Quantcast
Channel: Isriya Paireepairit blogs
Viewing all 557 articles
Browse latest View live

The Grand Budapest Hotel

$
0
0

ชื่นชอบสไตล์หนังของ Wes Anderson มานาน (ถึงแม้จะไม่ได้ดูหนังของเขาเยอะสักเท่าไร) เมื่อมีโอกาสได้ดู The Grand Budapest Hotel ก็ไม่พลาด

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของ Monsieur Gustave ซึ่งเป็น "ผู้จัดการ" (concierge) ของโรงแรม Grand Budapest Hotel โรงแรมตากอากาศหรูหราไฮโซบนเทือกเขาของยุโรปตะวันออก (ไม่ได้อยู่ในฮังการี แต่เป็นประเทศสมมติชื่อ Republic of Zubrowka) ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย

Gustave เป็นผู้จัดการโรงแรมที่ทุ่มสุดตัวเพื่อแขกที่มาพัก ใส่ใจทุกดีเทล และบางครั้งก็เอา "ตัว"เข้าแลกเพื่อเอาใจบรรดาคุณนายไฮโซรุ่นเดอะ ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่และมีทรัพย์สินมหาศาล พระเอกของเรื่องอีกคนคือ Zero Moustafa เด็กยกกระเป๋าที่อพยพหนีภัยสงครามมา และกลายเป็นคู่หู-ผู้สืบทอดของ Gustave ในท้ายที่สุด

หนังใช้ชื่อโรงแรมมาทำเป็นชื่อหนัง แต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เกิดขึ้นนอกโรงแรม เพราะมีอยู่วันนึง คุณนายขาประจำของ Gustave ตายอย่างปริศนา และ Gustave กลายเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญของคดีนี้ สิ่งที่เขากับ Zero ต้องทำก็คือ "หนี"และนี่คือพล็อตหลักของหนังเรื่องนี้

ส่วนของพล็อตการไล่ล่าถือว่าสนุกดี แต่คิดว่าดีกรีของการหนีน่าจะทำให้พีคกว่านี้ได้อีกหน่อย (ซึ่งก็ไม่สำคัญนัก เพราะหนังนำเสนอให้อยู่ในรูปแบบของ comical คือดูตลกโอเวอร์ และตั้งใจให้ไม่สมจริงมาตั้งแต่ต้น)

แต่สิ่งที่เทพที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ production และ art direction ที่สวยแปลกตาในระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ละฉากบรรจงออกแบบเป็นอย่างมาก (หลายฉากออกมาแค่ไม่กี่วินาที แต่ดูเนื้องานแล้วพี่คงทำกันนานเป็นชาติ) ดีในระดับที่ว่าเราสามารถนั่งดูซ้ำแบบไม่ต้องดูเนื้อเรื่อง แล้วสังเกตรายละเอียดของแต่ละฉากได้เลย

ทีมผู้สร้างค้นพบห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ยุคก่อนสงครามโลกในเยอรมนี ห้างนี้ร้างแล้วแต่สถาปัตยกรรมภายในยังดีอยู่ และมีลานตรงกลาง (atrium) แบบเดียวกับโรงแรมจำพวก grand hotel ในอดีต เลยเนรมิตฉากล็อบบี้โรงแรมขึ้นมาใหม่หมด ดูคลิปเบื้องหลังประกอบแล้วจะซาบซึ้ง

หนังได้ Ralph Fiennes (Lord Voldemort แห่ง Harry Potter และ M แห่ง Skyfall) มาแสดงเป็น Gustave ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง พี่แกแสดงซะไฟแลบ โดดเด่นมาก ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็มีแต่บิ๊กเนมทั้ง Adrien Brody, Willem Dafoe, Edward Norton, Tilda Swinton แม้แต่พวกตัวประกอบก็ไม่ธรรมดา ได้ Jude Law, Bill Murray, Owen Wilson มาเล่นกันอย่างละนิดละหน่อย (หลายคนก็เป็นนักแสดงคู่บุญของ Wes Anderson มาแล้วหลายงาน)

แต่หนังเรื่องนี้ การแสดงเป็นตัวเสริมของ production อยู่ดีครับ พระเอกยังเป็น production ตามที่กล่าวมาแล้ว เมื่อรวมกับการแสดงที่ดี บทที่น่าสนใจเข้าไป ทำให้หนังเลิศเลอมาก (และได้ออสการ์ไป 4 ตัวในสายด้าน production ทั้งหมด) ใครชอบดูงาน production สวยๆ นี่ห้ามพลาดเลยทีเดียว


The Avengers

$
0
0

ชาวโลกเขาดู Age of Ultron กันไปหมดแล้ว พวกดูหนังดีเลย์แบบเราเพิ่งได้ดู Avengers ภาคแรกครับ

หลังจากผมปรับวิถีชีวิตเลิกเข้าโรงหนัง ก็พบว่ามีปัญหาคุยกับชาวบ้านเขาไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตรง Marvel Cinematic Universeนี่ล่ะ ในส่วนของ Phase 1 ได้ดูแค่ Iron Man สองภาคแรกเท่านั้น แล้วกระโดดข้ามมา Avengers เลย (คือไม่ได้ดู Hulk, Thor, Captain America เดี๋ยวค่อยหาโอกาสไปดูชดเชยทีหลัง)

แต่เนื่องจากมีพื้นความรู้ของจักรวาล Marvel มาพอสมควร เลยไม่ค่อยมีปัญหามากนักกับการดู Avengers ให้รู้เรื่อง

อย่างแรกเลยคือหนังยาว 2 ชั่วโมงกว่า เปิดมาประมาณชั่วโมงแรก หลับ! ส่วนนึงอาจเป็นเพราะดูบนเครื่องบินที่เอื้อกับการนอนหลับอยู่แล้ว แต่ส่วนนึงคิดว่าการฟอร์มทีม Avengers ทำได้ค่อนข้างน่าเบื่อด้วย (เทียบกับหนังรวมทีมฮีโร่ลักษณะนี้ จะมีประเด็นดึงดูดให้เราสนใจฮีโร่แต่ละตัวในช่วงครึ่งแรกของหนังมากกว่านี้)

สิ่งที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นฉากต่อสู้ ทั้งระหว่างคนในทีม Avengers ด้วยกันเอง (เช่น Iron Man กับ Thor) หรือจะเป็นการรวมทีมต่อสู้กับศัตรูภายนอกที่ออกแบบฉากแอ๊คชั่นสลับไปมาได้ดีมาก ลื่นไหล นี่คือสิ่งแรกที่แฟนๆ ฮีโร่อยากเห็น (เรื่องบู๊เรื่องใหญ่ บทเป็นเรื่องรอง) และ Marvel สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้เต็มร้อย

ในแง่ของเอฟเฟคต์คงไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับหนังฟอร์มยักษ์ระดับนี้ (กวาดเงินไป 1.5 พันล้านดอลลาร์ ติดอันดับท็อปๆ ของหนังทำเงินตลอดกาล ก็ถือว่าคุ้มค่า) ส่วนดาราก็เป็นระดับท็อป รวมดาราดังมาเล่นอยู่แล้ว อันที่พอติได้คือบทของทั้ง Hulk และ Captain America มันดูมึนๆ งงๆ ไปหน่อย ถ้าไม่มี Iron Man มาเป็นตัวสร้างสีสัน หนังคงจืดกว่านี้มาก

อ่านข้อมูลดูพบว่า Marvel พยายามสร้างสื่อประกอบภาพยนตร์อื่นๆ เช่น ซีรีส์แอนิเมชันและคอมมิก เพื่อโยงเรื่องเข้าไปผูกกับหนัง ซึ่งในแง่การทำธุรกิจก็คงดี แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามจริงจัง (แบบผม) รู้สึกว่าบางอย่างดูยัดเยียดเข้ามาเกินควร และพลอยทำให้ The Avengers ในฐานะหนังแบบ standalone มันไม่สนุกไปด้วย เช่น คาแรกเตอร์ของ Agent Coulson ที่คนไม่เคยติดตามก็จะไม่เข้าใจทำไมต้องเน้นบทของพี่แกขนาดนั้น ประเด็นคือใส่มาได้ ถ้าทำให้ซีรีส์โดยรวมมันสนุกขึ้น แต่ถ้าใส่มาแล้วมันกระทบหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็อย่าทำเลยดีกว่า

Keyword: 

The Hobbit: The Battle of the Five Armies

$
0
0

ภาคที่สามและภาคจบของไตรภาค The Hobbit ที่ไม่นึกว่าจะลากยาวมาได้ขนาดนี้ (ภาคแรก, ภาคสอง)

หลังจากชาวคณะคนแคระสามารถเดินทางไปถึง Lonely Mountain และชิงสมบัติจากมังกร Smaug ได้ในภาคก่อนแล้ว เนื้อหาภาคนี้มีเพียงแค่ 2 ส่วนคือปราบมังกร Smaug (ในช่วงแรกของหนัง) และสงครามชิงสมบัติใน Lonely Mountain จากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทั้งหมด 5 เผ่าตามชื่อของหนังคือ มนุษย์ คนแคระ เอลฟ์ ยักษ์ และอินทรี

เนื้อหาส่วนของสงคราม Battle of the Five Armies ในหนังสือจริงๆ มีแค่นิดเดียว (คือบอกว่ารบๆ กัน จบแล้วใครชนะ) แต่หนังก็เอามายืดได้ซะยาว (แถมทำได้ออกมาค่อนข้างดีด้วย) ถือเป็นความมหัศจรรย์จริงๆ

ตัวโครงเรื่องของสงคราม Battle of the Five Armies ในต้นฉบับถูกออกแบบมาให้ดราม่าน่าติดตามอยู่แล้ว คือตอนแรกหลายฝ่ายทะเลาะกันชิงสมบัติ แต่ต้องรวมตัวกันสู้เมื่อยักษ์บุก และมีดราม่าแบบเกือบแพ้แต่พลิกมาชนะได้สำเร็จ สิ่งที่หนังเพิ่มเข้ามาคือบทของเอลฟ์สาว Tauriel เข้ามาโรแมนซ์กับ Kiri และดึงเอลฟ์สุดหล่อ Legolas เข้ามาเพื่อเชื่อมเรื่องไปยัง Lord of the Rings ต่อด้วย (ซึ่งตอนท้ายๆ กษัตริย์ Tauriel ก็แนะนำให้ Legolas ไปตามหาคนชื่อ Strider ซึ่งก็คือ Aragorn นั่นเอง)

สรุปว่าหนังภาคนี้ค่อนข้างสนุกเพราะมีฉากแอคชั่นต่อเนื่องกันตลอด โดยรวมแล้วถือว่าไตรภาค The Hobbit ทำออกมาได้โอเค แต่ความซาบซึ้งตรึงใจก็ยังเป็นรองไตรภาค Lord of the Rings อยู่พอสมควร

Baki: Son of Ogre

$
0
0

[สปอยล์]

บากิ เป็นการ์ตูนที่เคยติดตามแบบใกล้ชิดสมัยเรียนมหาลัย เหตุเพราะมีพี่ในชมรมซื้อ Viva Friday เป็นประจำ เลยมีโอกาสได้ติดตามแบบตอนต่อตอนทุกสัปดาห์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (ลองคิดถึงตอนโดปโปะมือขาด แล้ว "อ่านต่อสัปดาห์หน้า"นะครับ)

แต่เนื่องจากเป็นการ์ตูนที่ไม่ได้ซื้อสะสม พอเรียนจบแล้วเลยต้องใช้วิธีไปยืมอ่านจากเพื่อนบางคนที่ยังตามซื้ออยู่ พอช่วงหลังตามการ์ตูนน้อยลง เลยพลอยไม่ได้ตามอ่านไปโดยปริยาย

การต่อสู้ของบากิกับยูจิโร่จบลงในปี 2012 (แต่ล่าสุดพี่เล่นออกภาค 4 แล้วซะงั้น) ถึงแม้ผมจะอดใจไม่ไหวแอบไปอ่านสปอยล์มาบ้างแล้ว แต่การได้อ่านเรื่องทั้งหมดแบบเต็มๆ ก็ย่อมเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าอยู่ดี

กฎเหล็กของการอ่านบากิคือ "อย่าสนใจเหตุผลเยอะ"เพราะถ้าสนใจเหตุผลแล้วจะพลอยอ่านไม่สนุกไป

Baki: Son of Ogre หรือบางที่เรียกชื่อภาคว่า Hanma Baki เป็นภาคสามของซีรีส์บากิ แต่เนื้อเรื่องจริงๆ ก็ต่อจากภาคสองเลย ชนิดว่าไม่ต้องแยกภาคก็ได้

เนื้อเรื่องในภาคสองครึ่งแรกเป็นการปะทะกันของเหล่านักสู้จากภาคแรกกับ 5 นักโทษเดนตาย (ซึ่งผมว่าเป็นช่วงที่สนุกที่สุดของซีรีส์บากิเลย) ตามด้วยการตัดไปแข่งขันไคโอที่ประเทศจีนแบบงงๆ แล้วปิดท้ายด้วยการต่อสู้ของบากิกับโมฮัมหมัด อาลี จูเนียร์ เพื่อบิ้วเตรียมให้คนอ่านมองไปถึงการต่อสู้ในฝัน ดรีมแมตช์ระหว่างบากิกับยูจิโร่

พอขึ้นภาคสาม การบิ้วยังดำเนินสืบต่อมาอย่างสม่ำเสมอ (แล้วมันจะแยกภาคทำไมฟระ) เริ่มด้วยการฝึกต่อสู้ในจินตภาพของบากิเอง (ซึ่งน่าเบื่อพอสมควร) ตามด้วยการไล่ตระเวณต่อสู้ของบากิเพื่อแสดงให้เห็นพัฒนาการความเก่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปท้าสู้กับยูจิโร่ได้

บากิเริ่มพิสูจน์ฝีมือตัวเองโดยเข้าคุกเพื่อไปสู้กับ "อันเชน"บิสกิต โอลิวา ที่เริ่มโผล่มาในภาคสอง (คาแรกเตอร์ที่น่าสนใจอีกตัวของเรื่องนี้) บทบาทของอันเชนนั้นชัดเจนว่าเขาเป็นยอดฝีมือระดับโลกที่ยูจิโร่ให้การยอมรับ และยังไม่เคยสู้กับบากิเลย (ในขณะที่คนอื่นๆ เคยสู้ไปแล้วในภาคแรก) ดังนั้นบากิจึงต้องสู้กับอันเชนเพื่อวัดระดับฝีมือก่อน

จากนั้นเป็นช่วงของ "พิคเคิล"มนุษย์โบราณที่โผล่มาได้ไงไม่รู้ (บอกแล้วว่าอย่าสนใจเหตุผล) แต่มีคุณค่าในฐานะ "คู่ต่อสู้"ที่เก่งกว่าใครๆ ในเรื่องทั้งหมด (แน่นอนว่ายกเว้นยูจิโร่) มาเติมเต็มให้บากิได้ทดสอบฝีมือเป็นขั้นสุดท้ายก่อนไปสู้กับยูจิโร่ ประเด็นเรื่องความเก่งของพิคเคิลนี่น่าสนใจมาก เพราะเก่งในแง่ raw strength อย่างเดียว ไม่มีทักษะด้านศิลปะป้องกันตัวเลย แต่ลำพังแค่กำลังและสัญชาตญาณอย่างเดียวก็ดึงดูดให้ยอดฝีมือหลายคนทั้งเร็ตซึไคโอ คาสึมิ และแจ็ค เข้ามาท้าสู้ตลอดเวลา (พิคเคิลเลยเปรียบเหมือนตัววัดความเก่งของเหล่าตัวละครหลักของเรื่อง ซึ่งก็แน่นอนว่าในกลุ่มนี้บากิเก่งสุด)

ช่วงสุดท้ายของ Baki: Son of Ogre เป็นช่วงที่หลายคนรอคอยคือการต่อสู้ระหว่างพ่อลูกตระกูลฮันมะ ตรงนี้ผมคิดว่าผู้เขียนแต่งเรื่องได้ดีมากในแง่ "ปม"ของการต่อสู้ที่ดูลึกซึ้งแต่ก็สมเหตุสมผล เพราะบากิที่ไม่เคยถูกพ่อเลี้ยงดูเลย (แถมเห็นแม่โดนพ่อฆ่าในภาคแรก) มีปมในใจที่อยากให้พ่อยอมรับ ส่วนยูจิโร่เองก็มีปมเรื่องความแข็งแกร่งจนเกินไปทำให้ไร้คู่ต่อสู้ และอยากเห็นลูกชายของตัวเองเติบใหญ่ขึ้นมาในระดับทัดเทียมกัน (เขียนมาถึงตรงนี้หลายคนก็อาจจะสงสัยว่า แล้วแจ็คล่ะ อันนี้ก็อย่าถามถึงเหตุผลเช่นเดิมครับ)

"สัญญะ" (symbol) ของสายสัมพันธ์พ่อลูกคู่นี้จึงกลายเป็น "การนั่งกินข้าวด้วยกัน"ที่การ์ตูนเริ่มบิ้วมาตั้งแต่ช่วงกลางๆ เรื่อง (เพราะครอบครัวนี้ไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน) และถูกนำมาใช้ตลอดเวลาไปจนถึงฉากสุดท้ายที่เป็นการ "กินข้าวในจินตนาการ"ที่หลายคน (รวมถึงผมด้วย) ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรตอนอ่านสปอยล์ครั้งแรก (แต่พอมาอ่านทั้งหมดแบบนี้ก็เข้าใจนะครับ คนเขียนเก่งทีเดียว)

การต่อสู้ระหว่างบากิกับยูจิโร่จึงมีความหมายมากกว่าการปะทะกันของหมัดมวยหรือพลังเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องการยอมรับกันและกันของพ่อและลูก (ด้วยวิธีการที่แปลกพิสดารต่างจากครอบครัวทั่วไปไกลมาก คือต่อยกันเลือดสาด) ความพ่ายแพ้ของบากิเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดเดาได้ (คงไม่มีใครคิดว่ายูจิโร่จะแพ้กระมัง) แต่สิ่งที่บากิได้กลับมาคือการยอมรับของยูจิโร่ ซึ่งอาจจะมีค่ามากกว่าการเอาชนะยูจิโร่เสียอีก

แน่นอนว่า Baki: Son of Ogre มีพล็อตโหว่มากมาย (เร็ตสึไคโอยังต่อยมวยไม่เสร็จเลย) และหลายช่วงก็ยืดเกินไปจนน่าเบื่อ (เช่น ช่วงตั๊กแตนหรือพิคเคิล รวมถึงนักการเมืองยอมสยบกับยูจิโร่มากเกินไปจนน่ารำคาญ) แต่สุดท้ายคนเขียนก็ "เอาอยู่"คือเขียนพล็อตหลักเรื่องบากิ vs ยูจิโร่ได้ดี ถือว่าจบได้ลงตัว

สิ่งที่ผู้เขียนเรื่องนี้ทำได้ดีมากๆ คือการแสดง "ระดับของความเก่ง"ออกมาในแบบที่จับต้องได้ เรารู้ว่าตัวละครในเรื่องเก่งมาก แต่เก่งแค่ไหนอย่างไร มันเป็นนามธรรมที่อธิบายยาก ซึ่งผู้เขียนใช้วิธีการเปรียบเทียบหลายรูปแบบเพื่อให้ผู้อ่านสามารถรับรู้ได้ว่า คนนี้เก่งประมาณไหน สู้กันแล้วผลออกมาเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่แพ้ชนะกันธรรมดา แต่ความเก่งยังสัมพันธ์กับการชนะกันอย่างไรด้วย

โดยสรุปแล้วผมยังยกให้ช่วงต้นของภาค 2 สนุกที่สุด และคิดว่าถ้าเอาภาค 2 กับ 3 มารวมกัน ตัดเนื้อหาช่วงยืดออกสักครึ่งหนึ่ง น่าจะกลายเป็นการ์ตูนต่อสู้ที่สนุกมากมาก

ป.ล. ตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องคือ โดปโปะครับ

Keyword: 

Game of Thrones: The Coming of Age in Westeros

$
0
0

ปรับปรุงจากโพสต์ใน Facebook

เนื่องจากดู Game of Thrones ช้ากว่าชาวบ้านเขาไปหลายปี หลังจากดูจบซีซัน 5 ไล่ทันชาวบ้านแล้ว ก็อยากเขียนลงบล็อกในบางประเด็นที่คิดว่าน่าสนใจสักหน่อย เริ่มจากวิจารณ์ "ธีมหลัก"ของเรื่องก่อน (หมายเหตุ: ข้อมูลทั้งหมดจากการดูซีรีส์อย่างเดียว ไม่ได้อ่านหนังสือ A Song of Ice and Fire)

ผมคิดว่าธีมหลักของ Game of Thrones คือมันเป็นหนังแนว coming of ageฟังแล้วอาจดูแปลกๆ เพราะในเรื่องนี้มันฆ่ากันชิปหายวายป่วงมาก จะมาเป็นหนัง coming of age ที่ส่วนใหญ่มักเป็นแนววัยรุ่นใสๆ ได้อย่างไรกัน

คำตอบคือธีมหลักของหนัง/นิยาย เป็นเรื่อง "การเติบโตเป็นผู้ใหญ่"ของเหล่าเด็กน้อยตระกูล Stark ทั้ง 6 คน โดยมีฉากหลังเป็นสงครามกลางเมืองของ Westeros ที่เรียลลิสติกและสมจริง ฆ่าเป็นฆ่า พลาดเป็นตาย ไม่มีโอกาสแก้ตัว {จากนี้ไปจะสปอยล์}

โลกของ Game of Thrones มีความซับซ้อนสูง เหตุการณ์ในเรื่องจับเอาช่วงเวลาที่ทวีป Westeros ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน เพิ่งผ่านสงครามกลางเมืองที่เรียกว่า Robert's Rebellionเมื่อ 18 ปีก่อนเริ่มเรื่อง ราชวงศ์ Targaryen ที่ปกครองอาณาจักรมาหลายร้อยปีถูกโค่นลง ในขณะที่บัลลังก์ของราชวงศ์ใหม่ Baratheon ก็ยังไม่มั่นคงนัก

Game of Thrones เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ลอบสังหาร "มหาเสนาบดี"ที่เป็นตัวจักรสำคัญในการปกครองประเทศ จนทำให้ตัวเอก Ned Stark ผู้นำตระกูล Stark ถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อปกครองประเทศต่อไป (ในขณะที่พระราชา Robert Baratheon ก็กินดื่มสุขนิยม) อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุทางการเมืองทำให้ Robert เสียชีวิตกระทันหัน และภาวะสุญญากาศอำนาจที่หลายฝ่ายแย่งชิงอำนาจนำ ก็ส่งผลให้ Ned Stark ต้องเสียชีวิตตามไปด้วย ดุลยภาพของแคว้นต่างๆ ใน Westeros ที่หยุดนิ่งมา 18 ปีจึงสลายไป สงครามกลางเมืองจึงหวนกลับคืนมาอีกครั้ง

แคว้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากวิกฤตทางการเมืองในเมืองหลวงคือ The North ที่ปกครองโดยตระกูล Stark นั่นเอง การตายของ Ned ส่งผลแรงถึงขนาดว่าอำนาจของตระกูล Stark ในแคว้น The North หมดสิ้นไปอย่างสมบูรณ์ และลูกๆ ของ Stark ทั้ง 6 คนต้องแตกกระสานซ่านเซ็น แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง

ธีมหลักของ Game of Thrones จึงเป็นว่าลูก Stark ทั้ง 6 ที่ไม่สามารถลิขิตชีวิตตัวเองได้ (มีสถานะเป็นผู้ถูกกระทำจากกงล้อประวัติศาสตร์) จะเอาชีวิตรอดและเติบโตขึ้นมาอย่างไรในแนวทางที่แตกต่างกัน ถ้าเทียบเป็นเกม RPG ก็แยกตามสาขาอาชีพได้เลย

  1. Robbเป็นสายมาตรฐานคืออัศวินผู้นำทัพ (knight) ตามแบบฉบับลูกคนโต (ถึงแม้ในหนังหน้าจะแก่และไว้เครา แต่อายุตามท้องเรื่องของ Robb ตอน Red Wedding แค่ 18 นะครับ พอเอาเด็กวัยรุ่น 18 ไปเป็นจอมทัพก็ลงเอยด้วยประการนี้แล)
  2. Sansaเส้นทางของ Sansa เป็นการต่อสู้ใน court ของราชสำนัก อันนี้ชัดเจน เป็นการต่อสู้ของสตรีสูงศักดิ์ ตามกรอบประเพณี อันนี้มาแนวลูกสาวคนโตที่มีสถานะเป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองผ่านการแต่งงานระหว่างตระกูลใหญ่
  3. Aryaอันนี้กลับกันคือเมื่อ Sansa สู้อยู่ใน court เส้นทางของ Arya กลับเป็นสายเอาท์ดอร์คือนอนกลางดินกินกลางทรายตลอด จนเข้าสู่เส้นทางมือสังหาร (ถ้าเป็นเกมก็คือ thief หรือ assasin)
  4. Branถ้าเป็นเกมก็คือมาสายจอมเวทย์เลย อาชีพในหนังคือเป็น warg ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ
  5. Rickonตัวละครของ Rickon นี่ผมยังสงสัยอยู่ว่าสุดท้ายแล้วจะมีบทบาทมากแค่ไหนเพราะบทน้อยเหลือเกินใน 5 ซีซันแรก (อย่างว่าคืออายุแค่ 10 ขวบเองนะ) ต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้วจะได้มีบทหรือเปล่า
  6. Jon Snowเป็นด้านกลับของ Robb คือเมื่อไม่สามารถเติบโตในฐานะ knight ตามระบอบได้ (เพราะ Robb มี legitimacy ในฐานะลูกในสมรส) ดังนั้น Jon ก็ต้องหาทางออกโดยเป็นอัศวินนอกระบบแทน (black knight หรือในเรื่องก็คือ night watcher นั่นเอง)

จริงๆ ควรต้องนับ Theon เป็นลูกคนที่เจ็ดของบ้าน Stark ด้วย ถึงแม้เขามีสถานะเป็นแค่ "ตัวประกัน" (คือแย่กว่าลูกนอกสมรสอีกมั้ง) แต่เมื่อ Ned เลี้ยงดู Theon มาแบบเดียวกับลูกของเขาเอง (และ Theon ตอนหลังก็รับสารภาพว่าจริงๆ เขาคิดว่า Ned เป็นพ่อมากกว่าพ่อแท้ๆ ของเขาอีก) เขาถือว่าเป็น "ลูก Stark"อีกคนหนึ่งได้เช่นกัน ปมของ Theon น่าสนใจตรงที่เขาเองก็สับสนว่าตกลงเขาเป็นคนของ Greyjoy หรือ Stark กันแน่ และความสับสนนี้บีบให้เขาบุกมายึด Winterfell ซึ่งเขาก็เสียใจในภายหลังที่ทำเรื่องนี้ลงไป

อย่างไรก็ตาม ช่วงหลัง Theon โดนทรมานทรกรรมจนบทน้อยลงไปมาก เลยไม่แน่ใจว่าควรนับเป็นหนึ่งในตัวเอกด้วยหรือไม่ (อาจกลับมาเด่นในซีซันต่อไปครับ)

ในห้าซีซันที่ผ่านมา ลูก Stark ทั้งหกคนแทบไม่มีโอกาสกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้เลย ไล่ตั้งแต่ Sansa/Arya ที่โดนการเมืองราชสำนักเล่นงานอย่างหนัก, Bran/Rickon ที่อยู่กับบ้านเฉยๆ ยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน, Jon ที่อยากพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก แต่พอไปถึง Wall ก็พบว่าความเป็น Stark ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากนัก และปิดท้ายด้วย Robb ที่ดูเหมือนจะกำหนดชีวิตตัวเองได้ในช่วงแรกจนตั้งตัวเป็นพระราชาได้ แต่สุดท้ายคนดูทุกคนก็รู้ว่าอำนาจของ Robb มันเป็นเรื่องจอมปลอมทั้งนั้น

หลังจากโดนเคี่ยวกรำมานาน เส้นทางชีวิตของลูก Stark แต่ละคนก็เริ่มพัฒนาและเติบโตมากขึ้น คาดว่าในซีซันถัดๆ ไปเมื่อเรื่องเริ่มขมวดปมและไคลแมกซ์ ตัวละครเหล่านี้ก็น่าจะเริ่มมีชีวิตที่ตัวเองกำหนดได้บ้างแล้ว และการกำหนดเส้นทางชีวิตของพวกเขานี่แหละที่จะกลายเป็นปัจจัยชี้ชะตากรรมของ Westeros ในช่วงท้ายเรื่อง (ซึ่งไม่มีใครเดาออกว่าเป็นเช่นไร)

ถ้าเรามอง Game of Thrones ด้วยกรอบแนวคิดเรื่อง coming of age อย่างครบเครื่อง เรายังสามารถประยุกต์ใช้ได้กับตัวละครอื่นที่มีอายุและสถานะสังคมใกล้เคียงกัน เช่น Tyrion หรือ Daenerys ได้เช่นกัน เพราะ Tyrion มีสถานะเป็นลูกที่ไม่มีใครรัก และชีวิตอยู่ภายใต้การกำหนดของพ่อ-พี่มาตลอด ในขณะที่ Daenerys โหดร้ายกว่าตั้งแต่พี่ชายเอาไปขายแลกกับอำนาจ แต่ชะตาชีวิตผกผันจนต้องสร้างตัวขึ้นมาเองจากศูนย์

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า Game of Thrones เป็นซีรีส์ที่คาดเดาได้ยากมาก มี plot twist เยอะมาก กรอบการวิเคราะห์นี้จึงสามารถใช้ได้เฉพาะกับเรื่องในซีซัน 1-5 เท่าที่ออกฉายเท่านั้นนะครับ (ไว้เรื่องมันจบจริงๆ ค่อยมาว่ากันอีกที)

Entrepreneurship: Pirate Spirit vs Navy Execution

$
0
0

ความเป็นขบฎ กล้าแหกกรอบ กล้าท้าทายระเบียบกฎเกณฑ์นั้นเป็นเรื่องเท่เสมอในทุกวงการ

ความเป็นขบฎในโลกของไอทีน่าจะเริ่มต้นมาจากสตีฟ จ็อบส์ ที่สร้างวัฒนธรรม anti-corporate ท้าทายความจำเจ ตั้งแต่การสร้างสัญลักษณ์ "โจรสลัด"ปักธงไว้ที่ยอดตึก, โฆษณา Big Brother ท้าทายอำนาจของ IBM, โฆษณา Think Different อันโด่งดัง รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรอีกหลายอย่างที่ได้รับความชื่นชอบจากจิตวิญญาณ "ขบฎ"ที่หลบซ่อนอยู่ในใจของใครหลายคน

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดมายังวงการ startup ที่มีวัฒนธรรม anti-corporate ยิ่งกว่า บรรดาผู้ก่อตั้งใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และสร้างบริษัทพลิกโลกอย่าง Google, Facebook, Twitter, Instagram กันอย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จของบรรดา startup ที่กล้าแหกกรอบเดิมๆ ส่งผลให้เกิดค่านิยมว่า startup ต้องทำตัวเป็น "โจรสลัด"จึงจะประสบความสำเร็จในระดับนี้

คำถามคือการทำตัวเป็นโจรสลัดแล้วจะประสบความสำเร็จ มันคือ fact หรือ myth

คำตอบที่น่าสนใจอยู่ในหลักสูตรวิชาผู้ประกอบการ Entrepreneurship 101: Who is your customer?ของ MIT ที่เปิดสอนบนระบบคอร์สออนไลน์ edX (สมัครเรียนได้ฟรี หรือหาวิดีโอจาก YouTube ก็ได้ แต่ดูจากหน้าเว็บของคอร์สง่ายกว่า)

วิชานี้สอนโดย Bill Auletอาจารย์ของ MIT Sloan School of Management และผู้อำนวยการศูนย์ Martin Trust Center for MIT Entrepreneurship ผู้เคยมีประสบการณ์ทำ startup มาแล้ว 3 บริษัท

ในวิดีโอแนะนำคอร์ส Bill Aulet เล่าประสบการณ์การเปิดบริษัทของเขาว่า เขาเปิดบริษัทครั้งแรกโดยไม่รู้อะไรเลย และตัดสินใจผิดพลาดในหลายๆ เรื่อง เช่น วัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเขาก็พยายามแก้ไขจุดบกพร่องในบริษัทถัดๆ มา พอถึงบริษัทที่สามเขาก็สามารถสร้างบริษัทที่มีมูลค่าระดับ 500 ล้านเหรียญได้สำเร็จ

เขาบอกว่ามักได้รับคำถามอยู่เสมอว่าคุณรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับ startup ได้อย่างไร คำตอบของเขาคือ "ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก"การประกอบธุรกิจเป็นประสบการณ์สั่งสม "entrepreneurship was cumulative"มาถึงตอนนี้เขามีความฉลาด (wisdom) ที่จะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ก็จริง แต่ "wisdom is 'scar tissue' from all the mistakes I've made"เป็นผลมาจากบาดแผลเหวอะหวะที่เขาสะสมตลอดมาชั่วชีวิต

สำหรับคอร์ส Entrepreneurship 101 ของ Aulet คือสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้กับผู้เรียน เขาบอกว่าคนทั่วไปมักมีความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับผู้ประกอบการ เช่น ต้องฟ้าสั่งมาเกิดเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้, ต้องกล้าเสียง กล้าได้กล้าเสีย หรือ ต้องโชคดีมากๆ ถึงจะประสบความสำเร็จได้ ฯลฯ

สิ่งที่ทำให้คนคิดแบบนี้เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานของการทำธุรกิจ และไม่เข้าใจว่าผู้ประกอบการบางรายประสบความสำเร็จได้อย่างไร

ถ้าหากลองดูเบื้องหลังของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน ให้ลึกลงไปกว่าภาพภายนอกที่นำเสนอแค่ว่าพวกเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ และชอบความเสี่ยงที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ในความเป็นจริง นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จกลับต้องมีวินัยอย่างยิ่งยวดต่างหาก

สตีฟ จ็อบส์ มักพูดอยู่เสมอว่าการเป็นโจรสลัดนั้นสนุกกว่าการเป็นทหารเรือ (it's more fun to be a pirate than to join the Navy) แต่ในความเป็นจริงนั้น สตีฟ จ็อบส์ กลับเป็นคนที่ทำงานหนัก และมีวินัยในตัวเองอย่างมาก ภาพลักษณ์ของสตีฟ จ็อบส์ ดูเป็นขบถ แต่เอาเข้าจริงแล้วตารางงานของจ็อบส์มีการประชุมเยอะมากใน 1 สัปดาห์ และเขารักษานัดหมายเหล่านี้อย่างเคร่งครัด (รายละเอียดดูในหนังสือชีวประวัติของเขามีบอกไว้)

Aulet บอกว่าเป้าหมายของคอร์สนี้คือสร้าง "กระบวนการคิดที่เป็นระบบ" (rational systematic process) เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ต้องการให้ผู้เรียนมีความสนุกกับการประกอบธุรกิจไปด้วย นั่นคือต้องการผนวกเอาสปิริตของโจรสลัด เข้ากับวินัยและการฝึกฝนของทหารเรือระดับแนวหน้าอย่างหน่วย SEAL นั่นเอง

"So here we're going to embrace that pirate spirit, that pirate spirit inside of you, and we're going to add to it the execution skills of a Navy SEAL."

อธิบายง่ายๆ คือพลังโจรสลัดมันเป็นแค่ความเท่ภายนอกเท่านั้น ถ้าใครคิดจะทำธุรกิจแบบเท่ๆ โดยไม่มีรากฐานที่แน่นหนารองรับก็มีแต่เจ๊งแน่นอน นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจึงต้องมีทั้งสองมิติควบคู่กันไป เพียงแต่คนจะไม่เห็นส่วนของวินัยและความอุตสาหะที่ค่อนข้างน่าเบื่อเท่ากับมิติของโจรสลัดขบฎ

ใครสนใจก็ตามไปเรียนกันได้ครับ คอร์สลงรายละเอียดพื้นฐานตั้งแต่การเลือกเซกเมนต์ของลูกค้า (market segmentation) โดยสอนเรื่อง methodology ระดับฐานรากอย่างการกำหนด persona ของลูกค้าที่เราคาดหวัง แล้วจึงไปวิจัยตลาด สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างลูกค้าจริงๆ ว่าคิดอย่างไร (ซึ่งทีมงานก็ลงไปสัมภาษณ์คนเดินถนนจริงๆ ให้ดูเลยว่าทำอย่างไร)

หมายเหตุ: ภาพประกอบบทความจาก One Piece ไม่เกี่ยวอันใดกับเนื้อหา เป็นความชอบส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น

Sam Altman's Time Management

$
0
0

Photo credit: epSos .de

พอมีหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบมากในระดับหนึ่ง สิ่งที่หายากขึ้นเรื่อยๆ คือ "เวลา"

ดังนั้นเทคนิคการบริหารจัดการเวลา จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ และเว็บไซต์หลายแห่งของเมืองนอกก็มักเอาเรื่องนี้มาเป็นจุดขาย เรียกลูกค้า (อย่างเราๆ) ได้ตลอด

เคสล่าสุดคือ Sam Altmanประธานของ Y Combinator อธิบายวิถีชีวิตประจำวันของเขาไว้สั้นๆ แต่น่าสนใจ ดังนี้

I get up late, have an espresso, and immediately start work. I try to get roughly caught up on email before I leave the house, then if I need to write anything or review a complex deal I do that, and then I head to the office and work on my top few priorities for the day. I try to schedule my meetings in the afternoon.

ประเด็นที่น่าสนใจ (เดี๋ยวจะไปลองทำบ้าง) คือพยายามจัดให้มีประชุมช่วงบ่ายทั้งหมดถ้าทำได้ เพราะช่วงเช้าจะได้ใช้เวลาไปกับงานเชิงความคิดที่ต้องใช้สมาธิเยอะๆ แทน จากประสบการณ์ส่วนตัวพบว่าถ้ามีงานประชุมตอนเช้าแล้ว บ่ายมักจะหมดแรงและพลอยไม่ค่อยอยากทำงานนั่งโต๊ะที่ต้องใช้สมาธิหรือพลังมากๆ

Source

หนึ่งวันยาวนาน แต่สิบปีแสนสั้น

$
0
0

Photo credit: Pelham Greenville

เพิ่งเขียนบล็อกถึง Sam Altmanไปตอนหนึ่ง เว็บต้นทางก็แนะนำให้อ่านโพสต์ยอดฮิตของเขาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา The days are long but the decades are short

Sam Altman ประธานของ Y Combinator เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ เขาเคยทำแอพชื่อ Loopt (คู่แข่งของ Foursquare) และเคยเป็นศิษย์เก่าของ YC มาก่อน หลังขายบริษัทได้ในปี 2012 เขาก็ย้ายมาทำงานกับ YC เต็มตัว ทำให้อายุน้อยมากคือเพิ่ง 30 เท่านั้น

โพสต์นี้เขาเขียนเพื่อรำลึกถึงวันเกิด หลังจากมีเพื่อนถามว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในชีวิตมีเรื่องอะไรที่น่าจดจำบ้าง เขาจึงเขียนโพสต์นี้ขึ้นมาเพื่อส่งต่อประสบการณ์แก่ผู้อื่น

ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าเขียนเป็นบทกวีดี เลยมาสรุปความเป็นภาษาไทยไว้ จุดมุ่งหมายคือให้กำลังใจมิตรสหายท่านหนึ่ง แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเช่นกัน (ทักษะการแปลแนวนี้ผมไม่ดีนัก แนะนำให้อ่านเวอร์ชันเต็ม)

1) อย่าละเลยครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคู่รัก เราควรเลือกอยู่กับ 'เพื่อนสนิท'ไม่กี่คนมากกว่า 'คนรู้จัก'นับร้อย อย่าขาดการติดต่อกับเพื่อนเก่า บางครั้งก็ยอมอดนอนเพื่อใช้เวลาพูดคุยกับผู้คนสักหน่อย ไปร่วมงานปาร์ตี้บ้าง

2) ชีวิตไม่ใช่การลองชุด เวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและผ่านไปเร็ว จงทำเฉพาะสิ่งที่ช่วยเติมเต็มและทำให้เรามีความสุข ดีกว่าจะพยายามทำตัวให้คนจดจำ เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่ตายไปนานแล้วคนยังระลึกถึง จงอย่าทำสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุข (ซึ่งมักจะเกิดเมื่อเราทำสิ่งที่คนอื่นขอให้เราทำ) อย่าพยายามรักษาสายสัมพันธ์กับคนที่เราไม่ชอบ จงตัดคนที่คิดลบกับเราออกไปจากชีวิต และอย่าหาข้ออ้างในการไม่ทำสิ่งที่จริงๆ แล้วเราอยากทำ

3) หนทางสู่ความสำเร็จคือจงทำสิ่งที่ควรทำ (the right thing to do) ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำแต่มักถูกละเลย จากนั้นก็โฟกัส เชื่อในตัวเอง (โดยเฉพาะเมื่อมีคนมาบอกเราว่าอย่าทำเลย ไม่เวิร์คหรอก) สร้างสัมพันธ์กับผู้คนที่อยากช่วยเรา เรียนรู้ที่จะหาว่าใครบ้างมีทักษะความสามารถ และจงทำงานให้หนัก มันยากที่จะค้นหาว่าเราควรต้องทำอะไร เพราะเรามักโดนครอบงำโดยความคิดแรกของเราเสมอ

4) ในชีวิตการทำงานนั้นเป็นเรื่องยากที่เราจะทำงานได้ดี ในสิ่งที่เราไม่สนใจ และยากที่จะมีความสุขในชีวิต ถ้าเราไม่ชอบงานที่ทำ จงทำงานให้หนักแต่อย่าหนักถึงขั้นไม่เหลือชีวิตอยู่เลย จงตั้งเป้าว่าจะเป็นอันดับหนึ่งของโลกในสายงานที่เราทำ แม้ว่าปลายทางแล้วเราจะไปไม่ถึงอันดับหนึ่ง แต่การตั้งเป้าแบบนี้ย่อมทำให้อันดับของเราไม่เลวนัก จงค้นหาระบบการทำงานที่เหมาะกับตัวเอง อย่าเสียเวลาไปกับความไม่มีระเบียบทั้งหลาย อย่ากลัวที่จะเสี่ยงบางอย่างเพื่อหน้าที่การงานในอนาคต โดยเฉพาะเมื่ออายุยังน้อย คนส่วนใหญ่ไม่ได้วางแผนเส้นทางอาชีพของตัวเอง ดังนั้นขอให้คิดหนักๆ ว่าเราชอบอะไร จะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้อย่างไร และพยายามพูดคุยกับคนในอาชีพที่อยากทำ

5) เรื่องเงิน เงินอาจซื้อความสุขไม่ได้เสมอไป แต่เงินซื้ออิสรภาพได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ภาวะขาดเงินเป็นความกดดันอย่างมาก ดังนั้นจงมีเงินมากพอในระดับที่ไม่ต้องเครียด แต่ก็ไม่ต้องถึงรวยขนาดซื้อเครื่องบินส่วนตัว การหาเงินมักสนุกกว่าการใช้เงิน แต่ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยเสียดายเงินที่ใช้จ่ายไปกับเพื่อน กับการหาประสบการณ์ใหม่ๆ กับการใช้เงินเพื่อซื้อเวลา การท่องเที่ยว และสนับสนุนในสิ่งที่เชื่อ

6) จงคุยกับคนให้มากขึ้น อ่านเนื้อหายาวๆ ให้มากขึ้น อ่านทวีตให้น้อยลง ดูทีวีให้น้อยลง ใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตให้น้อยลง

7) อย่าเสียเวลาไปกับสิ่งที่เปล่าประโยชน์ คนส่วนใหญ่เสียเวลาโดยใช้เหตุ โดยเฉพาะในโลกธุรกิจ

8) อย่าหยิ่งผยอง จองหองกับผู้อื่น คำว่า "มั่นใจ" (confident) กับ "หยิ่งผยอง" (arrogant) นั้นต่างกัน จงเป็นแบบแรก

9) มีเป้าหมายที่ชัดเจนทุกวัน ทุกปี และทุกสิบปี

10) การวางแผนนั้นดี แต่ถ้ามีโอกาสอันดีวิ่งเข้ามาหา เราก็ควรแหกกรอบที่วางไว้เพื่อคว้าโอกาสนั้น อย่ากลัวที่จะเสี่ยง ผลลัพธ์อย่างหนึ่งของการทำงานหนักคือโอกาสดีๆ จะวิ่งเข้ามาหา แม้ว่าสุดท้ายแล้วเราจะต้องเป็นคนตัดสินใจอยู่ดีว่าจะคว้าโอกาสนั้นหรือไม่

11) จงหาผู้คนรายล้อมที่ฉลาด น่าสนใจ มีความฝันทะเยอทะยาน จงไปทำงานกับคนเหล่านี้หรือไม่ก็จ้างพวกเขา ความสนุกอย่างหนึ่งของการทำงานคือสร้างสายสัมพันธ์กับคนที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ จงใช้เวลากับคนที่น่าจะเก่งที่สุดในสายงานนั้นแต่กลับไม่เป็นที่รู้จัก เคยมีคำพูดว่า 'เราคือค่าเฉลี่ยของกลุ่มคนที่เราใช้เวลาด้วยเยอะที่สุด'ซึ่งนั่นเป็นความจริง

12) ลดภาระของสมองจากสิ่งรบกวนที่ไม่มีความสำคัญ คนส่วนใหญ่มักผิดพลาดเรื่องนี้ จงเอาเรื่องไร้สาระออกไปจากชีวิต พัฒนาวิธีคิดที่จะหลีกเลี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่สั่งสมแล้วมารบกวนสมองของเรา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับงาน

13) รักษาภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัว (personal burn rate) ให้น้อย เพื่อให้เรามีโอกาสในชีวิตมากขึ้น

14) การพักร้อนเป็นเรื่องดีที่สุด

15) อย่าวิตกกังวลมากเกินไป ในชีวิตจริง สิ่งต่างๆ ในชีวิตมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่เราคาดไว้ คนส่วนมากมักลังเลและไม่กล้าเสี่ยง ทำให้ข้อแนะนำต่างๆ มักเอนเอียงไปในทางที่ไม่เสี่ยงโดยธรรมชาติ (ดังนั้นเราต้องปรับกลับมาให้พอดี)

16) จงขอในสิ่งที่เราต้องการ (ask for what you want)

17) ถ้าเราคิดว่าในอนาคตจะเสียใจที่ไม่ทำสิ่งนี้ เราก็ควรทำมัน เพราะการเสียใจในภายหลังเป็นเรื่องแย่ ถ้าสงสัยหรือลังเล จงเดินหน้าลุย

18) ออกกำลังกาย กินอาหารให้ดี นอนให้หลับ ออกไปสัมผัสธรรมชาติบ่อยๆ

19) ออกไปช่วยเหลือผู้อื่นในแบบฉบับของเรา การช่วยเหลือคนเป็นงานไม่กี่อย่างในชีวิตที่ตอบโจทย์ทางใจ จงเป็นมิตรกับคนแปลกหน้า ไม่ว่าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่ก็ตาม

20) วัยหนุ่มสาวเป็นเรื่องดี จงใช้มันอย่างคุ้มค่า ตอนอายุหลัก 20 ควรมีวินัยทางการเงิน แต่อย่าปิดกั้นตัวเองจนเกินไปจนเสียโอกาส เพราะเงินไม่สามารถซื้อเวลาช่วงหนุ่มสาวกลับมาได้

21) บอกรักพ่อแม่บ่อยๆ กลับไปเยี่ยมบ้านให้บ่อยเท่าที่จะทำได้

22) เรื่องร้ายๆ จะผ่านพ้นไปในที่สุด (this too shall pass)

23) จงหาความรู้อย่างหิวโหย

24) ทดลองทำสิ่งใหม่อยู่เรื่อยๆ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะการทำสิ่งใหม่จะช่วยให้เรารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง ความสุขเพิ่มขึ้น และชีวิตยังน่าสนใจอยู่เสมอ อีกทั้งไม่ทำให้เรายึดติดกับวิธีคิดแบบเดิมๆ มากเกินไป จงตั้งใจทำสิ่งใหม่ ใหญ่ และเสี่ยง ทั้งในแง่ชีวิตส่วนตัวและการงาน

25) จำได้ไหมว่าตอนเป็นวัยรุ่น เรารักแฟนขนาดไหน จงรักแฟนให้ได้ระดับเดียวกันในตอนนี้, จำได้รึเปล่าว่าตื่นเต้นกับของเล่นใหม่ในสมัยเด็กอย่างไร จงทำตัวมีความสุขและตื่นเต้นให้ได้เท่ากัน

26) อย่าทะเลาะกับคนอื่น และอย่าทุ่มเทสุดตัวเพื่อทำสงคราม จงเลือกสมรภูมิการรบอย่างระมัดระวัง

27) จงให้อภัย

28) อย่าวิ่งไล่ตามสถานะทางสังคม เพราะสถานะที่ไม่มีรากฐานที่มั่นคงจะอยู่กับเราไม่นาน

29) เกือบทุกสิ่งอย่างจะดีถ้าเราใช้หรือมีอย่างพอประมาณ อย่าเยอะเกินไป

30) การกลัวว่าจะมีชีวิตอย่างไร้ความหมาย (existential angst) เป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ทุกครั้งที่เราผ่านช่วงหักเหสำคัญของชีวิต เหตุผลหนึ่งที่คนทำงานหนักเพราะไม่อยากเสียเวลามาคิดเรื่องนี้

31) จงรู้คุณคน มองปัญหาอย่างเข้าใจ อย่าพร่ำบ่นมากเกินไป อย่าอิจฉาในความสำเร็จของผู้อื่น แต่จงจำไว้ว่าคนอื่นจะอิจฉาเมื่อเราสำเร็จ และเราต้องเรียนรู้ที่จะวางเฉยกับมัน

32) จงเป็นคนที่ลงมือทำ ไม่ใช่พวกดีแต่พูด

33) คนเราปรับตัวได้เสมอ ถ้ามีเวลามากพอ

34) ก่อนทำอะไรจงคิดก่อนสักเล็กน้อย และถ้าโกรธก็จงหยุดคิดสักพักก่อนทำอะไรลงไป

35) อย่าตัดสินคนอื่นเร็วเกินไป เราไม่มีทางรู้เบื้องหลังหรือเหตุจูงใจว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้นหรือไม่ทำเช่นนี้ จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา

36) หนึ่งวันยาวนาน แต่ระยะเวลาสิบปีกลับแสนสั้น จงใช้ให้คุ้มค่า

Keyword: 

YouTube Thumbnail URL

$
0
0

จะใช้งานทีไร ลืมทุกรอบ ต้องหาใหม่ทุกรอบ มาจดไว้ตรงนี้แล้วกัน

  • http://img.youtube.com/vi/[video-id]/default.jpg -- Default (120x90)
  • http://img.youtube.com/vi/[video-id]/hqdefault.jpg -- Medium Quality (320x180)
  • http://img.youtube.com/vi/[video-id]/hqdefault.jpg -- High Quality (480x360)
  • http://img.youtube.com/vi/[video-id]/sddefault.jpg -- Standard Definition (640x480)
  • http://img.youtube.com/vi/[video-id]/maxresdefault.jpg -- Maximum Resolution (1920x1080)

ที่มา - Binary Moon

Keyword: 

How to Boot Windows 10 in Safe Mode

$
0
0

เพิ่งลง Windows 10 ใหม่แบบ clean install จะเจอปัญหาเรื่อง migration หลายประการ มีเหตุให้ต้องบูตเข้า Safe Mode ปรากฎว่าท่าเดิมที่ใช้กันมานานคือกด F8 ตอนบูตนั้นไม่เวิร์คอีกต่อไปแล้ว

เหตุผลเป็นเพราะกระบวนการบูตของ Windows 10 นั้นเปลี่ยนไปจากเดิม ถ้าอยากเข้า Safe Mode มีวิธีการด้วยกัน 3 แบบดังนี้

  1. ถ้าถึงขนาดคอมพัง บูตไม่เข้าเลย ทางแก้คือต้องบูตด้วย Recovery Drive เท่านั้น
  2. กดปุ่ม Shift ค้างไว้แล้วกดปุ่ม Restart ใน Start Menu จากนั้น Windows จะรีบูตขึ้นมาแบบมี option ให้เลือก ให้เลือก Troubleshoot > Advanced Options > Startup Settings
  3. ถ้าคอมใช้งานได้ปกติ สามารถสั่งบูตจากโปรแกรม System Configuration (หรือที่รู้จักกันในชื่อ msconfig)

สำหรับขั้นตอนตามวิธีที่ 3 คือเรียกโปรแกรม System Configuration จาก Cortana (หรือจะสั่ง Run แล้วพิมพ์ msconfig ก็ได้ผลเหมือนกัน) จากนั้นเข้าแท็บชื่อ Boot แล้วติ๊กตัวเลือก Safe boot ตามที่ไฮไลท์ไว้ กด OK ระบบจะถามว่าเราต้องการรีบูตมั้ย กดแล้วจะบูตเข้า Safe Mode ครับ

ทั้งนี้ตัวเลือก Safe boot มันจะเลือกค้างไว้ด้วย บูตอีกรอบก็จะเข้า Safe Mode อีก ดังนั้นทำงานใน Safe Mode ให้เสร็จแล้วอย่าลืมติ๊กออกกันด้วยนะครับ

ส่วนวิธีการแบบอื่นๆ อ่านใน 4 Ways To Boot Into Safe Mode In Windows 10

Keyword: 

[Howto] วิธีตั้ง Windows Photo Viewer เป็นแอพดูรูปดีฟอลต์ใน Windows 10

$
0
0

ปัญหาที่น่าหงุดหงิดใจอย่างหนึ่งของ Windows 10 คือแอพดูรูปตัวใหม่ Photos ที่ออกแบบมาสำหรับจอสัมผัส (เป็น Universal) แต่ในแง่การใช้งานถือว่าด้อยกว่า Windows Photo Viewer ตัวเก่า (ที่หลายคนเรียกว่า Preview) อยู่หลายจุด

จุดที่ผมไม่ค่อยชอบนักคือทูลบาร์กินเนื้อที่ขอบบนของจอเยอะพอสมควร (อันนี้ยังพอรับได้) แต่ที่เลวร้ายมากคือ แอนิเมชันตอนเปลี่ยนรูป ทำเป็นเลื่อนซ้ายขวานั้นปวดหัวมากเวลาไล่ดูรูปเยอะๆ (แถมไม่มีวิธีปิดด้วย)

การเปลี่ยนค่าแอพดูรูปแบบดีฟอลต์ไม่ใช่เรื่องยากเย็น แต่หลังจากที่ลง Windows 10 ใหม่แบบ clean installผมก็พบว่า Windows Photo Viewer ไม่มีให้เลือกในรายชื่อแอพดูรูปซะงั้นครับ

ค้นหาข้อมูลแล้วพบว่าอาการนี้จะเกิดเฉพาะเมื่อติดตั้งแบบ clean install เท่านั้น ถ้าอัพเกรดมาจาก Windows เวอร์ชันเก่าจะมี Windows Photo Viewer ให้เลือกตามปกติ

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขไม่ได้ยากนัก เพราะแอพ Windows Photo Viewer ยังติดตั้งอยู่ในเครื่อง แค่ไม่อยู่ใน registry ของระบบเท่านั้น ทางแก้จึงเป็นการแก้ค่า registry ให้มันกลับคืนมาเท่านั้น วิธีการดูได้จาก Super User Forum

หรือถ้าขี้เกียจ ก็มีคนทำไฟล์ registry ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว (Howtogeek) ดาวน์โหลดแล้วติดตั้ง เราจะเห็น Windows Photo Viewer กลับคืนมาในเมนูรายชื่อแอพ จากนั้นก็เปลี่ยนมันกลับเป็นดีฟอลต์ก็เรียบร้อยแล้ว

Keyword: 

[Howto] ติดตั้งฟอนต์ไทยตระกูล Angsana บน Windows 10

$
0
0

สำหรับคนที่ลง Windows 10 แบบ clean install แล้วไม่ได้ตั้งค่า locale เป็น Thai คงประสบปัญหาว่า มันไม่มีฟอนต์ไทยชุดมาตรฐาน Angsana, Browalia, Cordia มาให้ด้วย

เวลาพิมพ์เอกสารใน Word จะมีฟอนต์ดังกล่าวมาให้เลือก แต่ตอนแสดงผลกลับจะเป็นฟอนต์อื่นแทน ดังภาพ

Thai Fonts in Windows 10

ทางแก้ก็ไม่ยากเลย เพราะเราแค่ติดตั้งฟอนต์เพิ่มไปก็เรียบร้อยแล้ว (ถ้าไม่ใช่ locale ไทยมันจะไม่ติดตั้งโดยดีฟอลต์) วิธีการให้เข้าแอพ Settings เลือกหมวด Time & Language และ Region & language

คลิกตรงภาษา "ไทย"แล้วเลือก Options

Thai Fonts in Windows 10

จากนั้นเลือก Basic Typing (3MB) กดปุ่ม Download (ส่วน language pack นั่นคือชุด UI ภาษาไทยนะครับ ถ้าไม่ใช้ก็ไม่ต้องลง)

Thai Fonts in Windows 10

ปล่อยให้มันดาวน์โหลดไปสักแป๊บ ยังไม่ทันจะโหลดเสร็จดี ฟอนต์ที่หายไปก็จะกลับคืนมาให้ทันทีครับ ไม่ต้อง restart อะไรใดๆ ทั้งสิ้น จบข่าว

Thai Fonts in Windows 10

Keyword: 

Bad Boss - เจ้านายห่วยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พนักงานลาออก

$
0
0

มีคนส่งกระทู้ อะไรที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนตัดสินใจออกจากงานก่อนได้งานใหม่บ้างมาให้อ่าน ประทับใจคำตอบที่ตอบสั้นๆ ว่า "เจ้านาย กับเพื่อนร่วมงาน"และได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ

เรื่องคนเป็นเรื่องใหญ่ เมืองไทยเองก็มีสุภาษิต (ที่มีคนโพสต์ไว้ในกระทู้) ว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก"ประเด็นนี้เป็นเรื่องน่าสนใจ น่าไปหาข้อมูลเพิ่ม

ข้อมูลที่พบเจอคือ การสำรวจของบริษัท Gallupเกี่ยวกับบทบาทของ "หัวหน้า"ในที่ทำงาน ซึ่งผู้ตอบแบบสำรวจของ Gallup เกือบแปดพันราย ประมาณครึ่งหนึ่งระบุว่า "ลาออกเพราะเจ้านายห่วย"

one in two had left their job to get away from their manager to improve their overall life at some point in their career

คำถามที่ควรถามต่อคือ เจ้านายห่วยมีหน้าตาเป็นอย่างไร (หรือในทางกลับกันคือ หัวหน้าที่ดีควรเป็นอย่างไร) อันนี้พูดยากเพราะเป็นเรื่อง subjective ขึ้นกับมุมมองของแต่ละบุคคล เรามีตำราและบทความที่พูดถึงเรื่องนี้กันเยอะ

Gallup ถามต่อว่า เจ้านายที่ดีในอุดมคติของผู้ตอบแบบสำรวจคืออะไร โดยแยกเป็น 3 มิติ คือ การสื่อสาร (communication) การประเมินผลการทำงาน (performance management) และจุดเด่นของพนักงานแต่ละคน (individual strengths)

  • การสื่อสารลูกน้องมักชื่นชอบหรือรู้สึกดีกับเจ้านายที่สื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา (ไม่ว่าจะผ่านช่องทางใด) เจ้านายควรตอบสนองต่อการสื่อสารของลูกน้องรวดเร็ว และไม่จำกัดเฉพาะเรื่องงาน แต่รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่นอกเหนือการทำงานด้วย เพื่อให้รู้สึกว่า เจ้านายแคร์เรา
  • การประเมินผลการทำงานเป็นดาบสองคมในที่ทำงาน ถ้าลูกน้องไม่เข้าใจเป้าหมายว่าตัวเองมาทำงานไปเพื่ออะไร ที่ทำงานคาดหวังอะไรจากเรา การประเมินย่อมสร้างความรู้สึกไม่ดีแก่ลูกน้อง ซึ่งจากผลสำรวจของ Gallup ระบุว่าลูกน้องต้องการเจ้านายที่ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เห็นภาพว่าต้องการอะไรจากเรา และสอบถามความคืบหน้าอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่ทำแค่ปีละครั้งตามระเบียบองค์กร
  • พัฒนาจุดเด่นผลวิจัยของ Gallup สรุปว่าการพัฒนาจุดเด่น (building strength) มีผลลัพธ์ดีกว่าการแก้ไขจุดอ่อน (fixing weakness) และวัฒนธรรมองค์กรรวมถึงพฤติกรรมของเจ้านายที่ส่งเสริมจุดเด่น จะช่วยให้พนักงานมีผลงานออกมาดีขึ้น

ข้อมูลจาก Harvard Business Review, Wall Street Journal

ภาพประกอบจาก Street Fighter Wikia

บทเรียนจากกูเกิล - ปัจจัยที่เหนี่ยวรั้งให้คนเก่งอยู่กับองค์กรต่อไป

$
0
0

คำถามที่สำคัญมากในแวดวง HR สมัยใหม่คือ "บริษัทจะรักษายอดฝีมือไว้ได้อย่างไร"บางทีคนที่ตอบคำถามนี้ได้อาจเป็นบริษัทไอทีชื่อดังทั้งหลาย ที่หาคนเก่งๆ มาทำงานได้ตลอดเวลา

Laszlo Bock ผู้บริหารตำแหน่ง SVP of People Operations ของกูเกิล ตอบคำถามเรื่องนี้ว่าปัจจัยที่คนเก่ง (talent) จะอยู่ทำงานกับคุณต่อไป มีแค่ 2 ข้อ และไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องสักเท่าไร

ประการแรกคือ คุณภาพของเพื่อนร่วมงาน คนเก่งย่อมดึงดูดคนเก่งและอยากทำงานกับคนเก่ง ดังนั้นกูเกิลจึงต้องมีกระบวนการคัดเลือกพนักงานอย่างเข้มงวดไม่ว่าจะมาทำในตำแหน่งใด การคัดเลือกต้องให้หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานมีส่วนตัดสินใจ รวมถึงมีคณะกรรมการตัดสินว่าจะจ้างงานหรือไม่ (hiring committee) ด้วย

ในแวดวง startup มีคำกล่าวว่า “A players beget A players. B players beget C players.”ถ้ายอม compromise ปล่อยให้ B-player หรือผู้เล่นชั้นรองเข้ามา ก็จะทำให้ A-player ไม่พอใจและหนีออกไป (ซึ่งก็จริงแต่ในทางปฏิบัติทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องนึง)

ประการที่สองคืองานที่ทำอยู่มีความหมายแค่ไหน ตรงนี้ Bock บอกว่าคนอยากทำอะไรที่มากกว่าการทำงานหาเงินตอบแทน อะไรคือ meaning ของงานที่ทำ ถ้าหากบุคคลนั้นเข้าใจว่างานของเราจะส่งผลต่ออะไรที่มีความหมาย ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะดีขึ้นเอง

กูเกิลมีชื่อเสียงเรื่องบริการอาหารฟรี สวัสดิการมากมาย แต่ Bock (ในฐานะหัวหน้าฝ่าย HR ของกูเกิล) ก็พูดเองว่าของปลีกย่อยพวกนี้ "มีก็ดี"แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ขาดไม่ได้ ถ้าคนคิดจะไปจากกูเกิล ต่อให้มีอาหารฟรีก็รั้งไว้ไม่ได้อยู่ดี

ที่มา - Business Insider, ภาพจาก Life at Google

Mad Max: Fury Road

$
0
0

ไม่เคยดู Mad Max มาก่อนสักภาค แต่เห็นคนชม Fury Road กันเยอะ พอมาเจอว่ามีให้ดูบนเครื่องบินเลยตัดสินใจดูทันที และพบว่าไม่ผิดหวัง

Mad Max: Fury Road เป็นการรีบูตซีรีส์ Mad Max โดยผู้กำกับคนเดิม โครงเรื่องและธีมเรื่องแบบเดิม แต่ใช้นักแสดงชุดใหม่ ในระยะเวลาจริงที่ห่างกันมาถึง 30 ปี (ภาคก่อนสร้างปี 1985 ภาคนี้ 2015) แน่นอนว่าผู้กำกับแก่งั่กแล้ว อายุ 70 แต่กลายเป็น 70 ยังเจ๋งเพราะหนังออกมาดีมาก

Mad Max: Fury Road เป็นโลกอนาคตที่มีแต่ทะเลทราย ทรัพยากรธรรมชาติขาดแคลน อารยธรรมมนุษย์ล่มสลาย ใครมีกำลังเยอะหน่อยก็ตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองปกครองกันเอง เนื้อเรื่องของ Fury Road ไม่ซับซ้อน เป็นการพยายามหลบหนีออกจากเมืองของเจ้าเมืองโฉด โดยมีฉาคแอคชั่นอัดเต็มตลอดเรื่อง (มันเป็นหนังแอคชั่นนิ)

จุดเด่นที่สุดของ Fury Road คือ "สไตล์"ที่คงมาตั้งแต่ Mad Max ภาคแรก นั่นคือนำเสนอโลกอนาคตที่อารยธรรมล่มสลาย ฉากหลังเป็นทะเลทราย (อันนี้คล้ายกับ Dune) แต่เครื่องแต่งกายและพาหนะในเรื่องกลับเป็นแนว heavy metal ขับรถบรรทุกคันใหญ่ไล่ล่ากันอย่างเมามันส์ ถือเป็นเอกลักษณ์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครอย่างมาก

จุดเด่นประการที่สองของ Fury Road คือ "บท"ที่กระชับไม่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อ ไม่ต้องเกริ่นเรื่องกันนาน (เนื้อเรื่องหรือประวัติความเป็นมาของตัวละครหลายจุด ถูกข้ามไป ไม่เล่าอย่างจงใจ) โผล่มาก็แทบจะซัดกันเลย แถมต่อสู้ไล่ล่ากันตลอดเกือบทั้งเรื่อง (กว่าพระเอกจะมีบทพูดก็ผ่านไปครึ่งเรื่องได้มั้ง) เนื้อเรื่องเดินเร็วและต่อเนื่อง การกระทำมีเหตุมีผล (แต่ก็ยังสนุกและเวอร์นิดๆ ตามแบบฉบับหนังแอคชั่น)

อีกจุดที่ผมว่าดีคือรู้สึกว่า "จังหวะ"ของหนังดี ช่วงที่กำลังเริ่มเบื่อก็จะมีแอคชั่นมาแทรกตลอด โดยรวมแล้วโครงเรื่องของ Fury Road ไม่ซับซ้อนมากนัก แต่มันก็ตอบโจทย์ของหนังแอคชั่นที่ดูสนุก คือดูเหมือนจะไม่มีอะไร ดูเผินๆ อาจมองว่าเป็นหนังไล่ล่าไซไฟเน้นลุยไม่เน้นเรื่อง แต่เอาจริงแล้ว มันก็มีความลึกซึ้งในแบบของมันแทรกอยู่

ประเด็นที่ว่าเนื้อเรื่องบางจุดถูกข้ามไปอย่างจงใจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก คือปล่อยให้คนดู "คิดเอง"ว่าตกลงแล้วตัวละครนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรในรายละเอียด (หนังเล่าคร่าวๆ พอให้ต่อเรื่องติด แต่ไม่เสียเวลานำเสนอลงลึก) ถือเป็นความแปลกใหม่ที่เปิดจินตนาการให้คนดูเป็นอย่างมาก (เนื้อเรื่องที่เว้นไว้ สามารถนำไปแต่งต่อในสื่ออื่นๆ เหมือน Star Wars หาเงินต่อได้อีกมาก)

จุดเด่นอย่างที่สาม ยกให้นักแสดงครับ นักแสดงเรื่องนี้มีไม่เยอะแต่ใช้คุ้มค่า เด่นที่สุดย่อมเป็น Furiosa ที่แสดงโดย Charlize Theron ถือเป็นความแปลกใหม่ของตัวละครนำหญิงสายแกร่งในหนังแอคชั่น

ส่วนจุดอ่อนของหนังที่นึกออกคือ ฉากแอคชั่นบางทีมันตัดสลับระหว่างคู่บู๊เร็วไปหน่อย เลยดูไม่ทันในบางจุด ถ้าไม่คุ้นกับหนังตัดเร็วๆ แบบนี้มาก่อน อาจจะหลุดยาวคือดูไม่รู้เรื่องเลยว่าใครทำอะไร สู้กันอย่างไร

ป.ล. Angharad เมียของ Joe (คนที่ตั้งท้อง) สวยเด่นกว่าใคร ดูแล้วรู้สึกหน้าคุ้นๆ ไปเปิดชื่อดูเป็น Rosie Huntington-Whiteley นางแบบชื่อดังและนางเอก Transformer 3 นั่นเองครับ (เสียดายบทน้อยไปหน่อยนะ)

Keyword: 

My Hero Academia

$
0
0

[ไม่สปอยล์]

การ์ตูนเรื่องล่าสุดที่มีคนแนะนำให้อ่าน เป็นการ์ตูนเรื่องใหม่ของ Jump (เริ่มลงเดือนกรกฎาคม 2014) แนวเรื่องเป็นโชเนนลายเส้นสวยสะอาดตา เนื้อหาจับตลาดเด็กผู้ชายวัยกำลังเติบโต 100% (ไม่มีโป๊ ไม่มีดาร์ค ไม่มีแปลก)

My Hero Academiaหรือชื่อญี่ปุ่น Boku no Hero Academiaเป็นการ์ตูนแนวชั้นเรียน (classroom) ที่จับเด็กวัยกำลังเริ่มจะรุ่นมาอยู่ด้วยกัน เติบโตผ่านสถานการณ์ไปด้วยกัน โดยมีฉากหลัง (settings) เป็นโลกของ "ฮีโร่"ประเทศญี่ปุ่นร่วมสมัยที่ทุกคนสามารถมีพลังพิเศษและเป็นฮีโร่ได้ ลักษณะเดียวกับเรื่อง One-punch Man

แนวเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่นัก พระเอกเป็นเด็กขี้แหยที่อยากเป็นฮีโร่ อยากเข้าโรงเรียนสอนวิชาฮีโร่ แต่กลับไม่มีพลังพิเศษติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แน่นอนว่าตามโครงเรื่อง พระเอกต้องได้เข้าเรียน รู้จักเพื่อนฝูงอื่นๆ ที่มีความฝันอยากเป็นฮีโร่แบบเดียวกัน ผจญภัยฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน

เนื่อเรื่องแนว classroom เราพบได้ทั่วไปในการ์ตูนญี่ปุ่นสายโชเนน (โดยเฉพาะการ์ตูนกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม เช่น ฟุตบอลหรือบาส) การ์ตูนแนวนี้พระเอกจะไม่เด่นคนเดียว แต่จะมีตัวละครอื่นๆ มาร่วมแชร์ความเด่นด้วย ตัวอย่างการ์ตูนแนวนี้ที่ผมนึกออกก็อย่างเช่น Naruto ช่วงแรก, Shokugeki no Sōma ที่เรื่องแบบเดียวกันเป๊ะแต่ฉากหลังเป็นการทำอาหารแทน, Attack on Titan เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม My Hero Academia กลับนำเสนอเรื่องราวการเติบโตของเหล่าฮีโร่รุ่นใหม่ได้อย่างน่าสนใจ จังหวะการดำเนินเรื่องค่อนข้างกระชับและลื่นไหล มีเหตุการณ์มาแทรกให้น่าตื่นเต้นเป็นระยะ (ช่วงแรกๆ มุขฝืดๆ อยู่บ้าง แต่ตอนหลังเริ่มเข้ารอยก็ลื่นแล้ว) เส้นทางชีวิตของเหล่านักเรียนฮีโร่ก็หลากหลาย แต่ละด่านไม่จำเจ (คล้ายกับ HxH ช่วงสอบฮันเตอร์ รวมถึง Soma ด้วย) แถมการเดินเรื่องก็ดูสมเหตุสมผลดี ตัวละครมีที่มาที่ไปและแรงจูงใจชัดเจน แถมออกแบบตัวละครย่อยๆ ได้ค่อนข้างน่าสนใจทุกตัว

ข้อติที่นึกออกคงเป็นคาแรกเตอร์ของตัว All Might ฮีโร่อันดับหนึ่งของโลก (และ father figure ของพระเอกในเรื่อง) ดูไร้มิติไปสักหน่อย (เฉพาะ All Might เวอร์ชันออกสื่อ) ซึ่งก็คงต้องรอเนื้อเรื่องพัฒนาต่อไป เพื่อให้เห็นเรื่องราวเชิงลึกของ All Might ให้มากขึ้น

สรุปว่าดี เราแนะนำ (รู้สึกว่า Jump ไม่มีการ์ตูนใหม่เด่นๆ สักเท่าไรนักในช่วงหลัง เรื่องนี้คือหนึ่งในของดีที่หลุดเข้ามา)

Keyword: 

ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ ราษฎร์บูรณะ

$
0
0

Top photo by Uwe Schwarzbach

ไม่รู้จะเขียนที่ไหน เอาลงบล็อกตัวเองละกัน

เรื่องมีอยู่ว่าขับรถผ่าน ธ.กสิกรไทย สำนักงานใหญ่ราษฎร์บูรณะ ตรงข้างสะพานพระราม 9 มาหลายรอบแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาสไปเยือน เผอิญช่วงหลังๆ ผมไปเขียนถึงเขาไว้เยอะ (ฮา) เลยโดนเรียกไปรายงานตัวกับเขาบ้าง (เดี๋ยวรออ่านใน Blognone ได้)

พอได้ไปเยือนก็เลยพบว่า เออ ตึกมันมีจุดน่าสนใจเยอะเหมือนกัน มาเขียนไว้หน่อย

อย่างแรกคือตึกมันใกล้สะพานพระราม 9 และทางด่วนมาก แต่วิธีไปจากทางด่วน (ขับรถไป) นี่ไม่ง่ายเลย เพราะคอสะพานนั้นเลยธนาคารไปไกลอยู่ ตัวธนาคารตั้งอยู่บนถนนราษฏร์บูรณะที่อยู่ริมน้ำ แต่ทางลงทางด่วนจะเป็นถนนสุขสวัสดิ์ที่ขนานกัน ดังนั้นเราต้องลงทางด่วนตรงถนนสุขสวัสดิ์ แล้วยูเทิร์นวิ่งใต้ทางด่วนมาทะลุราษฎร์บูรณะ แต่เนื่องจากธนาคารอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ต้องยูเทิร์นอีกรอบหนึ่ง (ตอนกลับก็ทำแบบเดียวกันคือ ออกจากธนาคาร ยูเทิร์นบนราษฎร์บูรณ วิ่งใต้ทางด่วน ยูเทิร์นบนสุขสวัสดิ์ ขึ้นทางด่วน)

kbank-map

อย่างที่สองคือ ตึกทรงดาบมันอยู่ติดน้ำก็จริง แต่ไม่ได้อยู่ติดถนน และมีตึกอื่นเล็กๆ คั่นอยู่ประปราย ดังนั้นเวลาเราเลี้ยวรถจากถนนใหญ่ มันจะไม่เจอตึกดาบทันที แต่จะต้องเข้ามาในอาณาบริเวณแล้วค่อยไปยังตัวตึกอีกที

Kasikorn Bank HQ

อย่างที่สาม ที่จอดรถหายากสุดติ่งตามประสาตึกออฟฟิศทั่วไปในกรุงเทพ เห็นบริเวณใกล้ๆ กันมีลานจอดรถสำหรับพนักงานด้วย และขนาดเราเป็น visitor มีที่จอดรถเฉพาะ ยังต้องจอดซ้อนคัน

อย่างที่สี่ บนตึกวิวสวยดีครับ เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มตาดี ห้องน้ำอยู่ติดกระจก ยืนฉี่อยู่ก็เห็นวิว งาม

River from KBank HQ

สุดท้ายคือไหนๆ ไปที่แปลกใหม่จะลองไปหาข้าวกินแถวนั้น แต่สายที่เราส่งเข้าไปแทรกซึมให้คำแนะนำว่า แถวตึกมันกันดาร ไปหาที่อื่นกินดีกว่า พร้อมแนะนำร้านให้เสร็จสรรพ ร้านแรกไปถึง ปิด! เลยได้ไปร้านที่สองชื่อ ส้มตำท่ารถ อยู่เลยไปหน่อยบนถนนสุขสวัสดิ์ อยู่ตรงท่ารถเมล์พอดีเลยได้ชื่อร้านว่าส้มตำท่ารถ (ไปถึงร้านพบว่าคนกินมีแต่พนักงานแบงค์)

ลองแล้วพบว่ารสชาติใช้ได้ จัดจานสวยดีด้วย เผอิญไปคนเดียวเลยสั่งมาได้ไม่เยอะนัก เดี๋ยวหาโอกาสไปลองใหม่ ใครจะตามไปกินหาใน Google Maps ได้ ในรูปแผนที่ข้างบนก็มีบอกไว้

ส้มตำท่ารถ

สรุปว่าประสบการณ์ไปเที่ยวสำนักงานใหญ่ของธนาคารรอบนี้ก็สนุกดีครับ คนของแบงค์อธิบายว่าตอนนี้ KBank มีด้วยกัน 3 ตึกหลัก คือ ราษฎร์บูรณะ เป็นที่นั่งผู้บริหารและงาน back office, พหลโยธินตรงอารีย์ เป็น front office, เมืองทองธานีข้างอิมแพค (ที่กำลังขึ้นตึกที่สอง) เป็นพวก call center และ data center

Keyword: 

อยากกู้สินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ แต่ไม่มีสินทรัพย์ทำอย่างไรดี? (SME)

$
0
0

บทความนี้เป็น advertorial

อยากทำธุรกิจ แต่ไม่มีทุน... ปัญหาฟื้นฐานสำหรับคนคิดจะเริ่มต้นทำธุรกิจ และเมื่อทำธุรกิจมาได้ระยะหนึ่งแล้วก็ต้องการสภาพคล่องเพื่อใช้หมุนเวียนธุรกิจเพิ่ม อยากกู้สินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ แต่ไม่มีสินทรัพย์ทำอย่างไรดี? ติดตามกันได้ในบทความนี้เลยครับ ประการแรก... มองหาไอเดียดีๆ ที่ทำเงินได้จริง

สำหรับธุรกิจที่เริ่มต้นการมองหาไอเดียดีๆ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการทำเงินได้จริงๆ เพราะหากเรามีไอเดียดีๆ แหล่งเงินทุนไม่ใช่เรื่องยาก ไอเดียที่ทำเงินได้มักจะได้รับการสนับสนุนจากแหล่งเงินทุน เช่นธนาคารพานิช ยิ่งเราทำภาพธุรกิจ และสามารถนำเสนอได้ชัดเจนเท่าไร ไอเดียดีๆ สามารถทดแทนสินทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้ และโอกาสที่เราจะกู้สินเชื่อก็จะยิ่งสูงขึ้นตามความเป็นไปได้ของกิจการ และการทำธุรกิจของเราครับ

ประการที่สอง... รักษาเครดิตยิ่งชีพ

หากเราประกอบกิจการมาได้ระดับหนึ่งแล้ว... การรักษาเครดิตถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะหากเรามีเครดิตดี โอกาสที่เราจะขอวงเงินกู้ที่สูงขึ้นยามที่เราลำบากจะง่ายขึ้นมากๆ ครับ ... หากไม่จำเป็นอย่าทำให้ธุรกิจเราขาดสภาพคล่อง และเสียเครดิต เราต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวของกระแสเงินสดที่เข้ามาในกิจการ และลูกหนี้ของเราอย่างใกล้ชิด เครดิตดีสินทรัพย์ค้ำประกันก็เป็นเรื่องรองลงมา... อย่าลืมรักษาเครดิตยิ่งชีพกันนะครับ

ประการที่สาม... ติดตามสภาพคล่องของกิจการ

หากทำกิจการไปได้ซักพัก เราจะต้องหมุนเงินก้อน และมันจะเป็นเงินก้อนที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การติดตามสภาพคล่องของกิจการเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างใกล้ชิด และสม่ำเสมอ หากเราต้องเครดิตการค้าให้กับลูกค้ายาวนาน เจ้าของกิจการควรเดินทางไปเจรจาเพื่อขอวงเงินเพิ่มเติมเอาไว้แต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้กิจการขาดเงิน ขาดสภาพคล่อง เพราะจะแก้ไขยาก และก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายครับ สภาพคล่องดีก็ขอสินเชื่อง่าย... ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับ

ประการที่สี่... เลือกสถานที่ขอสินเชื่อ

เป็นเคล็ดลับเล็กๆ ส่วนตัวสำหรับผู้เขียน... เวลาไปขอสินเชื่อผมจะไปขอสินเชื่อกับธนาคารในสาขาที่มีผู้คนไม่มากนัก เพราะฝ่ายสินเชื่อของธนาคารเองก็ต้องทำยอดเหมือนกัน หากเราเดินทางไปขอสินเชื่อกับสาขาของธนาคารที่คึกคักอยู่แล้ว บางทียอดสินเชื่อของผู้จัดการฝ่ายสินเชื่ออาจจะถึงเป้าแล้ว... แบบนี้โอกาสที่เราจะได้สินเชื่อก็จะยากกว่าการที่เราเดินทางไปขอสินเชื่อกับธนาคารสาขาที่ไม่ค่อยจะคึกคักครับ

ประการที่ห้า... เตรียมหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือสิ่งทดแทน

เคล็ดลับประการนี้ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง... “หลักทรัพย์ค้ำประกัน” สำหรับสินเชื่อ SME นั้นมีหลากหลาย คุณผู้อ่านลองเข้าไปดูที่ https://www.krungsri.com/bank/th/KrungsriSME.htmlจะมีรายละเอียดที่สำคัญๆ ที่เจ้าของกิจการต้องใส่ใจอย่างไรก็ตามหากอยากกู้สินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ แต่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เราสามารถไปเดินบัญชีในรูปแบบของเงื่อนไขในแต่ละธนาคารได้ ลองเข้าไปศึกษาดูนะครับ

Delete Files in Windows PowerShell

$
0
0

มีเหตุให้ต้องลบไฟล์จำนวนมหาศาลบน Windows แบบกำหนดเงื่อนไขตามชื่อไฟล์ ปัญหาคือไม่เคยเขียน PowerShell มาก่อน เลยต้องงมๆ อยู่พักหนึ่งกว่าจะทำได้

ผลออกมาคือท่าที่เวิร์คต้องใช้ | (pipe แบบเดียวกับ unix shell) โดยเริ่มจากเรียกชื่อไฟล์ทั้งหมดในไดเรคทอรี จากนั้น match ด้วยเงื่อนไขตาม regular expression และปิดด้วยการลบไฟล์ที่กรองแล้ว

Get-ChildItem $Path | Where{$_.Name -Match "<RegEx Pattern>"} | Remove-Item

ในกรณีที่เป็นไดเรคทอรีซ้อนไดเรคทอรี ก็สามารถใส่ -Recurse เพิ่มไปได้

Get-ChildItem $Path -Recurse | Where{$_.Name -Match "<RegEx Pattern>"} | Remove-Item

สำหรับการเขียน regular expression ก็ไม่ต่างอะไรกับของ unix ครับ ใครเขียนไม่เป็นก็ลองอ่าน Writing Regular Expressions in Windows PowerShell

เทคนิคเล็กๆ ของ PowerShell คือเราสามารถใส่พารามีเตอร์ -WhatIf ต่อท้ายก่อนสั่งลบไฟล์ได้ เพื่อเช็คดูก่อนว่า ตกลงมันใช่ไฟล์ที่เราจะลบจริงๆ หรือเปล่า - TechNet

ข้อมูลจาก StackOverflow

Keyword: 

Jurassic World

$
0
0

หนังสนุก ซีจีสวยดี แม้จะยังไม่คลาสสิคเท่า Jurassic Park ภาคแรก

  • หนังเจ๋งตรงที่เอาพล็อตแบบเดียวกับภาคแรก (พล็อตที่พิสูจน์แล้วว่าเวิร์ค แม้ตัวพล็อตหลักมันจะไม่มีอะไรมากคือ "ไดโนเสาร์หลุดจากกรง") มารีเมคใหม่ โดยเป็นเรื่องในอีกหลายสิบปีให้หลังที่ยังอยู่ในจักรวาลเดียวกัน
  • ถึงแม้หนังจะเอาพล็อตหลักเดิมมา แต่ก็ยังบิดให้ต่างไปจากเดิมบ้างเพื่อให้ดูแปลกใหม่ขึ้น เช่น บทบาทของไดโนเสาร์ตัวเก่าทั้งแรปเตอร์และทีเร็กซ์ต่างไปจากของเดิม
  • โดยรวมแล้วหนังมันดูสนุกเพราะพล็อตแบบฮอลลีวู้ดมาตรฐานเนี่ยแหละ (เลยไม่แปลกใจว่าทำไมทำรายได้เยอะเกิน 1 พันล้าน) เพราะคนอยากดูไดโนเสาร์ แอ๊คชั่น ภายใต้พล็อตสนุกที่ไม่ต้องซับซ้อน
  • ถ้าดูแบบซับซ้อนสมจริง ก็จะเห็นช่องโหว่ในพล็อตมากมาย เช่น ระบบ operation ในสวนทำไมมันแย่ขนาดนั้น (ภาคแรกยังดีกว่าด้วยซ้ำเพราะไดโนเสาร์หลุดเนื่องจากโดนหนอนบ่อนไส้) หรือทำไมซีอีโอต้องบ้าระห่ำไปขับเฮลิคอปเตอร์ด้วย
  • ตัวละครหลักทำได้ดี บทบาทของพระเอกกับการเป็นผู้นำฝูงแรปเตอร์ดูแปลกใหม่ดี น่าเสียดายว่าภาคนี้เด็กๆ ไม่มีบทอะไรเลยนอกจากหนี ในขณะที่ภาคแรกยังมาช่วยกู้โลกได้ตอนท้าย
  • หนังจืดกว่าภาคแรกไปหน่อยตรงไม่มีฉากลุ้นเยอะๆ เหมือนแรปเตอร์ในห้องครัว และผมรู้สึกว่าตัว Indominus rex มันดูไม่ค่อยมีคาแรกเตอร์ยังไงก็ไม่รู้ (ยังดีมีไดโนเสาร์น้ำ Mosasaurus มาช่วยแบ่งเบาภาระตัวเด่นตรงนี้)
  • เห็นว่าจะทำหนังภาคต่อของ Jurassic World อีกรอบในปี 2018 (เรื่องก็วางพล็อตไว้แล้วให้ด็อกเตอร์หนีไปได้) แต่คาดว่าถ้าเอาพล็อตอื่นนอกจากแนวทางนี้มาใช้ มันไม่น่าจะดังนะ
Keyword: 
Viewing all 557 articles
Browse latest View live




Latest Images