ ในเว็บ GMM Z เองไม่มีข้อมูลตรงนี้ ใน Facebook ของ GMM Z ก็ไม่มี เคยถามที่ร้านเขาก็บอกว่าไม่มีใบรายการมา อันนี้ถือว่าแย่มาก ผมเข้าใจว่าแกรมมี่ยังไม่อยาก fix รายชื่อช่องที่ยังไม่นิ่ง แต่มันมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้ามากเลยนะ!

ดังนั้นผมไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากมานั่งไล่ดูช่องเองครับ เนื้อหา ณ วันที่ 30 พ.ค. 2555 ก็ตามในตารางด้านล่าง

การเรียงช่องของแกรมมี่ดูแปลกๆ เพราะเว้นระยะห่างระหว่างเลขช่องมาก (อันนี้ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม) แต่สังเกตว่าจะเรียงหมวดหมู่ช่องลักษณะเดียวกันไว้ใกล้ๆ กันมากกว่ากล่อง DTV ที่เคยใช้

ช่องที่น่าสนใจก็มีอย่างช่อง RS ด้วยนะ

RS - You Channel

ช่อง Maxxi TV ของแกรมมี่ทำเอง เน้นต่อยอดเนื้อหาจากนิตยสาร Maxim

MIXX TV

ในเบื้องต้น เมื่อติดตั้งกล่องเรียบร้อยแล้ว เราจะดูช่องมาตรฐานได้เกือบหมด ยกเว้นช่องพิเศษที่ต้องโทรไป activate ที่ call center เอาเองทีหลัง (เบอร์ 02-841-8888) โดยต้องใส่ ID 13 หลักที่แปะอยู่บนกล่อง และให้ข้อมูลชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรเล็กน้อย

ช่องพิเศษมี 2 กลุ่มใหญ่ๆ

  • ช่องแกรมมี่เอง 3 ช่อง ได้แก่ GMM Z Hits (ช่อง 0 หรือ 7) เป็นวาไรตี้ทั่วไป, GMM Z Genius (399) ช่องสารคดี, GMM Z Theatre (400) ช่องหนัง พวกนี้โทรไปแล้วสามารถดูได้เลย
  • ช่องพรีเมียม ที่แกรมมี่เตรียมคิดเงินในอนาคต แบ่งเป็นช่องหนังฝรั่ง (Warner/Nick/NatGeo) และช่องกีฬา (GMM Sport One/Football Plus) แจ้งแล้วต้องรออีกหลายวันจึงจะดูได้ พวกนี้ดูได้ฟรี 30 วัน จากนั้นถ้าอยากดูต่อต้องไปซื้อพอยต์มาจ่ายเองแบบบัตรเติมเงิน โดยแพกเกจกีฬาใช้ 300 พอยต์ได้นาน 30 วัน ส่วนแพกเกจรวมมิตร 450 พอยต์

เท่าที่ดูช่องพิเศษของแกรมมี่เองยังไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากครับ

สรุปแล้วกล่อง GMM Z ในตัวฮาร์ดแวร์มันเองไม่มีอะไร ส่วน content เป็นเกมยาวที่ต้องดูกันนานๆ โดยแกรมมี่จะพยายามหา exclusive content เข้ามาจูงใจผู้บริโภค เริ่มต้นก็จากการถ่ายบอลยูโร 2012 ก่อน แต่หลังจากนั้นต้องดูกันอีกครั้ง

ถ้ามีจาน KU Band อยู่แล้วจะซื้อมาติดเพิ่มเพื่อดูยูโรก็น่าจะพอคุ้มอยู่ (คือมันไม่เสียรายเดือน ก็เป็น upfront ครั้งเดียวพันห้า) แต่ถ้าไม่สนใจเรื่องฟุตบอลและมีจานอื่นอยู่แล้ว ก็ยังไม่น่าจะคุ้มเท่าไรครับ

Review - Bangkok Airways Lounge at Suvarnabhumi Airport

$
0
0

ดูโฆษณา Bangkok Airways ชุดพี่ปีเตอร์มานาน (แปลว่าโฆษณามันได้ผลนะ คือผมจำภาพได้ว่าเฮ้ย มันมีเลานจ์ให้นั่งเพราะทำกาแฟหกใส่ปีเตอร์) แต่ไม่มีโอกาสได้ขึ้นเสียที พอมีโอกาสก็เลยลองเสียหน่อยแล้วกัน

ที่ไปนั่งรอบนี้เป็นเลาจ์ของ Bangkok Airways ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซีกต่างประเทศ (international) นะครับ สำหรับซีกในประเทศ (domestic) เป็นอย่างไรอันนี้ไม่ทราบ

ตัวเลาจ์จะอยู่โซน A แต่อยู่ชั้น 3 คือต้องเดินลงบันไดจากชั้น 4 ปกติไปหนึ่งชั้น ลงไปแล้วจะอยู่ด้านขวามือ หาไม่ยากอะไร

Bangkok Airways Lounge

เลาจ์มี 2 ปีกคือ เลานจ์ปกติสำหรับผู้โดยสารทั่วไป และ Blue Ribbon Lounge สำหรับผู้โดยสารธุรกิจขึ้นไป พวกเบี้ยน้อยอย่างเราควรจะได้นั่งเลานจ์ปกติ แต่บังเอิญจริงๆ ว่าตอนนี้มีโปรโมชั่น AIS Serenade สามารถอัพเกรดไปใช้ Blue Ribbon ได้ แบบนี้ก็เสร็จโก๋สิครับ

หน้าตาเลานจ์ฝั่ง Blue Ribbon เป็นแบบนี้

Blue Ribbon Premium Lounge

จุดต่างที่สำคัญของเลานจ์ปกติกับ Blue Ribbon คือมีอาหารเป็นมื้อเสิร์ฟด้วย (รายละเอียดดูกันเองตามเมนู) โดยอาหารจะแยกตามช่วงเวลาที่เราไปใช้บริการ

Blue Ribbon Premium Lounge

ผมไปรอบเช้ามีให้เลือก 2 อย่างคือ เกี๊ยวน้ำ กับ ข้าวต้มบะกุ๊ดเต๋ เนื่องจากไปสองคนก็ง่ายมากคือสั่งมาสองอย่างเลย

ข้าวต้มมันหวานไปนิด ไม่อร่อยเท่าไร

ข้าวต้ม บักกุดเต๋

เกี๊ยวกุ้งโคตรอร่อย เติมได้ และแน่นอนว่าเราเบิ้ล

Blue Ribbon Premium Lounge

อาหารอื่นๆ มีของว่างให้ตักเองแบบบุฟเฟต์

Blue Ribbon Premium Lounge

Blue Ribbon Premium Lounge

Blue Ribbon Premium Lounge

เริ่มจากขนมจีบ ซาลาเปา อันนี้เฉยๆ (มันไม่ค่อยร้อนด้วย)

Blue Ribbon Premium Lounge

แซนด์วิซและขนมปังต่างๆ

Blue Ribbon Premium Lounge

ของหวานแบบเป็นถ้วยก็มี อันนี้สั่งลูกตาลลอยแก้ว

ลูกตาลลอยแก้ว

กินเสร็จได้เวลาสำรวจ ในเลานจ์มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้งาน (มี Wi-Fi บริการ ขอได้จากเคาเตอร์ด้านหน้า ต่อได้แค่ 1 device เข้าใจว่าเช็คจาก MAC)

Blue Ribbon Premium Lounge

หนังสือพิมพ์

Blue Ribbon Premium Lounge

ถ้ามีเวลาเหลือจริงๆ สามารถนอนได้เลยนะ

Blue Ribbon Premium Lounge

บรรยากาศเท่มาก นอนดูเครื่องบิน (อยากลองสักครั้งแต่กลัวตกเครื่องแหะ)

Blue Ribbon Premium Lounge

โซฟา

Blue Ribbon Premium Lounge

เก้าอี้นวด

Blue Ribbon Premium Lounge

นิตยสาร

Blue Ribbon Premium Lounge

ห้องน้ำในตัวไม่ต้องออกไปข้างนอก สะอาดดีมาก (อาจเป็นเพราะไปเช้าคนยังใช้น้อย)

Toilet

มีห้องอาบน้ำหรือ shower room ให้ด้วย แต่ไม่แน่ใจว่ามีผ้าเช็ดตัวให้หรือเปล่านะครับ

Shower Room

ไดร์เป่าผมก็มีให้

Blue Ribbon Premium Lounge

บรรยากาศด้านนอก

Blue Ribbon Premium Lounge

ไหนๆ ไปถึงที่แล้วก็ขอไปดูเลานจ์แบบมาตรฐานบ้าง เผื่อมาคราวหน้าหมดโปรโมชัน Serenade แล้วจะได้รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง

เลานจ์แบบปกติเน้นสีสันสดใส ต่างไปจาก Blue Ribbon ที่เรียบหรู อาหารมีพอสมควรแต่ไม่มีมื้อหนักแบบเวอร์ชันพรีเมียม

Bangkok Air Normal Lounge

ป๊อปคอร์น กาแฟ เนสที

Popcorn

Coffee

มีโซฟายาวให้นอนด้วย (และตอนเข้าไปก็มีคนนอนอยู่ด้วย)

Bangkok Air Normal Lounge

Bangkok Air Normal Lounge

หนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ

Bangkok Air Normal Lounge

คอมพิวเตอร์ต้องยืนเล่น ไม่มีเก้าอี้ให้

Bangkok Air Normal Lounge

โดยรวมแล้วก็ประทับใจกับบริการในส่วนของเลานจ์ของ Bangkok Airways นะครับ (ให้ความรู้สึกดีกว่า AirAsia ประมาณ 150 เท่า) เพียงแต่รอบหน้าจะเลือกบินกับอะไรคงขึ้นกับเส้นทาง/ราคามากกว่าจะมีเลานจ์หรือไม่อะนะ

กินหมูกระทะเมืองลาว "ชิ้นดาดแคมของ" หลวงพระบาง

$
0
0

เป็นอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่ประทับใจมากครับ คือตอนไปเดินดูบ้านดูเมืองหลวงพระบางวันแรกที่ไปถึง ก็ไปเดินดูวิวริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งบริเวณนั้นก็มีร้านอาหารมากมาย ทั้งแบบเน้นฝรั่งชมวิว แบบเป็นห้องอาหารของโรงแรม-เกสต์เฮาส์ (ที่อยู่คนละฟากถนน) แต่ร้านที่สะดุดตาร้านหนึ่งคือ "หมูกระทะ" ซึ่งมีคนท้องถิ่นมากินกันพอสมควร

ร้านชิ้นดาดแคมของ

วันต่อมาพอต้องคิดว่าจะกินข้าวเย็นอะไร เลยตัดสินใจว่า ร้านนี้แหละ!

ร้านนี้ตามป้ายร้านจริงๆ เขาชื่อว่า "ชิ้นดาดแคมของ" (แปลเป็นไทยได้ว่า "เนื้อย่างริมโขง" นั่นล่ะครับ) อยู่ใกล้กับตลาดเช้าของหลวงพระบาง เดินมาถึงริมฝั่งแม่น้ำโขงแล้วเลาะมาเรื่อย ๆ หาไม่ยาก เปิดเฉพาะตอนเย็น

ร้านชิ้นดาดแคมของ

การสั่งอาหารมีทั้งแบบบุฟเฟต์และแบบสั่งเป็นชุด บุฟเฟต์มีให้ตักเองแบบเมืองไทย เนื้อชนิดต่างๆ ก็ดูดังภาพ (เนื้อแดงที่เห็นนั่นไม่ใช่เนื้อวัวนะครับ แถวนี้เขากินเนื้อควายกัน)

หมูกระทะลาว

หมูกระทะลาว Buffet เนื้อ

หมูกระทะลาว Buffet เนื้อ

หมูกระทะลาว Buffet เนื้อ

หมูกระทะลาว Buffet เนื้อ

หมูกระทะลาว Buffet ผัก

ราคาแบบบุฟเฟต์ตกหัวละ 60,000 กีบ (240 บาท) ตักได้ไม่อั้น แต่งานนี้เรามีแผนจะไปกินอย่างอื่นต่อด้วยเลยสั่งแบบเป็นชุดมาก็พอ ตกลงเป็นชุดหมู (หมายเลข 5 ในภาพ) ราคาชุดละ 40,000 กีบ (160 บาท)

ร้านชิ้นดาดแคมของ Menu

ชุดหมูหน้าตาแบบนี้ครับ หมูสไลซ์หนึ่งจาก และผักหนึ่งชุด

ชุดหมู 40,000 กีบ

คุณภาพของหมูค่อนข้างดีเลยนะ หมูแล่มาบางๆ เวลาเอาไปดาดแล้วจะหอมควันนิดๆ อร่อยดีครับ

หมู Sliced Pork

ผักและไข่สองฟอง (สั่งแยกเองจะแพงกว่าเล็กน้อย)

ผัก

ส่วนเครื่องเคียงต่างๆ มีน้ำจิ้มสุกี้วางมาเป็นขวดให้ที่โต๊ะเลย รสชาติจะหวานกว่าน้ำจิ้มเมืองไทยเยอะพอสมควร

น้ำจิ้ม

พริก มะนาว กระเทียม จัดมาให้เป็นชุด (ตักเพิ่มเองได้)

พริก มะนาว กระเทียม

ซอส+พริก

เตาถ่านจะวางบนโต๊ะอยู่แล้ว เมื่อสั่งอาหารเขาจะเอาถ่านใส่ที่ตักผงมาเทใส่ให้ (ผมชอบมาก)

ถ่าน Charcoal

ที่เหลือ ตอนกินก็เหมือนหมูกระทะเมืองไทยแล้ว ไม่มีอะไรแตกต่าง

หมูกระทะลาว

หมูกระทะลาว

หมูกระทะลาว

ปิดท้ายด้วยสาวเชียร์เบียร์ลาวครับ (ยูนิฟอร์มสีเหลือง มีเกือบทุกร้าน) น่ารักดี

สาวเชียร์เบียร์ เบียร์ลาว

โดยสรุปแล้ว หมูกระทะลาว ไม่มีอะไรต่างจากหมูกระทะเมืองไทยสักเท่าไรนัก แต่เป็นประสบการณ์ในชีวิตครั้งหนึ่งได้ลองกินหมูกระทะลาวดูว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

คนไทยในถิ่นเล่าว่า อัตราค่าครองชีพที่หลวงพระบางจะสูงกว่าเวียงจันทร์ ด้วยเหตุว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว และการขนส่งค่อนข้างลำบากด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนในถิ่นหรือคนนอกถิ่นก็ต้องจ่ายค่าอาหาร-สินค้า-น้ำมัน แพงเท่าๆ กัน (แพงกว่าเมืองไทยราว 30-50%)


Download All Your Photos Back from PicPlz

$
0
0

Today's Sad news is PicPlz shutting down (Blognone story).

As one of their early users, I posted a lot of photos there. These photos are part of my memory which I don't want to lose (This is a very good example of digital preservation). The bad thing is PicPlz team does not provide data downloading tool and you need to download it one by one.

I have total 396 photos on PicPlz so manually downloading is not possible. However we live in computing era and this can be possible with a few tricks.

Downloading PicPlz Photos with DownThemAll

There is a good Firefox extension called DownThemAll which helps you automate bulk/mass downloading process. So the first step is installing this extension if you haven't done it yet. Then follow these steps:

  1. Go to http://picplz.com and log in with your account
  2. You should be directed to http://picplz.com/yourphotos/ which shows you photos. This page is written by AJAX technique and it shows just few recent photos at first. You need to scroll down and it will show the next set of photos. Repeat this process until you reach the end of this page.
  3. Right click and choose 'DownThemAll'. A new dialog will pop up. Make sure you choose 'Links' tab in the top of dialog.
  4. Choose your destination folder in 'Save Files in' box
  5. Select 'Fast Filtering' and expand it. Type "download" in the box.
  6. Click 'Start' button in the dialog box. The download process should start in a new window.

PicPlz downloading

Wait until the process finishes and all your photos should be back in your hard drive.

Note: This process only download your photos. Those metadata, dates, places, view counts, comments are not included. You need to save the whole PicPlz web page via browser (and editing path-to-photo in HTML code directly).

Windows 8 Metro Problem

$
0
0

ลองใช้ Windows 8 RP แบบจริงจังมาสองวัน มีประเด็นที่ควรเขียนถึงหลายอย่าง แต่บล็อกอันนี้เอาเฉพาะเรื่องโหมด Metro ของ Windows 8 เสียก่อน

เนื่องจากว่าโหมด Metro ออกแบบมาสำหรับแท็บเล็ต และตอนนี้ยังไม่มีใครมีแท็บเล็ต Windows 8 ตัวเป็นๆ มาทดสอบกัน ดังนั้นการใช้ Metro แบบสัมผัสก็ต้องใช้จินตนาการประกอบด้วยเสียเยอะ (ผมโชคดีมี All-in-One จอสัมผัส พอคล้ายคลึงกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังไม่เหมือนกับแท็บเล็ตอยู่ดี)

เท่าที่ลองใช้ Metro มาพบว่าเราต้องปรับวิธีคิดใหม่ มองว่ามันเป็น "Windows Phone เวอร์ชันจอใหญ่" อย่าไปคิดว่ามันคือ "Windows โหมดใหม่" แล้วจะเข้าใจมันมากขึ้น

ไอเดียของตัว core ของ Metro ต้องยอมรับว่าทำได้ดี และมันลื่น เร็ว คล่องจริงดังที่โฆษณา แต่ปัญหาคือ "แอพ" มาตรฐานที่มากับ Metro มันยังจำกัดความสามารถอยู่มาก (นี่ Beta สุดท้ายแล้วนะเว้ย) ทำให้เรายังไม่สามารถใช้ Metro จริงในชีวิตประจำวันได้สักเท่าไร

สิ่งที่ขาดไปมากๆ คือการเชื่อมโยงกับบริการออนไลน์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ของไมโครซอฟท์ โดยเฉพาะของกูเกิล

  • Mail - อ่าน Gmail ได้แต่แบบพื้นฐานมากๆ (มันคือ Gmail IMAP) สรุปว่าเข้าเว็บง่ายกว่า
  • Calendar - ต่อกับ Google Calendar ได้แต่ซิงก์ปฏิทินได้แค่อันเดียว (เหมือนกับ iOS/Windows Phone) แต่ไม่สามารถเข้าไปตั้งค่าปฏิทินเพิ่มได้เพราะกูเกิลไม่รู้จัก IE10 Metro (จริงๆ มันก็ความผิดกูเกิลด้วย)
  • Photos - มี Facebook/SkyDrive/Flickr แล้ว แต่อยากได้ Picasa กับ Instagram ด้วย
  • Videos - เชื่อมกับระบบของ MS เองหมด แต่ไม่มี YouTube นี่ก็ลำบากชีวิต ถ้าไม่ได้ขอแค่ DailyMotion กับ Vimeo ก็ยังดี
  • People - รองรับ Google Contacts แต่ยังไม่มี Google+ รวมไปถึงพวก Foursquare, LinkedIn ด้วย
  • Messaging - เป็นแอพที่ง่อยที่สุดของ Windows 8 คือแสดงรายชื่อเพื่อนออนไลน์ยังไม่ได้ และรองรับแค่ WLM/Facebook Chat ยังขาด IM อื่นๆ ทั้งหมดทั้งปวง (ผมใช้ Google Talk) แน่นอนว่ารวม Skype ด้วย

ที่ควรตั้งคำถามคือ แอพ third party บนแพลตฟอร์มอื่นๆ สามารถเขียนโปรแกรมเชื่อมกับ API ของกูเกิลกันได้เยอะแยะ (เช่น แอพ IM ทั้งหลาย) แต่ไมโครซอฟท์ไม่ทำ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดเหมือนกัน

ส่วน "แอพ" ของกูเกิลทำเองอื่นๆ ก็ยังไม่มีวี่แวว เช่น Google Search, Google Maps, Google Earth ฯลฯ อันนี้ไม่ใช่ความผิดของไมโครซอฟท์แต่มันกำลังจะเป็น "เกมการเมือง" ที่ผู้บริโภคเสียประโยชน์ครับ

นอกจากนี้ Windows Store ยังขาดแอพดังๆ อีกจำนวนมากที่ไมโครซอฟท์ต้องเร่งทำให้เสร็จก่อนตัวจริงออก ที่ลองนั่งๆ นึกดู (ถ้าไม่นับของกูเกิล) ได้แก่ Dropbox, Flickr, Twitter, Facebook, LinkedIn, Nook, บริการทั้งหลายของ Yahoo!, Angry Birds, แอพตระกูล Adobe Touch เป็นต้น

แอพดังที่มีแล้วและควรปรบมือให้คือ Kindle, Cut the Rope, Wikipedia

ถ้าเอาที่ใช้เองบนแท็บเล็ตอื่นๆ ก็อยากได้ Pulse กับ Pocket ด้วยครับ

สวนอาหารแคมคาน หลวงพระบาง

$
0
0

คราวก่อนเขียนถึงร้านอาหาร "แคมของ" ไปแล้ว คราวนี้ขอเป็น "แคมคาน" (ริมแม่น้ำคาน) บ้างครับ

ร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อของหลวงพระบางอีกร้านหนึ่ง ชื่อเต็มๆ คือ "สวนอาหารแคมคาน" หรือภาษาอังกฤษ Khemkhane Food Garden ตำแหน่งอยู่ติดกับพระธาตุพูสี ฝั่งแม่น้ำคานเลย

สวนอาหาร แคมคาน Khemkhane Food Garden

ร้านจะต้องเดินลงตลิ่งไปนิดนึงจากระดับถนนที่อยู่สูงกว่า บรรยากาศร้านก็แน่นอนว่าเห็นโค้งแม่น้ำคานสวยงาม

สวนอาหาร แคมคาน Khemkhane Food Garden

น้ำดื่มที่ร้านชื่อ Tigerhead ("น้ำดื่มหัวเสือ" ชื่อนี้จริงๆ) ผลิตโดยโรงงานเดียวกับเบียร์ลาว

น้ำดื่มหัวเสือ Tiger Head Water

ลองสั่งดูครับ อย่างแรก ต้มยำปลา รสชาติไม่เหมือนต้มยำไทยเสียทีเดียว (อธิบายยากว่าต่างกันยังไง) แต่อร่อยมาก กลมกล่อม และให้เนื้อปลาเยอะมาก

ต้มยำปลา

แกงจืดผัก ใส่ผักมาสองอย่าง (เรียกไม่ถูก) อย่างแรกคล้ายๆ ปวยเล้ง อีกอย่างคล้ายผักสลัดของเมืองลาว อันนี้ก็อร่อย กินตอนฝนตกได้ไออุ่นดีมาก

แกงจืด

ปลาทอด ตอนสั่งเราสั่ง "ปลาเนื้ออ่อนทอด" ทำไมได้ปลาชิ้นแบบนี้มาไม่รู้ แต่อร่อยโฮก กรอบมาก (ทอดนานมาก สั่งจนลืมกว่าจะได้)

ปลาทอด

อย่างที่เขียนไปในตอนก่อนคือราคาอาหารที่เมืองหลวงพระบางค่อนข้างแพง (แม้จะเป็นคนท้องถิ่นกิน คือเขาคิดเรตมาตรฐาน) ต้มยำกับแกงจืดคิด 40,000 กีบ (160 บาท) ส่วนปลาทอดคิด 30,000 กีบ (120 บาท) ข้าวจานละ 5,000 (20 บาท) น้ำขวดละ 5,000 (20 บาท)

Bill

แต่รวมๆ แล้วถือว่าอร่อยรสชาติดีเยี่ยม ใครแวะเวียนไปแถวนั้นถ้ามีเวลาและการเดินทางเอื้ออำนวย ก็น่าไปลองนะ (ตอนไปนั่งกินก็มีคนท้องถิ่นมานั่งกินข้าวเที่ยงกันเป็นปกติ)

ร้านอาหาร ปากห้วยมีไซ หลวงพระบาง

$
0
0

ยังอยู่กับการรีวิวร้านอาหารในหลวงพระบางนะครับ (เขียนไม่เรียงลำดับ) คราวนี้เป็นร้านดังอีกร้านที่เข้าใจว่าทัวร์ชอบไปกินกัน (รอบที่ไปเจอคณะไทย-อเมริกัน)

ร้านนี้ชื่อ "ปากห้วยมีไซ" (Pak Houay Mixay) อยู่ใกล้กับถนนคนเดินย่านฝรั่ง ใกล้กับวัดป่าไผ่ครับ

ร้านอาหาร ปากห้วยมีไซ

ร้านเขาใหญ่โตโอฬาร มีทั้งแบบห้องแอร์และระเบียงด้านนอก

ร้านอาหาร ปากห้วยมีไซ

อาหารมีหลายประเภท ไทย ลาว ฝรั่ง ส่วนของอาหารลาวพื้นถิ่นก็ตามเมนู

ร้านอาหาร ปากห้วยมีไซ

อาหารเด่นของหลวงพระบางที่มารอบนี้กินไปหลายครั้งคือ "ไคแผ่น" เป็นสาหร่ายน้ำจืดตากแห้งแล้วนำไปทอด กินกับ "แจ่วบอง" เป็นน้ำพริกเผาประเภทหนึ่ง ที่ใส่หนังควายลงไปด้วย (คล้ายๆ บ้านเราใส่หนังหมู) ของร้านนี้ทำอร่อยโคตรครับ ไคทอดกรอบมาก เข้ากับแจ่วบองดีหลาย

ไคแผ่น

ต่อมาคือ "สลัดหลวงพระบาง" เป็นฟิวชั่นฟู้ดพื้นถิ่น โดยนำแนวคิดจากสลัดฝรั่งมาผสมกับผักท้องถิ่น ผมเรียกผักแบบนี้ไม่เป็นแต่มันจะคล้ายๆ watercrest ในผักสลัดทั่วไป แล้วมีไข่ต้มมาด้วย อ่านในบางตำราบอกว่าใช้น้ำสลัดแบบใส แต่สูตรของร้านนี้เป็นสลัดน้ำข้น รวมๆ แล้วให้อารมณ์คล้ายกับกินสลัดแขกบ้านเรา แต่รสจะฝรั่งกว่านะ

สลัดหลวงพระบาง

"ห่อหมกปลาฟอก" หรือ "หมกปาฟอก" เป็นห่อหมกปลาที่ตำละเอียด ไม่แน่ใจว่าใส่อะไรด้วยเนื้อห่อหมกถึงสีขาวๆ รสชาติจะอ่อนๆ หน่อยไม่ค่อยอร่อยเท่าไร เหมาะกับกินเล่นมากกว่ากินกับข้าว (แต่อาหารที่นี่สดมาก ทั้งผักและปลา ไม่คาวเลย)

ห่อหมกปลา

"เอาะหลาม" ผมคิดว่ามันคล้ายๆ แกงอ่อมของอีสานบ้านเรา แต่จะข้นกว่า (คนเหนือเรียก "แกงแค") เลือกใส่เนื้อได้ตามชอบ (จานที่เห็นเป็นเอาะหลามไก่) เขาใส่ผักพื้นถิ่นมาจำนวนมาก เรียกไม่ค่อยถูก แต่จานนี้อร่อยมาก ถ้าอยากลองกินอาหารท้องถิ่นก็แนะนำจานนี้

เอาะหลาม Laos Curry

อยู่เมืองลาวทั้งทีต้องกินข้าวเหนียว ร้านนี้มีข้าวเหนียวดำให้ด้วย ให้มาเยอะมากจนต้องคืนไป 1 กระติ๊บ ผมว่ากินแล้วกึบๆ กว่าข้าวเหนียวไทยอยู่บ้าง เสียดายสั่งกับข้าวที่ไม่ค่อยเข้ากับข้าวเหนียวเท่าไร

ข้าวเหนียว

ค่าเสียหายครับ สลัด 30,000, เอาะหลาม 45,000, หมกปลาฟอก 40,000, ไคแผ่น 30,000

ร้านอาหาร ปากห้วยมีไซ

ร้านนี้พนักงานฟังภาษาไทยได้สบาย ตอนไปกินเขาก็นั่งดูข่าวภาคค่ำเมืองไทยกันอยู่ครับ ใครไปกันเองก็สบายใจได้ว่าสั่งกับข้าวรู้เรื่องแน่นอน

ร้านกาแฟประชานิยม หลวงพระบาง

$
0
0

ร้านแนะนำอีกร้านในหลวงพระบางครับ เป็นร้านกาแฟท้องถิ่นที่ได้ชื่อว่า backpacker ชาวไทยสมัยก่อนนิยมมากินกันมาก (แถมนิยมมากันหลังตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งจะเขียนต่อไป)

ร้านนี้ชื่อ "ประชานิยม" (Pasaneyom) อยู่ติดกับตลาดเช้าของหลวงพระบาง ถ้าเดินมาจากสี่แยกกลางเมือง (หัวถนนตลาดกลางคืน) มาทางตลาดเช้า เดินมาจนสุดแม่น้ำโขง เลี้ยวซ้าย จะเจอร้านประชานิยมอยู่ตรงหัวมุม

ร้านกาแฟประชานิยม

ภาพตอนหกโมงเช้าเป๊ะ ทัวริสต์ยังไม่มา ร้านยังว่างๆ อยู่ (กินไปได้สักพัก ทัวริสต์ไทยมาเพียบ ต้องไปนั่งโต๊ะเสริมคนละฝั่งถนนแล้ว)

ร้านกาแฟประชานิยม

ร้านกาแฟประชานิยม

ร้านนี้ขายกาแฟลาวมาจากภาคใต้ของประเทศ ชงแบบโบราณเหมือนร้านกาแฟในไทย แต่ที่นี่ต้มน้ำด้วยฟืนกันเลยทีเดียว อาหารอย่างอื่นที่ขายมีปาท่องโก๋ โจ๊ก ข้าวต้ม

ร้านกาแฟประชานิยม

ปาท่องโก๋ที่นี่ให้นมข้นมาด้วย ขนาดใหญ่ 2x ของเมืองไทย

ปาท่องโก๋

กาแฟและโอวัลติน เข้มข้นแต่รสค่อนข้างหวานไปนิด

Coffee

โจ๊กที่นี่หน้าตาเหมือนข้าวต้มมากกว่า อาจเป็นเพราะต้มข้าวไม่นานข้าวยังไม่เละมาก ข้าวจะออกเหนียวๆ หน่อยไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ยังใส่หอมเจียว ซึ่งดูเหมือนคนที่นี่จะชอบกินกัน

โจ๊ก

ป.ล. ระหว่างนั่งกินมีคนมาขายไคแผ่นเป็นของฝากอยู่เรื่อยๆ สงสัยจะเป็นของยอดฮิตจริงๆ

เรื่องหมาๆ แมวๆ ณ หลวงพระบาง

$
0
0

Sleeping Cat
อยู่หลวงพระบางมา 3-4 วันพบว่า บรรดาหมาๆ แมวๆ ที่นี่ไม่ค่อยจะโดนสปอย แถมมีมารยาทกว่าไทยเยอะ

  • เวลาผมปั่นจักรยานในดงหมาทีไร ต้องระแวงทุกที เพราะหมาเมืองไทยชอบวิ่งไล่รถสองล้อ แต่ที่หลวงพระบางยังไม่เจอมันวิ่งไล่ตามซักตัว มากสุดที่เจอ ก็เห่าไล่เพราะขับผ่านบ้านเค้าแต่ไม่มีวิ่งมาทำท่าจะกัด
  • ปชก.หมาวัดมีน้อยมาก ไปวัดไม่ค่อยเจอหมานอนเกะกะ เท่าที่กวาดสายตาเห็นก็ซัก 2-3 ตัว แต่ละตัวก็แลสะอาดสะอ้านดี ไม่ได้อ้วนฉุ แต่ก็ไม่ได้ผอมโซ เรียกว่า หมาดูสุขภาพดี (ถ้าขนสวยอีกนิด คงได้ไปโฆษณาเพ็ดดีกรีแล้ว)
  • แมวบ้านเราคุ้นชินกับการเรียกเมี้ยวๆๆ แต่แมวที่นี่จะทำหน้ามึน คงไม่คุ้นกับการเชื้อชวนให้เล่นด้วย ผมไม่เคยเจอแมวที่นี่เดินมาอ้อนซักตัว มีตัวนึงผมเรียกเมี้ยวๆ เกือบสิบรอบได้ มันก็หันมาแล้วก็หันขวับหนีไปทันใด

ปล. แมวรูปข้างบนก็แมววัดนะครับ ขนสวย ไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลย

Lexington Ghosts

$
0
0

ไปเดินร้านหนังสือแล้วเจอกับรวมเรื่องสั้นของมุราคามิ เวอร์ชันที่พิมพ์โดย สำนักพิมพ์กำมะหยี่ ก็เลยซื้อติดมือมาสองเล่ม เล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุดชื่อ Lexington Ghosts หรือภาษาไทย "ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน" ตามชื่อเรื่องสั้นเรื่องแรกในเล่ม

Lexington Ghosts

ผมอ่านมุราคามิมาหลายเล่มแต่ก็อ่านแบบเก็บเล็กผสมน้อย คือไม่รีบร้อนอะไร มีโอกาสก็อ่าน ไม่ว่างก็รอไปก่อน ที่ผ่านมาเน้นอ่านแต่เรื่องยาวเป็นหลัก เคยอ่านรวมเรื่องสั้นมาก่อนเล่มเดียวคือ after the quake

เท่าที่เช็คดูจาก Wikipedia พบว่ามุราคามิเขียนเรื่องสั้นแต่ละเรื่องต่างกรรมต่างวาระกันไป แล้วเป็นหน้าที่ของสำนักพิมพ์ในแต่ละประเทศไปรวบรวมมาพิมพ์เป็นเล่มกันเอง เลยทำให้ชื่อหนังสือ (ที่อิงตามชื่อเรื่องสั้นในเล่ม) ต่างกันไปด้วย ของไทยก็เข้าใจว่า สนพ. กำมะหยี่เลือกจัดชุดเรื่องเองโดยอิงจากเวลาที่เขียนเรื่องสั้นนั้นๆ เป็นหลัก เลยทำให้เรื่องสั้นใน "Lexington Ghosts" เล่มภาษาไทยนี้มาจากรวมเรื่องสั้นฉบับภาษาอังกฤษ 2 เล่มผสมกันคือ Blind Willow, Sleeping Woman และ The Elephant Vanishes

ไหนๆ เขียนบล็อกถึงแล้วก็ลิสต์รายการเรื่องสั้นในเล่มมาสักหน่อยนะครับ

  • Lexington Ghosts
  • The Green Monster
  • The Ice Man
  • The Silence
  • Tony Takita
  • The Seventh Man
  • Blind Willow, Sleeping Woman

หมายเหตุ: ผมหาข้อมูลของเรื่อง Lexington Ghosts ฉบับภาษาอังกฤษไม่เจอ ไม่แน่ใจว่า Wikipedia ตกหล่นหรือมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์การพิมพ์อะไรหรือเปล่า (แต่ฉบับภาษาไทยมีให้อ่านก็ถือว่า ok ล่ะ)

การอ่านเรื่องสั้นของมุราคามิชุดนี้ ต่างไปจากการอ่าน after the quake ที่เป็นรวมเรื่องสั้นธีมเดียวกัน ชุดเดียวกันอยู่มาก เพราะผมพบความจริงอย่างหนึ่งว่า มุราคามิเขียนเรื่องสั้นไม่ดีเท่าเรื่องยาว

เรื่องกลวิธีการเขียนนั้นไม่มีปัญหา ยังยอดเยี่ยมเหมือนเคยและคงอารมณ์ของมุราคามิไว้อย่างดีเยี่ยม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า "มันสั้นเกินไป" จนรู้สึกว่าน่าเสียดายโครงเรื่องดีๆ ที่ควรจะทำต่อได้สมบูรณ์กว่านี้ (บางคนอาจบอกว่าจบแบบทิ้งไว้ค้างๆ คาๆ เนี่ยแหละดีแล้ว สมกับเป็นมุราคามิดี อันนี้แล้วแต่จริตนะครับ)

เรื่องที่ผมชอบในเล่มคือ The Silence, The Seventh Man ตามด้วย Blind Willow, Sleeping Woman กับ Tony Takita ส่วน 3 เรื่องแรกรู้สึกว่ามันห้วนไปหน่อยครับ

แถม

ไหนๆ เขียนถึงมุราคามิแล้ว มาจด status การอ่านของตัวเองไว้หน่อย

เรื่องยาว

รวมเรื่องสั้น


วัดพนมยงค์ ต้นตอนามสกุล "พนมยงค์"

$
0
0

ช่วงนี้อ่านหนังสือเกี่ยวกับปรีดีหลายเล่ม พบว่าต้นกำเนิดของนามสกุล "พนมยงค์" มาจากบรรพบุรุษของปรีดีอาศัยอยู่หน้า "วัดพนมยงค์" ที่อยุธยา พอรัชกาลที่ 6 เริ่มให้คนไทยมีนามสกุล ก็เลยใช้ชื่อเดียวกับวัดมาเป็นชื่อสกุลนั่นเอง

วัดพนมยงค์มีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมีแม่นมในวังคนหนึ่งใจบุญ บริจาคที่สร้างวัด คนพื้นถิ่นเลยเรียกชื่อ "วัดพระนมยงค์" ก่อนจะกร่อนมาเป็น "วัดพนมยงค์" ในภายหลัง

ผ่านไปแถวอยุธยาพอดีเลยแวะไปดูหน่อย ตัววัดหาไม่ยาก ดูพิกัดใน Google Maps กันเอง

วัดพนมยงค์เป็นวัดเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก และไม่ใช่ tourist destination ครับ แต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจภายในวัดอยู่บ้างบางอย่าง เช่น พระนอนตั้งแต่สมัยอยุธยา

วัดพนมยงค์

ตัวโบสถ์ก็เล็กๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ผมแจ็คพ็อตไปเจอช่างกำลังซ่อมภาพเขียนฝาผนังพอดี เลยถ่ายรูปมาเต็มที่

วัดพนมยงค์

ถือว่าวาดกันสวยทีเดียว สังเกตที่ซ้ายมือของช่างมีหนังสือต้นแบบดูประกอบการวาดด้วย

วัดพนมยงค์

ฝั่งที่วาดเสร็จแล้ว

วัดพนมยงค์

วัดพนมยงค์

วัดพนมยงค์อยู่ติดคลองเล็กๆ สายหนึ่ง (ขออภัยลืมชื่อแล้ว) มีสะพานไม้เดินข้ามไปได้ ฝั่งตรงข้ามเป็นอนุสรณ์สถานของปรีดี พนมยงค์ (เข้าใจว่าเป็นบ้านเดิม) ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนัก เป็นบ้านไม้เล็กๆ สองหลัง (เผอิญไม่ได้ข้ามไปก็เลยมีรูปแค่นี้แหละ)

วัดพนมยงค์

RS Viewpoints on Sport TV Rights

$
0
0

ผมพบว่าท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง GMM Z กับ True Visions มีอีกองค์กรหนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันคือ RS เพราะเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก (ทั้งปี 2010 และ 2014) พูดง่ายๆ คือมีสถานะเหมือนกับ Grammy นั่นเอง

เมื่อปี 2010 ต้องยอมรับว่า RS ใจดี ไม่ได้ล็อคสัญญาณแบบเดียวกับที่ Grammy ทำในตอนนี้ (ในด้านกลับอาจถือเป็นการ set standard ให้กับสังคมไทยคาดหวังว่ารายอื่นๆ ควรทำได้แบบเดียวกัน) คราวนี้เลยมีคนคิดถึงความดีของ RS ไม่น้อย

ทาง RS เองรอบนี้ก็ออกมาพูดบ้างผ่าน Twitter ของผู้บริหาร ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ผมก็เห็นด้วยนะ แต่ไหนๆ ก็ขอจดบันทึกเป็นหลักเป็นฐานไว้สักหน่อย อีกสองปีมาดูกันว่า RS จะรักษาคำพูดมากน้อยแค่ไหนครับ (รวบรวมด้วย Storify หวังว่าอีกสองปีข้างหน้ามันจะยังอยู่นะ)

New Foursquare

$
0
0

New Foursquare

ว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เพิ่งได้โอกาสครับ เรื่องมีอยู่ว่า Foursquare เพิ่งประกาศยกเครื่องแอพใหม่ ไปเมื่อเร็วๆ นี้ หน้าตาเปลี่ยนไปมาก ในภาพรวมคือมัน simplify กว่าเดิมเยอะ จนผู้ใช้ระดับเทพอาจไม่พอใจ

หลังๆ ผมไม่ค่อยได้เล่น Foursquare นัก แต่พอมีข่าว ก็ลองดูสักหน่อย พบว่าทิศทางของ Foursquare แบบใหม่น่าสนใจมาก

มุมมองของผมจะคล้ายๆ กับ SplatF (ถ้าอยากอ่านละเอียดก็ดูเองตามลิงก์) คือลองมาคิดๆ ดูแล้วคนที่ใช้โปรแกรมจำพวก location-based น่าจะต้องการฟีเจอร์สำคัญๆ แค่ 3 อย่าง

  1. บอกให้โลกรู้กูอยู่ไหน == Check-in
  2. เพื่อนกูอยู่ไหน == Friends
  3. แถวที่กูอยู่นี้มีอะไรน่าสนใจ == Explorer

จากภาพประกอบจะเห็นว่า Foursquare โฉมใหม่ออกแบบสะท้อนไอเดียเหล่านี้ ส่วนฟีเจอร์ที่ไม่ค่อยมีสาระจำพวก mayor/leaderboard/badge จะถูกลดความสำคัญลงไป (คือยุคนี้มันไม่ใช่ปัจจัยหลักอีกแล้ว)

จุดที่สำคัญคือ Explorer เพราะตอนนี้ Foursquare โตขึ้นมาก ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก มีคนเล่นเยอะ มีฐานข้อมูลสถานที่ คะแนน รูปภาพ รีวิว ไม่น้อยเลย ดังนั้นได้เวลาทำเงินจากข้อมูลพวกนี้สักที ทางออกก็คือแปลงข้อมูลมาเป็น 'recommendation' ลักษณะเดียวกับ Google Search นั่นเอง แล้วทำเงินจากโฆษณาลักษณะเดียวกับ AdWords

จุดเด่นของ Foursquare คือข้อมูลที่มีเป็นข้อมูลที่มี intent หรือความตั้งใจในการซื้ออยู่ (เช่น อยู่แถว xyz แล้วอยากกิน abc) ทำให้การโฆษณาต่อยอดได้ง่าย ตรงนี้จะคล้ายกับกูเกิลที่คำค้นมี purchasing intent สูงมาก ในขณะที่ Facebook/Twitter จะมีปัญหาว่าข้อมูลเป็น social conversation มันมี intent ต่ำ การโฆษณาจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่า

การแก้รัฐธรรมนูญในประเทศต่างๆ

$
0
0

จริงๆ เรื่องนี้ผมเคยสงสัยมาก่อน และเคยหาคำตอบให้ตัวเองไปบ้างแล้ว

แต่เผอิญเห็นเพื่อนๆ แชร์การ์ตูนของ "ชัย ราชวัตร" มาใน Facebook ผมเห็นว่ามีข้อมูลคาดเคลื่อนเยอะ เลยอยากมาเขียนลงบล็อกไว้หน่อย เผื่อจะมีประโยชน์ครับ

การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องปกติ (คือมันไม่มีทางที่จะร่าง รธน. ทีเดียวให้มัน perfect อะนะ) และทำกันโดยทั่วไป

ถ้าเอาเฉพาะประเทศที่เขียนถึงในการ์ตูน

  • สหรัฐอเมริกา แก้ไปแล้ว 17 ครั้ง 27 ประเด็น (อ้างอิง) ถ้าดูหนังหรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับสหรัฐบ่อยๆ มันจะชอบพูดถึง Bill of Rights ที่เป็นหลักสำคัญด้านเสรีภาพของสหรัฐ อยู่ใน First Amendment หรือการแก้ไขครั้งแรกในปี 1791
  • อังกฤษ ไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร
  • ฝรั่งเศส อันนี้หนักเลย เพราะฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจกันไปมาเยอะมาก สาธารณรัฐฝรั่งเศสปัจจุบันคือ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (ครั้ง) ที่ห้า ถ้านับรวมรัฐธรรมนูญทุกสมัย มีมาแล้ว 17 ฉบับ (อ้างอิง)
  • ญี่ปุ่น เท่าที่เช็คดูมีรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ คือ ฉบับก่อนแพ้สงคราม (สมัยจักรวรรดิเมจิ) และสมัยหลังแพ้สงคราม (ร่างโดยนายพลแมคอาเธอร์) ฉบับปัจจุบันยังไม่เคยถูกแก้ไข แต่มีความพยายามแก้ไขมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องกองทัพและสงคราม ซึ่งก็ยังไม่สำเร็จเพราะเป็น war sin ของคนญี่ปุ่นอยู่ (อ้างอิง)

ป.ล. เรื่องรัฐธรรมนูญของไทย ผมคิดว่าควรแก้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะเรื่องทักษิณ แต่เป็นเรื่องหลักการหลายอย่างใน รธน. 50 ที่มีปัญหา (เช่น เรื่อง ส.ว. แต่งตั้ง เรื่องการแต่งตั้งองค์กรอิสระ หรือเรื่องการทำสัญญาต้องผ่านสภา) ส่วนบล็อกอันนี้ไม่เกี่ยวกันเท่าไร คือเป็นเพราะการ์ตูนของชัย ราชวัตร มีปัญหาเรื่อง fact เลยต้องให้ "ข้อมูลอีกด้าน" ประกอบด้วย

WWDC 2012

$
0
0

จริงๆ ว่าจะไม่เขียนถึงแล้วแต่เห็นสาวกแอปเปิลบางท่านมหัศจรรย์กับมันมาก เลยขอสักหน่อย

  • WWDC ครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นชัดว่า จุดแข็งที่สุดของแอปเปิลยังเป็นฮาร์ดแวร์ (ตามรากเหง้าของบริษัท) และ MacBook Retina เป็นความสามารถทางวิศวกรรมที่หาคนอื่นสู้ยาก (ในเวลานี้)
  • แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าแอปเปิลกำลังเร่งสยายปีกของตัวเองไปยังซอฟต์แวร์ (ที่ไมโครซอฟท์ครองอยู่) และบริการออนไลน์ (ที่กูเกิลครองอยู่) อย่างเต็มที่ ถ้าอธิบายด้วยทฤษฎี "สามก๊กไอที" ของผมเอง ก็คือทุกคนกำลังแผ่ขยายอำนาจออกมาจากที่ตั้งเดิมของตัวเอง
  • OS X Mountain Lion เป็นเครื่องตอกย้ำว่าเดสก์ท็อปตันแล้ว ทางออกก็คือเปลี่ยนที่ระดับ paradigm ซึ่งแต่ละคนก็มียุทธศาสตร์ที่ต่างกันไป เช่น "1 OS 2 ระบบ" (Windows 8) หรือ "2 OS 2 ระบบ" (iOS/OS X) หรือ "ไม่ต้องมี OS" (Chrome OS)
  • iOS 6 เป็นพัฒนาการที่น่าสนับสนุน มันเข้ามาเติมเต็มข้อด้อยหลายจุด แต่ยังมีปัญหาในระดับ foundation อีกมากที่ยังไม่ได้แก้ (และแก้ยากด้วย)
  • ปิดท้าย Facebook integration เป็นเรื่องดี (ผมก็อยากให้มี ใช้ iOS 5 นี่โคตรหงุดหงิด) แต่มันไม่ใช่ของใหม่เลย อย่าตื่นเต้นและพยายามบอกว่ามันคือนวัตกรรมใหม่ของโลก (Palm เขามีมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว แถมทำได้ดีกว่าทุกเจ้าเสียด้วย)
  • สิ่งที่เซอร์ไพร์สผมที่สุดกลับเป็น Mac Pro รุ่นใหม่ดันใช้ซีพียู Westmere ที่เก่ามากแล้ว อันนี้พลิกโผจริงๆ งงเต็ก ผิดวิสัยของแอปเปิลที่เคยแอบได้ใช้ซีพียูอินเทลก่อนใครๆ มาก
Viewing all 557 articles
Browse latest View live




Latest Images