ความเดิม
ไม่ได้ไปดูในโรงด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่สุดท้ายก็ได้ดู เส้นทางชีวิตของเรากับ Harry Potter ก็จบลงสักที
ความเดิม
ไม่ได้ไปดูในโรงด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่สุดท้ายก็ได้ดู เส้นทางชีวิตของเรากับ Harry Potter ก็จบลงสักที
มีมิตรสหายส่งมาให้ดู เป็น MV สงกรานต์ที่ตัดต่อโดยทีมของ "เรื่องเล่าเช้านี้" (ไม่มีข้อมูลวันออกอากาศ น่าจะเป็น 16 เม.ย. 55 จดไว้เป็น record สักหน่อย)
ผมดูแล้วพบว่า โคตรชอบเลยครับ เพราะมันก็สะท้อน what is actually happening ของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ทำลายสิ่งที่เป็น pretending "ความเป็นไทย" ลงไปได้อย่างราบคาบ คล้ายๆ กับคลิปเปิดนมสีลมปีที่แล้ว แต่อันนี้ให้ภาพมุมกว้างที่ดีกว่า
ถ้าได้ลงไปเดินตามถนนหรือนั่งท้ายรถกระบะเล่นน้ำวันสงกรานต์ ภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปกติมานานแล้ว คือมันไม่มีอะไรใหม่เลยจากสงกรานต์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว (สมัยที่ผมยังมีความกระหายอยากเล่นอยู่อะนะ) ไม่มีอะไรน่าตกใจเลย
จาก 3G and 4G Wireless Speed Showdown: Which Networks Are Fastest? โดย PC World
มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ก็เป็นเรื่องดีที่น่ากระทำ
ประโยชน์ที่แน่ๆ คือช่วยเป็นข้อมูลของผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกใช้บริการ และเป็น feedback ไปยังโอเปอเรเตอร์ให้ปรับปรุงคุณภาพบริการของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น
สบท. เองมีบริการ speed test อยู่แล้ว แต่เรื่องพวกนี้ยิ่งมีเยอะยิ่งดี ทำเยอะไม่มีอะไรเสียหาย เพราะข้อมูลมันจะเป็น complement ช่วยเสริมกัน ในขณะเดียวกันก็ตรวจเช็คกันเองด้วย
ปัญหาและข้อจำกัดที่ยังต้องคิดต่อ
ออกตัวก่อนว่า อันนี้เป็นแค่ไอเดียของผมเองคนเดียวนะครับ
ไอเดียมีอยู่ว่า กสทช. ในฐานะ regulator ทางด้านกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (ถ้าให้เจาะจงหน่อยคือ บอร์ดย่อย กสท.) ควรจะ บันทึกการแพร่สัญญาณวิดีโอของทีวีทุกช่อง และสัญญาณเสียงของสถานีวิทยุทุกช่องในประเทศไทย (นับเฉพาะที่ขอใบอนุญาตจาก กสทช.) แบบ 24/7/365
พูดง่ายๆ ว่าเป็น full archive นั่นแหละ ส่งสัญญาณอะไรออกมา ควรจะเก็บไว้หมด
เหตุผลสนับสนุนไอเดียนี้คือ
ระบบ full archive ควรจะทำงานอัตโนมัติ ใช้คนดูแลให้น้อย และไม่เปิดกว้างต่อสาธารณะ (ด้วยเหตุผลด้านลิขสิทธิ์รายการ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นเว็บดูทีวีออนไลน์ย้อนหลังไปแทน) แต่คนที่ต้องการจะดูจริงๆ ก็สามารถร้องขอสิทธิการเข้าถึงจาก กสทช. ได้เป็นกรณีไป (เพราะประโยชน์มันเอาไว้สำหรับงานเฉพาะเรื่อง)
กระบวนการจัดเก็บในแง่เทคนิคคงไม่มีอะไรซับซ้อนนัก เพียงแต่จะมี challenge ในเรื่อง storage space/infrastructure ของระบบอยู่พอสมควร (คงต้องใช้เงิน-ทรัพยากร-ความเชี่ยวชาญ) ไม่น้อย แต่ผมเชื่อว่าผลที่ได้มันจะคุ้มค่าแก่การลงทุนนะ และเงินของกองทุน USO ก็น่าจะใช้ในเรื่องลักษณะนี้ได้
ผมขายไอเดียกับ กสทช. สุภิญญา ไปทาง Twitter ก็ได้ คำตอบ กลับมาดังนี้
@markpeak ตามกม.บังคับให้ผู้รับใบอนุญาตทุกรายต้องบันทึกรายการย้อนหลัง 30วัน ใครไม่ทำถือว่าผิด แต่เราก็หารือเรื่องการต้องจัดเก็บเองอยู่ด้วย
อันนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนนัก แต่ในระยะยาวคิดว่าทำแล้วคุ้มแน่
จากข่าว Kaspersky - แอปเปิลล้าหลังไมโครซอฟท์ถึง 10 ปีในเรื่องความปลอดภัย ชวนให้ผมคิดถึงสถานการณ์ของไมโครซอฟท์หลังออก Windows XP ใหม่ๆ (นั่นก็คือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว)
XP ออกมาแรกๆ ยังไม่มีอะไรน่าตกใจ แต่ผ่านไปสักพักหนึ่งก็โดนไวรัส มัลแวร์ โทรจัน เวิร์ม รุมตีกระหน่ำจนเสียกระบวน (ผมเคยโดนเข้ากับตัวตอนลง XP ให้คอมพิวเตอร์ที่มหาลัยแล้วเผลอเสียบสายแลนทิ้งไว้ ก็เลยเดี้ยงตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มใช้งาน) จนไมโครซอฟท์ต้องกลับไปปรับทัพเสียยกใหญ่ และสุดท้ายกลับมาพร้อมกับ XP SP2 ที่นิ่งขึ้นมาก
กระบวนการในตอนนั้นที่จำได้คือ บิล เกตส์ ออกบันทึกภายในเรื่องความปลอดภัย โดยยกให้เป็นวาระสำคัญของบริษัท และจับนักพัฒนาของไมโครซอฟท์ทุกคนไปหัดวิธีการเขียนโค้ดอย่างปลอดภัยเสียใหม่ (ย้ำว่าทุกคน) ผลออกมาดีมาก และระบบความปลอดภัยของไมโครซอฟท์ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตานับตั้งแต่นั้น
มันเป็น learning process ของทุกคนในองค์กรที่ต้องมีร่วมกัน (แต่การผลักดันของผู้นำก็สำคัญ)
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ได้เลยลองค้นข้อมูลดู ก็พบบันทึกของบิล เกตส์ ฉบับนั้น ผมเข้าใจว่าบันทึกนี้ชื่อ Trustworthy Computing แต่ในเว็บของไมโครซอฟท์ไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้ เขียนว่าเป็น Memo from Bill Gates เท่านั้น
แต่ระหว่างการค้นหาบันทึกฉบับนี้ ก็เจอของดีกว่านั้นคือบทความ 10 years since the Bill Gates security memo: A personal journey เขียนโดย Michael Howard ตำแหน่ง Microsoft principal cybersecurity architect
คนนี้เป็น "ผู้สอน" คลาสความปลอดภัยให้กับพนักงานทุกคนของไมโครซอฟท์ เขาเล่าความหลังในช่วงปี 1999-2003 ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับปัญหาด้านความปลอดภัยของบริษัท เป็นประวัติศาสตร์ของวงการคอมพิวเตอร์ที่น่าสนใจมากทีเดียว
สรุปแบบสั้นๆ คือทีมงานด้านความปลอดภัยของเขา (ซึ่งตอนนั้นยังไม่สำคัญมากนัก) ริเริ่มการแก้บั๊กและช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ภายในบริษัท โดยใช้วิธีแบบ sprint คือเซ็ตวาระเฉพาะกิจขึ้นมา แล้วระดมคนมาช่วยกันแก้บั๊กด้านความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะ
วิธีนี้เวิร์คในแง่ของคุณภาพซอฟต์แวร์ แต่ไม่เวิร์คในระยะยาว เพราะเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ตอนหลังทีมของเขาจึงปรับกลยุทธ์มาเป็นการให้ความรู้ด้านการเขียนโค้ดที่ปลอดภัย และกระตุ้นให้พนักงานภายในเห็นความสำคัญของความปลอดภัยมากขึ้นแทน
เผอิญช่วงนั้นไมโครซอฟท์เจอปัญหาความปลอดภัยพอดี คนในเลยรู้สึกว่าจำเป็นจริงๆ แล้ว แถมผู้นำอย่างบิล เกตส์ก็เอาด้วย งานเลยคืบหน้าและสุดท้ายออกผลมาเป็นอย่างที่เห็น
อาจารย์ที่เคารพเคยสอนเรื่องการเขียนนิยายกำลังภายในไว้ว่า จุดสำคัญของฉากบู๊ในนิยายลักษณะนี้ไม่ได้อยู่ที่สำนวนการพรรณาว่าเยี่ยมยอดเพียงใด แต่อยู่ที่จินตนาการของผู้เขียน ในการออกแบบ "ซีนต่อสู้" ให้น่าจดจำ
คำว่าซีนต่อสู้นี้ไม่ได้หมายถึงแค่กระบวนท่าที่ใช้ต่อสู้ แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ที่ช่วยให้ฉากนั้นๆ น่าประทับใจด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉากหลัง ตัวละคร บทสนทนา เงื่อนไขของการต่อสู้ ฯลฯ
ถ้าสามารถสร้างฉากต่อสู้ที่น่าจดจำได้แล้ว สำนวนการบรรยายจะเป็นส่วนเสริมให้ฉากนี้โดดเด่นยิ่งขึ้น ต่อให้ผู้อ่านจำเนื้อเรื่องในนิยายไม่ได้เลย ก็จะยังจดจำฉากต่อสู้เด่นๆ บางฉากไว้ได้เสมอ
ตัวอย่างนักเขียนที่เขียนฉากเจ๋งๆ ลักษณะนี้ได้ดีคือ หวงอี้ (ผมคิดว่าหวงอี้ได้อิทธิพลมาจากเกม-อนิเมญี่ปุ่นหรือหนังแอคชั่นฝรั่งยุคใหม่ๆ มาพอสมควร) ตัวอย่างฉากเจ๋งๆ ในนิยายของหวงอี้ (ที่นึกออกได้ทันที) ได้แก่
สำหรับกรณีของกิมย้ง ฉากต่อสู้ที่ผมประทับใจและนึกออกในตอนนี้ได้แก่
สำหรับการ์ตูนญี่ปุ่น การออกแบบฉากต่อสู้ที่น่าสนใจคงไม่มีใครเกินเรื่อง Jojo (ในขณะที่การ์ตูนต่อสู้ชื่อดังอย่าง Dragon Ball กลับเต็มไปด้วยกระบวนท่าที่ไม่สำคัญมากมาย) ที่เน้นทริค เงื่อนไข และบุคลิกของตัวละคร ช่วยขับเน้นให้การต่อสู้เป็นที่น่าจดจำได้มาก (โดยเฉพาะภาค 3-4-5)
เปิดหาตารางคะแนนของ Sheffield United ใน League One แล้วไปเจอกับเว็บของ SkySports เข้าพอดี เจอเทคนิคการนำเสนอตารางคะแนนที่น่าสนใจเลยเอามาแปะไว้หน่อย
อย่างแรกคือตารางคะแนนฟุตบอลลีก ส่วนหน้าสุดคงไม่มีอะไรแปลกใหม่ ที่ควรดูคือช่องท้ายสุดซึ่งเป็นผลการแข่งขัน 5 นัดหลังสุด การเปลี่ยนจากสัญลักษณ์ WDL แบบที่คุ้นเคยมาใช้เม็ดสี ช่วยให้ดูง่ายขึ้นมาก (โดยเฉพาะการเปรียบเทียบระหว่างทีม) แถมไม่ต้องมี legend กำกับก็เดาได้ว่าแต่ละสีหมายถึงอะไรบ้าง
ไอเดียจะคล้ายๆ กับ Sparkline ของ Tufte
อย่างที่สองคือกราฟแสดงอันดับในลีก อันนี้ก็ปกติ เห็นทำกันหลายที่อยู่แล้ว แต่ส่วนที่แปลกใหม่คือกราฟแสดง "คะแนนสะสม" พร้อมเงาของจำนวนเต็ม (คะแนนสูงสุดที่เป็นไปได้) เพิ่มเข้ามาด้วย (ถ้าสามารถเปรียบเทียบกราฟคะแนนสะสมระหว่างสองทีมได้ น่าจะสนุกขึ้นไปอีก)
เคยเขียนเรื่อง News Timeline โดยใช้ตัวอย่างของเว็บไซต์ The Verge กับข่าวไอทีไปแล้วครั้งหนึ่ง
วันนี้ระหว่างตามอ่านข่าว แมนยูแพ้ ก็ไปเจอของดีเข้าที่ BBC Sport มันคือการรายงานข้อมูลของแมตช์การแข่งขัน (liveblogging + คอมเมนต์อื่นๆ) ที่ใช้การนำเสนอแบบ timeline ของ Twitter
ตัวอย่าง
โครงสร้างการนำเสนอแบบนี้น่าสนใจมาก เน้นไปที่ informative ของผู้รับสารเป็นหลัก จะเห็นว่า
ตัวอย่างของ BBC เป็นตัวอย่างที่ดีมากที่แสดงให้เห็นการผสมผสานระหว่าง
ข่าวออนไลน์ในอนาคตจะอัตโนมัติมากขึ้น แต่ก็ยังต้องพึ่งพิงทักษะการนำเสนอข่าวที่ดีอยู่ เพียงแต่มันอาจจะต่างไปจากทักษะแบบเดิมๆ นั่นเอง
สรุปคือมีดีที่นุ่มลื่นกับจอสวย แต่ไม่เหมาะกับ power user เท่าไร ใช้แล้วค่อนข้างอึดอัด
นั่งเขียนบล็อกนี้อยู่ที่เมือง นิงห์บิงห์ (Ninh Binh) ทางตอนเหนือของเวียดนาม เถิบจากฮานอยลงมาสักหน่อย
ผมเข้ามาเวียดนามผ่านประเทศลาวที่ด่านน้ำพาว ตอนเหนือ-กลางของประเทศ ซึ่งเป็นโซนบ้านนอกๆ ของเวียดนาม แล้วตัดเข้ามายังทางหลวงแนวเหนือ-ใต้ ที่เป็นเส้นทางเศรษฐกิจหลักของประเทศ (กำลังจะขึ้นไปยังฮานอยที่ไม่ได้ไปมานานแล้ว ไม่รู้ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง)
ในฐานะที่ผ่านทั้งเมืองบ้านนอกและเมืองขนาดกลางๆ ของเวียดนามมาบ้างแล้ว มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
คนรุ่นผมในเมืองโคราชคงรู้จักร้านหนังสือสนามหลวง ร้านการ์ตูนเก่าแก่ที่อยู่ข้างไนท์บาร์ซากันเป็นอย่างดี (หลายๆ คนก็เติบโตขึ้นมาจากการ์ตูนในร้านนี้แหละ) เดือนก่อนแวะไปซื้อการ์ตูน เจ้าของร้านแจ้งว่าจะย้ายที่อยู่แล้ว เพราะเจ้าของที่ไม่ต่อสัญญาเช่า
ส่วนสถานที่ใหม่ก็ย้ายไปอยู่ที่แถวหน้าราชภัฎ ตามแผนที่ประกอบ
วันนี้ (11 พ.ค.) ไปบรรยายเรื่อง IPTV กับ Internet TV ให้กับคณะอนุกรรมการจัดช่องรายการ ของ กสทช. (ผมจำชื่อคณะอนุกรรมการเป๊ะๆ ไม่ได้แต่ประมาณนี้) ก็ขอเอาสไลด์มาแปะไว้หน่อยเป็นหลักฐาน
ในสไลด์อธิบายแนวทางของ IPTV และ Internet TV ในอนาคต เพื่อเป็นข้อมูลประกอบให้คณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องนโยบายการจัดเรียงเลขช่องของทีวีเมืองไทย (ที่ส่วนใหญ่ยังไม่ใช่ IPTV หรือ Internet TV) ส่วนไอเดียของผมเองในเรื่องการจัดเลขช่อง (ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้) มีดังนี้
ไปสุวรรณภูมิมาล่าสุด พบว่าขาออกของเที่ยวบินในประเทศ (Domestic) โซนร้านอาหารมีร้านฟาสต์ฟู้ด Popeyes เพิ่มขึ้นมา
สมัยเด็กๆ เคยกินมาเมื่อนานมาแล้ว พอคราวนี้มาเจอก็เลยลองเสียหน่อย
ชุดปลาทอด ประมาณ 200 บาท ประกอบด้วยปลา 2 ชิ้น, มันทอด, น้ำอัดลม และ "บิสกิต" อาหารเฉพาะของร้าน Popeyes กินกับแยม อร่อยดี แปลกดีด้วย (เห็นว่า Popeyes ที่ฮ่องกงจะเป็นน้ำผึ้งแทนแยม)
ไม่แน่ใจว่าในเมืองไทยมีสาขาอื่นอีกไหมนะครับ ลองหาข้อมูลในเน็ตแล้วไม่เจอแฮะ
ไม่ได้ดูในโรงด้วยเหตุผลว่าไม่ค่อยได้ดูหนัง (ไม่มีเวลา+รู้สึกว่าการดูหนังในโรงมันแพงไปละ) แต่ก็มีหลายคนบอกสนุก วันก่อนขึ้นเครื่องบินเลยมีโอกาสดูบนเครื่องแทน
สรุปแล้วผมคิดว่า MI ภาคนี้ถือเป็นการ re-imagine แบบอ่อนๆ สำหรับการนำ MI ไปสู่ยุคใหม่ จะเห็นว่าหนังแบรนด์ดังหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Batman, James Bond หรือ Star Trek ก็ทำออกมาคล้ายๆ กัน คือ บทสนทนาคมคาย-ลื่นไหล-ไฮเทค เนื้อเรื่องทันสมัย ค่อนข้างสมจริง ไม่การ์ตูนและไม่โอเวอร์มากเกินไป
ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ้นและตลาดทุน แต่ก็สงสัยมานานเวลาอ่านข่าวเรื่อง market cap ของแอปเปิลในช่วงหลังๆ นี้
ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า market cap มันเป็นแค่ดัชนีที่แสดงให้เห็น "กระแส" ในความคิดของนักลงทุนเป็นหลัก ดังนั้นแอปเปิลที่เล่นกับกระแสเก่งอยู่แล้วจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมี market cap สูง สิ่งที่ควรพิจารณาจริงๆ คือของที่มันจับต้องได้อย่าง revenue/profit มากกว่า (ซึ่งแอปเปิลก็ทำได้ดีอีก เพียงแต่ประเด็น market cap มันน่าตื่นเต้นกว่าเวลาเป็นข่าว)
วันก่อนไปตอบคอมเมนต์เรื่องนี้ใน Blognone เลยลองหาข้อมูลดูว่า market cap ของบริษัทใหญ่ในอดีตเป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วก็ไปพบของ WSJ ทำเอาไว้ Apple Market Cap Vs. Exxon, Microsoft and IBM: 1981-2011
จากภาพคือ Microsoft เคยขึ้นไปสูงสุดที่เกือบ 600,000 ล้านดอลลาร์ในปี 1999 น่าเสียดายว่าหลังจากนั้นไม่นานก็เจอทั้ง dotcom crash และ 9/11 ทำให้หุ้นทั้งตลาดมันร่วงลงมาด้วย ส่วน Exxon เองก็เคยขึ้นไปสูงกว่าปัจจุบันพอสมควรในปี 2007 ครับ
แต่บริษัทพวกนี้แข่งกันให้ตาย ก็ยังไม่ใหญ่ที่สุดอยู่ดี เพราะเจอ Saudi Aramco บริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุ มี market cap (ประเมินเอาเพราะไม่ได้อยู่ในตลาด) ที่ 2.2-7 ล้านล้านดอลลาร์ (ตัวเลขปี 2010)
ตัวเลขแบบละเอียดหน่อย (ย้อนไปไกลสุดปี 2008) มีให้อ่านที่ Wikipedia List of corporations by market capitalization
ออกตัวก่อนว่าข้อมูลทั้งหมดในบล็อกนี้เป็นการรวบรวมแบบคร่าวๆ ของผมเอง (ส่วนมากเอามาจาก Wikipedia) เอาไว้เป็นข้อมูลส่วนตัว และคงเอาไปใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการลำบาก
เรื่องมีอยู่ว่า มานั่งนึกๆ ดูแล้ว บริษัทมือถือรายใหญ่ๆ ของโลกมักมีรากเหง้ามาจากการเป็นรัฐวิสาหกิจด้านโทรศัพท์ในอดีต แล้วเติบโตขยายกลายพันธุ์มาเป็นบริษัทมือถือในภายหลัง (พูดง่ายๆ ว่าใช้อิทธิพลของ state incumbent เดิมช่วยให้ธุรกิจของตัวเองไปรุ่ง) ถ้าเราไม่นับ
จะเห็นว่าในประเทศเขตเศรษฐกิจสำคัญๆ (เท่าที่รวบรวมมาคือของเอเชีย-ยุโรป) โอเปอเรเตอร์เบอร์หนึ่ง (หรือเบอร์สอง) มักเป็นบริษัทที่มีรากมาจากรัฐวิสาหกิจด้านโทรศัพท์เดิมทั้งสิ้น จะมีบริษัทเอกชนแท้ 100% ไม่กี่รายเท่านั้นที่สอดแทรกเข้ามาได้ เช่น Vodafone, Airtel, America Movil, VimpelCom
ส่วนรัฐวิสาหกิจที่ทำผลงานได้ไม่ดีก็มีที่เมืองไทย และมีแถวๆ เอเชียใต้บางประเทศเท่านั้น ซึ่งกรณีของไทยจะพูดให้แฟร์ก็ต้องบอกว่าเมืองไทยเลือกใช้เส้นทางสัมปทาน แทนรัฐประกอบกิจการเอง ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ (คือถ้า TOT ทำมือถือเองแต่แรก ตามหลักการแล้วก็ควรจะโตเท่า AIS ในทางปฏิบัติว่ากันอีกที)
คำถามที่น่าสนใจคือโมเดลสัมปทานนี้ ประเทศอื่นๆ มีใช้กันเยอะน้อยแค่ไหนอย่างไร อะไรเป็นแนวคิดเบื้องหลังโมเดลแบบนี้ ซึ่งก็ต้องหาข้อมูลกันต่อไป
ไปยืนอ่าน Fortune เล่มใหม่ มีเรื่องบริษัท Walt Disney อันที่น่าสนใจคือ "สัดส่วนรายได้" ของบริษัท
ส่วนของเคเบิลทีวีได้เยอะสุดคงไม่น่าแปลกใจนัก (เคเบิล != ทีวี ในสหรัฐ เลยคิดแยกคนละส่วนกัน) แต่ที่แปลกใจคือสวนสนุกมีสัดส่วนรายได้เยอะมาก ในขณะที่ภาพยนตร์ไม่เยอะอย่างที่ภาพลักษณ์แสดงออกมา
(จริงๆ ตัวเลขพวกนี้มันมีอยู่ในงบดุลอยู่แล้ว เพียงแต่ผมไม่เคยไปสนใจเองแหละ)
ใครสนใจก็ตามไปอ่านต่อที่ Fortune กันเองครับ Bob Iger: Disney's fun king สกู๊ปชิ้นนี้กล่าวถึงซีอีโอ Robert Iger ที่เข้ามาพลิกฟื้นกิจการด้วย นอกจากนี้ใน Fortune เล่มนี้ยังมีบทความมหาเทพ How Hewlett-Packard lost its way ด้วย
ผมขี้เกียจแคปภาพแปะภาพดีๆ ไว้เดี๋ยวครบรอบครึ่งปีค่อยทำ เผอิญอยากรู้ stats ของ Blognone ช่วงนี้เลยมาจดเก็บไว้ก่อน