Quantcast
Channel: Isriya Paireepairit blogs
Viewing all 557 articles
Browse latest View live

เพิ่งค้นพบความดีงามของ Galaxy Note 3 มันคือการจดโน้ตใส่รูป!

$
0
0

Disclaimer:บล็อกนี้รีวิวไม่มีสปอนเซอร์นะครับ ส่วนซัมซุงก็ลงโฆษณา Blognone เป็นปกติอยู่แล้ว

ใช้ Galaxy Note 3 มาเกือบปีเพิ่งค้นพบความดีงามระดับ "ทีเด็ด"ของมันครับ เลยมาจดลงบล็อกไว้สักหน่อย (คนอื่นเขาคงค้นพบกันไปทั้งโลกแล้วล่ะ)

ตัวมือถือเองก็ถือว่า "ดีตามมาตรฐาน"ครับ สเปกแรง จอสวย ทำงานลื่น อัพเดตไวพอประมาณ TouchWiz หน้าตาเห่ย ฯลฯ ส่วนฟีเจอร์ปากกา S Pen อยู่ในระดับที่ "เจ๋งประมาณนึง"ให้รีวิวแบบสั้นๆ คือ

  • มันสะดวกดีมากเอาไว้จดโน้ตได้ในยามที่ต้องการ ผมเลิกพกสมุดจดที่เป็นกระดาษไปเลย
  • แต่ระบบ detect ลายมือภาษาไทยของมัน ทำงานได้ดีในระดับหนึ่งแต่ยังไม่พอ (ผมเขียนสระเอ มันกลายเป็นเลข 6 ตลอด สงสัยม้วนผิดข้าง) การเขียนตัวอักษรแล้วให้มันแปลงเป็นข้อความจึงติดขัดและไม่ลื่นอย่างที่ควรจะเป็น (คงต้องรอเทคโนโลยีอีกสักพัก) ผมเลยแก้ปัญหาโดยจดโน้ตเป็น "รูป"ทั้งหมด ไม่ต้องมีระบบแปลง text ใดๆ
  • อันที่ดีถัดมาคือ ซัมซุงแถม Evernote Premium มาให้สองปี ผมเลยหันมาใช้ Evernote จดข้อมูลต่างๆ และสามารถซิงก์โน้ตจาก S Note มาลง Evernote ได้อัตโนมัติ กลายเป็นโซลูชัน to-do list ที่สะดวกในระดับหนึ่งคือจดอะไรลงไปบนมือถือ มันก็ซิงก์ไปโผล่ใน Evernote บนคอมหรือบนอุปกรณ์อื่นๆ ทันที
  • วาดรูปนี่แรกๆ ก็เห่อวาดโน่นนี่อยู่พักนึง ภายหลังพอยุ่งๆ วุ่นวาย ชีวิตไม่ค่อยชิวก็เลิกวาดไปเลย

ชีวิตก็อยู่มาประมาณนี้เกือบปีโดยมีความสุขตามระดับมาตรฐานที่กล่าวไป จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนคือเตรียมจะซ่อมบ้าน ก็เลยไล่ตระเวณดูเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์แต่งบ้านทั้งหลายทั้งปวงทั่ว กทม. ครับ

ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจเรื่องเฟอร์นิเจอร์ใดๆ แต่พอต้องมาเลือกเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์เพื่อนำมาใส่ในบ้าน (ที่มี space จำกัด) ก็พบปัญหาในระดับ pain point (พูดตามภาษาสตาร์ตอัพ) คือเราดูเฟอร์นิเจอร์เยอะ และจำเป็นต้อง "บันทึก"ข้อมูลอย่างน้อย 2 ส่วนดังนี้

  • รูปลักษณ์หรือเป็นภาษาอังกฤษก็คือ visual image เพื่อเอาไว้ดูสี สไตล์ รูปทรง หน้าตา ฯลฯ
  • ข้อมูลหรือ information ที่เป็น textual เช่น มิติ กว้างสูงยาว ราคา สถานที่ขาย ระยะเวลาสั่งทำ ฯลฯ

ดูเผินๆ ปัญหานี้ไม่ยากอะไร ยุคของสมาร์ทโฟนที่กล้องถ่ายรูปอยู่ไกลเราเพียงแค่ควักกระเป๋า หยิบมันขึ้นมาถ่ายซะก็จบ ส่วนข้อมูล textual ก็จดลงสมุด กระดาษ หรือจะจดด้วยแอพ S Note ก็คล่องตัวดี

ปัญหาที่สำคัญอยู่ที่ตอนนำไปใช้ เพราะ process การทำงานของเราคือ ดูของชิ้นแรก ถ่ายภาพ จดข้อมูล จากนั้นก็ดูของชิ้นต่อไป ถ่ายภาพ จดข้อมูล วนไปเรื่อยๆ แต่เรามักนำข้อมูลส่วนของ visual กับ textual มาประกอบร่างกันเมื่อกลับบ้านแล้ว ซึ่งเรามักลืมหมดแล้วว่าข้อมูลที่จดมาอันนี้เป็นของรูปไหน (เพราะไปดูเฟอร์นิเจอร์ทีมักไปห้างใหญ่ๆ ที่มีของเยอะๆ) หรือบางทีก็จดข้อมูลมา ลืมถ่ายรูป เป็นต้น

ผมเจอปัญหานี้อยู่ประมาณสองวัน และจู่ๆ ก็เกิดประกายวาบขึ้นในหัวว่า เอ๊ะ เราก็ดูโฆษณาซัมซุงมาตั้งเยอะ เขียนข่าวซัมซุงมาก็มาก มันทำได้ในตัวหมดนี่นา

จากนั้นก็แค่เปลี่ยนวิธีการบันทึกมาเป็น ถ่ายรูปสินค้าที่ต้องการ แล้วจดข้อมูลทับลงไปเลยด้วยปากกา S Pen นั่นเองครับ (คือเปลี่ยนกระบวนการ merge ข้อมูล visual/textual จากหลังดู มาเป็นขณะดูเลย)

S Note KitchenS Note Kitchen

เนื่องจากมันเป็นมือถือซัมซุงที่ขึ้นชื่อในเรื่องความ "เยอะ"ท่าในการจดข้อมูลลงภาพจึงมีได้ 3 แบบคือ

  • Photo Note ในแอพ Galleryจดด้านหลังของภาพเลย ข้อดีคือสะดวก ข้อเสียคือเลือกสีปากกาไม่ได้, จดทับลงรูปไม่ได้ มีปัญหาเวลาลากเส้นลูกศร/มิติ, แอพ Gallery ของซัมซุงมันห่วย กว่าจะเปิดขึ้นใช้เวลาไปสองทศวรรษ (ผมใช้ QuickPic)
  • Photo Signature ในแอพ Galleryจดทับลงบนภาพ ข้อดีคือสะดวก วาดทับบนรูปได้ ข้อเสียก็คือเลือกสีปากกาไม่ได้ และแอพ Gallery มันห่วย
  • จดด้วยแอพ S Noteข้อดีคือเลือกสีสันปากกาได้มากมาย เก็บโน้ตเป็นสมุดได้ รวบรวมง่าย ข้อเสียคือต้องจิ้มหลายทีกว่าจะจดสำเร็จ

ผมเลือกวิธีที่สามคือจดลง S Note ด้วยเหตุผลเรื่องการรวบรวมข้อมูลให้เป็นหลักเป็นแหล่ง และ export ต่อไปใช้ได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดก็ไม่ใช่ราบรื่นซะทีเดียวเพราะ S Note ต้องคลิกหลายครั้งมากกว่าจะใส่รูปลงไปได้รูปนึง

  • จิ้มเพื่อเปิด S Note (ผมทำ widget สมุดโน้ตไว้บนหน้าจอ จิ้มทีเดียวเปิดมายังสมุดเล่มที่ต้องการได้เลย)
  • จิ้มปุ่มปากกาเพื่อ Edit โน้ต (เป็นขั้นตอนที่ไร้สาระมาก ซัมซุงควรเลิกได้แล้ว ไม่มีใครเปิดโน้ตขึ้นมาเพื่อดูเฉยๆ ทุกคนต้องการแก้ไขทั้งนั้น ชักปากกาออกมาแล้วควรจะวาดได้เลย)
  • จิ้มปุ่ม Insert ที่มุมซ้ายล่าง
  • จิ้มเลือก Image
  • จิ้มเลือกว่าจะเอาภาพที่ถ่ายแล้ว หรือเปิดกล้องขึ้นมาถ่ายใหม่
  • ในกรณีที่เลือกเปิดกล้อง ต้องจิ้มยืนยันว่าเอารูปนี้แหละ ดีแล้ว อีกขั้นตอนหนึ่ง
  • พอภาพโผล่ขึ้นมาบนจอ ก็เล็กจิ๋ว ต้องจิ้มเพื่อลากรูปให้พอดีกับหน้าจออีกทีหนึ่ง
  • เสร็จกระบวนการแล้วค่อยได้ฤกษ์เขียนโน้ต

จะเห็นว่าใช้ประมาณ 6-7 จิ้มกว่าจะแทรกรูปและเขียนโน้ตได้ครับ ลำบากกว่าที่ควรจะเป็นไปสักหน่อยนะซัมซุง

S Note KitchenS Note Kitchen

สรุปคือพล่ามมาตั้งยาวเพื่อจะบอกว่า Galaxy Note มันเจ๋งเปล่งประกายจริงๆ เมื่อเราต้องการจดโน้ตที่เป็น textual + visual พร้อมกันครับ และยังนึกไม่ออกว่ามีโซลูชั่นในท้องตลาดที่สะดวก+รวดเร็วกว่านี้หรือเปล่า (คนที่ทำงานออกฟิลด์หรือออกแบบ เช่น ก่อสร้าง สถาปนิก อะไรพวกนี้เค้าคงค้นพบกันตั้งนานแล้วล่ะ) ที่เหลือก็คงต้องฝากไปยังซัมซุงให้ปรับปรุงกระบวนการจดโน้ตให้มันกระชับกว่าเดิมเท่านั้นล่ะครับ


Joachim Loew and Magical 18 Rectangles

$
0
0

ชื่อบล็อกภาษาไทย "โจอาคิม เลฟ และสี่เหลี่ยมมหัศจรรย์ทั้งสิบแปด" (โปรดอ่านด้วยอารมณ์เดียวกับชื่อหนังสือแฮร์รี พ็อตเตอร์)

โดยส่วนตัวค่อนข้างประทับใจฝีมือของ โจอาคิม เลิฟ กุนซือทีมชาติเยอรมนีมานานแล้ว พอเยอรมนีประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลก 2014 เลยนึกถึงบทความเกี่ยวกับแทคติกของเลิฟที่เคยอ่านมานานมากแล้วและประทับใจกับมันมาก แต่กลับไม่เห็นใครพูดถึงเลยในฟุตบอลโลกครั้งนี้ (ไม่รู้ว่าพี่แกเลิกใช้แทคติกนี้ไปแล้วหรือเปล่า)

เมื่อวานมีเวลาว่างอยู่บ้างเลยค้นหากันจนเจอ How Germany will win the World Cupบทสัมภาษณ์เลิฟจากหนังสือพิมพ์ Bild ของเยอรมนีเมื่อปี 2010 เลยมาสรุปลงบล็อกสักหน่อยครับ

เลิฟให้สัมภาษณ์เรื่อง "แท็คติก"ของเขาในฟุตบอลโลก (ตอนนั้นคือปี 2010 ที่แอฟริกาใต้) ว่าต้องการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกด้วย "เกมบุกที่ทำให้ทีมอื่นต้องลำบาก" (playing attacking football and making life difficult for other teams"

เขาบอกว่าแทคติกของอิตาลีที่คว้าแชมป์โลก 2006 ที่ "เน้นเกมรับและเอาชนะด้วยการยิงลูกเดียว"ไม่สามารถทำได้แล้วในปัจจุบัน

ในทางปฏิบัติ เลิฟแบ่งสนามออกเป็นสี่เหลี่ยมขนาดเท่ากัน 18 ชิ้น (ในบทสัมภาษณ์ไม่ได้บอกชัด ผมเข้าใจเอาเองว่า แบ่งสนามอย่างละครึ่งแล้วใส่สี่เหลี่ยม 3x3 ลงไป) แล้วกำหนดให้ผู้เล่นแต่ละคนรู้ว่าพื้นที่ของตัวเองอยู่ในสี่เหลี่ยมไหน ดังนั้นจะไม่มีผู้เล่นคนในวิ่งไปทั่วสนาม เพราะต้องดูแลพื้นที่สี่เหลี่ยมของตัวเองเสมอ

ตัวอย่าง

  • ผู้เล่นปีกอย่าง Lukas Podolski กับ Thomas Muller จะอยู่เฉพาะสี่เหลี่ยมที่ขอบแต่ละด้านเท่านั้น
  • ผู้เล่นตัวรุก Meszt Ozil มีพื้นที่ระหว่างสี่เหลี่ยมที่ถัดจากเส้นครึ่งสนาม ไปจนถึงกรอบเขตโทษของฝ่ายตรงข้าม
  • ผู้เล่นตัวรับ Bastian Schweinsteiger จะกลับกัน คือดูแลสี่เหลี่ยมหน้ากรอบเขตโทษตัวเองไปจนถึงเส้นครึ่งสนาม ซึ่งจะเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดคือสนับสนุนผู้เล่นตัวรุกและดูแลการตั้งรับ (หมายเหตุ: เกมนัดชิงปี 2014 ชไวนี่เด่นมากในเกมรับ น่าจะมาจากเหตุผลนี้)

แนวคิดของเลิฟบังคับใช้ตลอดเวลา แม้ว่าผู้เล่นจะไม่มีบอลก็ต้องเคลื่อนตัวไปตามพื้นที่ของตัวเองเพื่อเรียกบอลจากเพื่อนร่วมทีม

กฎเรื่องสี่เหลี่ยมถือเป็นกฎเหล็กของเลิฟ (our golden rule from day one) เยอรมนียึดทฤษฎีนี้และฝึกซ้อมอย่างเคร่งครัด อัดวิดีโอและนำเส้นทางวิ่ง (running path) ของนักเตะไปวิเคราะห์หลังเกมในภายหลัง

เลิฟสั่งลูกทีมทั้งหลายไว้ว่า "ถ้าไม่เคลื่อนไหวตามนี้ แค่แคนาดาก็เอาชนะไม่ได้หรอก!"

เพิ่มเติม:

หมายเหตุ:ภาพประกอบจาก Wikipedia

รวมบทความ Google I/O 2014

$
0
0

Google I/O 2014 รอบนี้ไม่มีอะไรใหม่พลิกโลกใน keynote แต่มีของใหม่ในเชิงเทคนิคที่น่าสนใจมากมาย พวกนี้ต้องดูรายละเอียดในวิดีโอของแต่ละเซสชัน (ซึ่งกูเกิลก็ทำได้ดีมากคือทุกอย่างมีบน YouTube หมด)

ช่วงรอบเดือนที่ผ่านมาเลยมีโอกาสไล่เขียนสรุปประเด็นเชิงเทคนิคในงาน Google I/O ที่ผมคิดว่าน่าสนใจและสร้างผลกระทบกับคนเยอะ (ตั้งชื่อเป็นซีรีส์ด้วยคำว่า "รู้จัก") เขียนจบซีรีส์แล้วก็มารวบรวมไว้เป็นหลักเป็นแหล่งสักหน่อยครับ

ส่วนข่าวทั้งหมดของ Google I/Oก็อ่านกันได้ตามลิงก์ครับ

Firefox Extension: Tabs From Other Devices Button

$
0
0

Firefox มีความสามารถซิงก์แท็บมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว (แต่ดูไม่ค่อยเน้นสักเท่าไรนะ)

แถม Firefox 29 ที่เปลี่ยนธีมใหม่เป็น Australisก็นำหน้าแสดงรายการแท็บจากอุปกรณ์อื่น (Tabs From Other Devices) เข้าไปซ่อนซะลึก ต้องกดถึง 3 คลิกคือ กดปุ่มเมนู >ปุ่ม History >เมนู Tab From Other Devices ถึงจะเจอหน้ารายการแท็บ แถมไม่มีปุ่มลัดใดๆ ให้ด้วย (อ่านในฟอรั่มแนะนำให้กด Alt+S+T Enter ก็พบว่ายังยากเกินไป)

ช่วงหลังเปลี่ยนมาใช้ Firefox for Android เป็นเบราว์เซอร์หลักแทน Chrome for Android ทำให้มีความจำเป็นต้องเข้าถึงแท็บที่เปิดบนมือถืออยู่บ่อยๆ เลยพยายามหาวิธีการที่ช่วยให้เข้าถึงหน้า Tab From Other Devices ได้เร็วขึ้น

จากการค้นข้อมูล พบว่ามีคนเสนอเรื่องนี้ใน Bugzillaและมีแพตช์แล้วตั้งแต่ปลายปี 2013 แต่ไม่ได้รับความสนใจอีกเลย (Mozilla-style) ครั้นจะหาช่องทางใช้งานผ่าน Extension ลองหาดูแล้วก็ไม่เจออะไรที่ใกล้เคียง

ถ้าชีวิตมันยากนัก #อยากได้ก็ต้องทำเอง ครับ

เนื้องานไม่มีอะไรยากเลย เพราะ Firefox มีหน้าแสดงรายการแท็บที่มี URL ของตัวเอง (about:sync-tabs) มาให้เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เราต้องการคือเพิ่ม "ปุ่ม"เข้ามาอีกปุ่มหนึ่งบนทูลบาร์เพื่อเข้ามายังหน้านี้เท่านั้นเอง

เมื่อนานมาแล้ว ตั้งกะสมัยยังไม่มี Firefox ผมเคยทำธีมสำหรับ Mozillaทำให้คุ้นเคยกับการแกะ GUI ของ Firefox ที่เป็น XUL-based พอสมควร

แต่พอมาค้นข้อมูล อัพเดตความรู้ใหม่ พบว่าวงการ Firefox เปลี่ยนไปเยอะมาก การสร้างส่วนเสริมแบบใหม่ (ที่เรียกว่า lightweight/restartless/bootstrapped extension) ไม่จำเป็นต้องยุ่งกับ XUL โดยตรงอีกต่อไป แถม Mozilla ก็พัฒนา Add-on SDKมาช่วยให้การสร้างส่วนเสริมง่ายขึ้นกว่าเดิมมากๆ (เทียบกับสมัยต้องแกะแพ็กเกจ XUL เองนะครับ)

ขั้นตอนก็ง่ายๆ ครับ

  • ติดตั้ง Add-on SDKโดยต้องมี Python 2.7 อยู่ในเครื่องด้วย
  • เสร็จแล้วให้เรียกคำสั่ง bin/activate ในไดเรคทอรีของ SDK พร็อมต์ของเราจะกลายเป็นพร็อมต์ของ SDK แทน
  • คำสั่งที่ควรสนใจมีแค่คำสั่งเดียวคือ cfxให้สร้างโฟลเดอร์เปล่าๆ ขึ้นมาสำหรับเก็บไฟล์ส่วนเสริม
  • สั่ง cfx init ระบบจะสร้างไฟล์เทมเพลตขึ้นมาให้ (เรามีหน้าที่แก้ไฟล์ส่วนนี้เพื่อทำเป็น extension)
  • ยังไม่ต้องทำอะไร สั่ง cfx run ระบบจะเรียก Firefox ที่ใช้ profile ชั่วคราวซ้อนขึ้นมาอีกตัว (รันคู่กับ Firefox ปกติ) โดยมันจะติดตั้ง extension ตัวที่เราเพิ่งสร้าง (ซึ่งไม่ทำงานอะไรเลย แต่มีตัวตนอยู่ในรายการ Extensions) ให้เสร็จสรรพ
  • ต่อจากนั้นเราก็อ่านเอกสาร แก้ไข ปรับปรุง extension ตามต้องการ แล้วกด cfx run เพื่อรันทดสอบไปเรื่อยๆ ครับ ง่ายสุดๆ
  • เสร็จเรียบร้อยจนพอใจแล้ว สั่ง cfx xpi จะได้ผลลัพธ์เป็นไฟล์แพ็กเกจ .xpi มาหนึ่งไฟล์ นำไปลองติดตั้งบน Firefox ตัวปกติว่าเวิร์คแค่ไหนยังไง
  • ก่อนส่งขึ้น Mozilla Add-ons ก็ปรับแก้ข้อมูลในไฟล์ package.jsonสักหน่อยให้อ่านรู้เรื่อง
  • ส่งขึ้น Mozilla Add-ons สมัครสมาชิกแล้วทำตามขั้นตอนในหน้าเว็บได้เลย

ผลลัพธ์สุดท้าย ออกมาเป็น extension ง่ายๆ หนึ่งตัวครับ (ผมใช้เวลาหา+ทำรูปไอคอนมากกว่าโค้ดซะอีก) ใครใช้ Firefox แล้วอยากได้ฟีเจอร์แบบเดียวกันก็เข้าไปที่ Tabs From Other Devices Button

เขียนถึง แบไต๋ไฮเทค

$
0
0

ทราบข่าวรายการแบไต๋ไฮเทคจะปิดตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตอนนั้นอยู่ต่างประเทศพอดีเลยไม่มีเวลาอ่านข้อมูลละเอียดมากนัก ในโอกาสที่รายการฉายตอนสุดท้ายไปแล้วเมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) ก็ขอเขียนถึงเป็นที่ระลึกหน่อยครับ

ความสัมพันธ์ของผมกับทีมงานแบไต๋คงต้องใช้คำว่า "เพื่อน"จะตรงที่สุด ผมค่อนข้างสนิทกับ อ.ศุภเดช (@ripmilla) มากที่สุด แต่ช่วงหลังก็มีโอกาสได้คุยกับ พี่หลาม จิ๊กโก๋ไอที (@sharkshow) รวมถึงได้ไปทริปไต้หวันด้วยกัน เลยสนิทกันมากขึ้น

ส่วนเจ้าของรายการ คุณหนุ่ย พงษ์สุข (@nuishow) ไม่สนิทมากเท่าสองคนแรก แต่เจอกันตามงานทีไร คุณหนุ่ยก็เป็นฝ่ายเข้ามาทักทายผมอยู่เสมอ จริงๆ แล้วผมรู้จักคุณหนุ่ยอยู่ข้างเดียว (ยังกะแอบรักเขาข้างเดียว) มานานตั้งแต่สมัยผมอยู่ SIPA และคุณหนุ่ยทำเกม "ต้มยำกุ้ง" (ช่วงปี 2005-2006) ถ้ามีคนจำกรณี "เกมต้มยำกุ้งถูกขโมย"ผมก็ยืนอยู่ในเหตุการณ์บริเวณนั้นด้วย (ถ้าจำไม่ผิดคือที่อิมแพค)

คนไอทีหลายคนอาจหมั่นไส้คุณหนุ่ย อาจเป็นเหตุผลด้านบุคลิกหรือท่าทาง แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าคุณหนุ่ยเป็น"คนจริง"คนหนึ่งของวงการครับ

ผมไม่เคยทำธุรกิจหรือโครงการใดๆ ร่วมกับคุณหนุ่ย แต่เท่าที่ได้สัมผัสมาจากสมัยที่คุณหนุ่ยปลุกปั้นการทำเกม หรืองาน Thailang Game Show รวมถึงอ่านประวัติของคุณหนุ่ยจากหนังสือของเขา (ไปยืนอ่านที่ร้านนะ) คุณหนุ่ยมีจิตวิญญาณของ "ผู้ประกอบการ"เต็มร้อย สร้างตัวเองขึ้นมาจากศูนย์ (ศูนย์จริงๆ นะครับ ไม่มีอะไรเลย เริ่มจากไปแข่งเกมโชว์ต่างๆ เพื่อให้มีเงิน) ผ่านอุปสรรคต่างๆ มามากมาย โดยเฉพาะอุปสรรคที่สำคัญที่สุดสองประการของคนเป็นเถ้าแก่คือ 1. ไม่มีเงิน 2. ลูกน้องมีปัญหา

การเป็นเจ้าของกิจการเองนี่ไม่ง่ายเลยนะครับ ต้องมาผ่านประสบการณ์เหล่านี้เองจึงจะรู้ซึ้ง ทุกคนอยากทำงานให้ "ท่าสวย"ประสบความสำเร็จแบบเท่ๆ แต่ในความเป็นจริง การจะผลักดันให้งานบางอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ เราต้องลงไปคลุกกับมัน หรือตามสำนวนภาษาอังกฤษคือ get your hands dirty ล้มลุกคลุกโคลนเพื่อให้องค์กรเดินหน้าต่อไปได้

ในคลิปข้างต้น คุณหนุ่ยบอกว่าวงการทีวีดิจิทัลไม่สวยหรูอย่างที่คิด ผมคิดว่านี่เป็นประเด็นสำคัญอีกข้อที่น่าสนใจมาก ในฐานะคนทำสื่อไอทีด้วยกัน (แม้จะคนละฟอร์แมต) แนวโน้มของธุรกิจสื่อเป็นสิ่งที่สับสนและมองไม่เห็นหนทาง แน่นอนว่าคนดูทีวีแบบดั้งเดิมน้อยลง (แต่ดู "วิดีโอบนเว็บ"มากขึ้น) การปรับตัวให้อยู่รอดทั้งในเชิงผู้ชมและธุรกิจเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก

ไม่มีใครรู้คำตอบว่าธุรกิจทีวีต้องปรับตัวอย่างไร (ธุรกิจทีวีเป็นสิ่งที่ผมดูจากข้างนอกแล้วคิดว่า "มิบังอาจ"ไปยุ่งกับมัน) สุดท้ายก็คงทำได้แต่ให้กำลังใจทีมงานรายการแบไต๋ และรายการอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคของวงการทีวีไทยในยุค "แผ่นดินเดือด"ไปได้ครับ

Lessons From Apple

$
0
0

วันก่อนแวะร้านหนังสือเจอ Wired UK เล่มใหม่ หน้าปก Tony Fadell ก็เลยกัดฟันซื้อมา (395 บาท แพงน้ำตาไหล เขาแปลง 4 ปอนด์มาเป็นเงินบาทกันอย่างไร) เพราะอยากเข้าใจ Nest Labs และวงการ Smart Home ให้มากขึ้น

ปรากฏว่าพลาดครับ Fadell ให้สัมภาษณ์ว่า "Where is the home going to be a decade from now? I have no idea"

แต่ 395 บาทไม่เสียเปล่า เพราะได้ "วรรคทอง"ในเรื่อง user experience มา จากการที่ Fadell ตอบคำถามว่า What were your main lessons from Apple? จากการทำงานที่แอปเปิล คุณได้บทเรียนอะไรบ้าง

ยกคำตอบมาเลยนะครับ

For me it's really about defining an experience and making sure you understand all the touchpoints of that experience. That was the big takeaway. The experience wasn't just about turning on the product, but how you first learned about the product, where you first saw the product and touched the product, the community around it, how you engaged with it - it took the blinkers off. It's not about looking at what is in front of you, but at all the touchpoints people don't normally look to when designing a product. You're crafting the storyline all the way through, to this ascending emotional engagement. You want positive emotional acceleration through every single touchpoint. Through that you gain the momentum to talk to the consumer; hopefully they'll talk to their friends about it.

คีย์เวิร์ดคงเป็นคำว่า touchpoint, first learn, storyline, emotional engagement ครับ น่าจะสรุปเรื่องการขาย experience ของแอปเปิลได้ดี

Fadell ยังยกตัวอย่างแบรนด์ที่เขาคิดว่าทำงานลักษณะนี้ได้ดีอีก 2 แบรนด์คือ Nespresso และ Dyson

This Land is Mine

$
0
0

สำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์การแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อาจดูวิดีโอแอนิเมชันสั้นๆ อันนี้

แน่นอนว่าเราคงรู้จักตัวละครไม่ครบทุกตัวในการ์ตูน อ่านคำอธิบายว่าใครเป็นใครได้จากบล็อกของผู้สร้าง

เชิงอรรถยุทธภพ

$
0
0

ช่วงหลังๆ มาเรียนรู้ประวัติศาสตร์จีนจากการอ่านนิยายกำลังภายในหรือนิยายอิงประวัติศาสตร์ จุดเด่นของวิธีการเรียนแบบนี้คือเราใช้นิยายเป็น "จุดตั้งต้น"เพื่อเรียกความสนใจของตัวเราเองต่อเหตุการณ์จุดนั้นในประวัติศาสตร์จริง พอความสนใจเริ่มมาแล้ว การไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติม (ส่วนใหญ่ก็จาก Wikipedia) ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก

เพียงแต่นิยายจีนที่ตีพิมพ์ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ก็นิยมนำประวัติศาสตร์เฉพาะบางช่วงบางตอนของจีนมาดัดแปลง (มันป๊อปเป็นช่วงๆ) ตัวอย่างเช่น ถ้าอ่านสายของหวงอี้ (มังกรคู่-เหยี่ยวมาร) ผนวกกับไตรภาคสุยถังของจิ่วถู (ยุทธการ-ขุนโจร-เทพบุตร) ก็จะได้ความรู้ประวัติศาสตร์จีนช่วงปลายราชวงศ์สุย ไล่มาจนถึงช่วงกลางของราชวงศ์ถัง (กบฎอันลู่ซาน) เกือบครบ หรือถ้าอ่านชุดมังกรหยกคู่กับเทพมารสะท้านภพ ก็จะเข้าใจประวัติศาสตร์ช่วงปลายซ้อง-หยวน-ก่อตั้งหมิง

ประวัติศาสตร์จีนช่วงที่ผมรู้สึกว่าถูกดัดแปลงเป็นนิยายน้อยหน่อย (หรืออาจเป็นเพราะผมอ่านไม่ตรงจุดเอง) คือราชวงศ์ชิงหรือแมนจู ราชวงศ์สุดท้ายของจักรวรรดิจีน โชคดีมากที่มีคุณต่อพงษ์ เศวตามร์ ของเครือผู้จัดการ เขียนสรุปประวัติศาสตร์จีนช่วงนี้ (แบบที่ผมอยากได้เป๊ะๆ) ลงในเว็บไซต์ Manager เป็นตอนๆ และรวมเล่มขายเรียบร้อยในชื่อ เชิงอรรถยุทธภพ

เชิงอรรถยุทธภพเขียนเล่าประวัติศาสตร์แยกเป็นช่วงๆ (เพราะเขียนในรูปคอลัมน์) โดยจะหยิบเหตุการณ์ในนิยายหรือซีรีส์กำลังภายในมาอธิบายว่าประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นเป็นอย่างไร หรือถ้าเป็นจุดที่ประวัติศาสตร์ค่อนข้างคลุมเครือ ผู้เขียนก็จะวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แล้วมัน "น่าจะ"เป็นอย่างไร (โดยมีหลักฐานที่ค่อนข้างเป็นวิชาการสนับสนุน) นับว่าทำได้ดีมากๆ

เข้าใจคุณต่อพงษ์เคยเขียน "เชิงอรรถมังกรหยก"ที่จับความในยุคราชวงศ์ซ้อง-หยวน-หมิง มาก่อนแล้ว เล่มนี้เลยเน้นไปที่ราชวงศ์ชิง ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงจีนยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้และกังฟูฮ่องกง

ความรู้เรื่องราชวงศ์ชิงตอนต้นของผมจำกัดแค่ "อุ้ยเสี่ยวป้อ"เท่านั้น (ซึ่งผมมองกลับกับหลายๆ คน โดยรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสนุกเท่าไรนักของกิมย้ง) การอ่านหนังสือเล่มนี้จึงช่วยเปิดหูเปิดตาเรื่องราชวงศ์ชิงตอนต้นมากๆ

การผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ของแมนจูเหนือจีนฮั่น เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากเพราะคนแมนจูมีน้อยกว่าคนฮั่นมากๆ แต่กลับสามารถปกครองจีนฮั่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ (และ "เอาอยู่"ด้วยหลายเหตุปัจจัย) เหตุผลหนึ่งคงมาจากราชวงศ์หมิงตอนปลายมีปัญหามากมาย และราชวงศ์ชิง "โชคดี"มากๆ ที่มีฮ่องเต้เก่งๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงแรก (ดูข้อมูลในวิกิพีเดียประกอบ)

  1. นูเอ่อฮาซื่อ - ฮ่องเต้องค์แรกของชิง ผู้รวมเผ่าแมนจูเป็นปึกแผ่น ไม่ได้ปกครองจีนเพราะตายก่อน แต่ลูกหลานอวยยศเป็นปฐมกษัตริย์ให้ทีหลัง (อารมณ์เดียวกับเจงกิสข่าน)
  2. หวงไท่จี๋หรือ ฉงเต๋อ - ผู้ขยายแสนยานุภาพของแมนจู (และเปลี่ยนชื่อเผ่าจากนีเจิน เป็นแมนจู) เกือบปราบหมิงสำเร็จแล้ว แต่ตายก่อนที่หน้าด่าน
  3. ซุ่นจื่อ - เป็นจักรพรรดิองค์แรกของชิง ในยุคที่ยึดปักกิ่งได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เขาเป็นจักรพรรดิหุ่นที่เหล่าแม่ทัพเชิดขึ้นมาเป็นผู้ปกครองตั้งแต่อายุ 6 ขวบ (เพราะพ่อตายก่อน) ถ้าใครอ่านอุ้ยเสี่ยวป้อ เขาคืออดีตจักรพรรดิ พ่อของคังซี ที่สละบัลลังก์แล้วหนีไปบวชนั่นเองครับ (เรื่องจริงในประวัติศาสตร์ชไม่มีหลักฐานชัดเจน)
  4. คังซี - จักรพรรดิคู่บุญของอุ้ยเสี่ยวป้อ เป็นจักรพรรดิตั้งแต่ยังเด็ก แต่ดันเก่งแบบมหัศจรรย์ ปราบแม่ทัพนายกองแล้วรวบอำนาจกลับมาได้ (ในอุ้ยเสี่ยวป้อจะแจกบทให้อุ้ยเสี่ยวป้อเป็นผู้ช่วยของคังซีในการรวบอำนาจแทน) ครองราชย์นานถึง 61 ปี ยุคทองของชิงเริ่มที่รัชสมัยนี้
  5. ยงเจิ้ง - ช่วงปลายยุคของคังซีมีความวุ่นวายเรื่องการชิงอำนาจของพระโอรส (แยกเป็นสายของอ๋องสี่ กับอ๋องสิบสี่ ใครที่คุ้นๆ ชื่อพวกนี้ ก็มาจากสมัยนี้) สุดท้ายอ๋องสี่ขึ้นครองราชย์ได้เป็นจักรพรรดิยงเจิ้ง ถึงแม้ภาพลักษณ์ของยงเจิ้งไม่ค่อยดี (ฆ่าน้อง) แต่คุณต่อพงษ์ก็วิเคราะห์ว่ายงเจิ้งเก็บหอมรอมริบ สร้างฐานะท้องพระคลังให้เข้มแข็ง เป็นฐานสำคัญสำหรับยุคถัดไป ช่วงของยงเจิงเป็นยุคสั้นๆ ประมาณ 13 ปี
  6. เฉียนหลงราชวงศ์ชิงโชคดีมากที่ เฉียนหลง หลานของคังซีกลับเป็นจักรพรรดิที่โดดเด่นในระดับเดียวกัน (ชิงเลยมียุคทองสองรอบ) เฉียนหลงได้เป็นจักรพรรดิตอนหนุ่ม เจ้าสำราญ ชอบปลอมตัวไปเที่ยว แต่ก็บริหารงานได้เป็นเยี่ยม มีโครงการรวบรวมตำราวิชาการครั้งใหญ่

เฉียนหลงฮ่องเต้ครองราชย์นาน 60 ปีแล้วสละบัลลังก์ให้พระโอรสเป็นต่อ แต่ช่วงปลายของเฉียนหลงก็มีปัญหาข้าราชบริพารเก่าก่อนเริ่มครองอำนาจและคอร์รัปชั่น จนเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้ราชวงศ์ชิงเริ่มเสื่อมลงหลังยุคของเฉียนหลงเป็นต้นมา

สรุปว่าใครสนใจประวัติศาสตร์จีนช่วงราชวงศ์ชิงแบบเข้าใจง่าย เล่มนี้แนะนำครับ (บทความน่าจะมีให้อ่านบนเว็บทั้งหมด แต่อ่านเป็นเล่มก็ง่ายดี)


All You Need is Kill

$
0
0

ในบรรดานักวาดการ์ตูนที่โดดเด่นในแง่ลายเส้นย่อมต้องมีชื่อของอาจารย์ Takeshi Obata แห่ง Hikaru no Go, Deathnote, Bakuman อยู่เป็นแน่แท้ (ผมเคยอ่านงานของแกมาตั้งแต่สมัยอาราเบียนแลมป์ แต่แกมาดังกับฮิคารุจริงๆ)

หลังจากจบเรื่อง Bakuman (ที่ช่วงกลางเรื่องสนุกมาก แต่ตอนหลังๆ เนือยไปหน่อย) อาจารย์แกก็หายไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินว่าแกไปเขียนเรื่องใหม่ชื่อ All You Need Is Killก็ไม่ได้สนใจมากนัก คือรอมันออกรวมเล่มในไทยแล้วค่อยว่ากัน

ภายหลังมาพบว่าต้นฉบับของ All You Need Is Kill เป็นนิยาย และถูกนำไปดัดแปลงเป็นหนังฮอลลีวู้ด Edge of Tomorrow ด้วย (ได้ทอม ครูซ มาเป็นพระเอกเลยนะ) ช่วงที่หนังเข้าฉายในไทย การ์ตูนก็ออกมาในจังหวะไล่เลี่ยกัน (2 เล่มจบ ฉบับภาษาไทยออกครบแล้ว)

อ่านเล่มแรกจบบอกเลยว่า สนุกมากกกกกก เรื่องแนวไซไฟซ่อนเงื่อนแบบนี้ ถูกจริตผมนักแล พออ่านเล่มแรกจบแล้วก็เฝ้ารอว่าเมื่อไรเล่มสองจะออกสักที

เมื่อเล่มสองวางขาย อ่านแล้วพบว่าดี แต่ไม่ดีเท่าเล่มแรก ถ้าให้วิจารณ์คงบอกว่าเหตุการณ์ในเล่มสองค่อนข้างรวบรัดไปหน่อย และบิ้วอารมณ์ยังไม่พอที่จะไปขมวดตอนท้ายตามชื่อเรื่อง All You Need Is Kill

ถ้าสามารถทำได้ ผมคิดว่าเวอร์ชันคอมิกน่าจะขยายเป็น 3 เล่ม โดยขยายส่วนเนื้อหาของริต้า มาเป็นเล่มสองทั้งเล่ม เอาแบบเต็มๆ ให้ผูกพันกับตัวละคร และเล่มสามเป็นการเดินเรื่องของตัวเอกคู่ เคย์จิ-ริต้า ในการแก้ปริศนาของเรื่อง

สรุปว่างานวาดของ อ. Obata ยังเยี่ยมยอดเหมือนเคย เนื้อเรื่องเดิมสนุกเป็นทุนอยู่แล้ว ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

Keyword: 

ร้านอาหารริมน้ำบางพึ่ง ชมวิวสองสะพาน-แม่น้ำเจ้าพระยา

$
0
0

ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เห็นวิวสองสะพานพร้อมกันคือ สะพานพระรามเก้า และสะพานภูมิพล 1 ครับ

บางพึ่ง

ร้านนี้การเดินทางจะยากลำบากนิดนึง Google Mapsอยู่ในซอยพระราชวีริยาภรณ์ 16 (ซอยวัดบางพึ่ง) ขับรถเข้าไปจนสุดเกือบติดแม่น้ำ จะเห็นป้ายร้านอยู่ด้านขวามือ

บางพึ่ง

ปากซอยมีที่จอดรถนิดหน่อย 4-5 คัน ถ้าไม่พอจอดได้แถวหน้าวัด จากนั้นจะต้องเดินเข้า "ตรอก"ไปอีกหน่อย ตรอกนี้จะมืดๆ หน่อย เป็นบ้านของชาวบ้านริมน้ำแบบดั้งเดิม (ไม่มีอะไรอันตรายเพราะมีแต่คนแถวนั้นล้วนๆ) หักมุมเล็กน้อย แล้วจะเห็น "ร้านอาหารขนาดใหญ่"ซ่อนตัวอยู่ที่สุดซอย หาไม่เจอโทร 02-8167220

บางพึ่ง

วิวครับ เผอิญนั่งติดฝั่งที่เห็นสะพานพระราม 9 เลยมีแต่มุมนี้นะ บรรยากาศในร้านจะบ้านๆ นิดนึง แต่เด็กเสิร์ฟบริการดีมาก กระฉับกระเฉงดีเยี่ยม

บางพึ่ง

ร้านนี้จะเน้นอาหารทะเลเป็นหลัก แต่ก็มีอาหารทั่วไปด้วยนิดหน่อย เริ่มจากทอดมันปลากรายครับ ชิ้นใหญ่มาก เหนียวเด้งมาก ทอดขึ้นมาร้อนๆ อร่อยมาก ให้คะแนนเต็ม

บางพึ่ง

ปลาเก๋าสามรส ตัวใหญ่ไจแอนท์มาก (ดูขนาดเทียบกับช้อนประกอบ) ทอดกรอบมาก แต่ซอสจะออกหวานไปนิดนึง (ผมไม่ค่อยถูกปากกับอาหารภาคกลางที่ทำอาหารคาวติดรสหวานเท่าไรนัก) คราวหน้าถ้ามากินจะลองทอดกระเทียมหรือทอดน้ำปลาแทน น่าจะดีกว่า

บางพึ่ง

ผัดไทไร้เส้น เป็นเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน ถึงขนาดใส่ไว้ในป้ายร้านด้วย กินแล้วก็พบว่ามันคือกุ้ง+ปลาหมึก เอามาผัดแห้งด้วยเครื่องผัดไทย ให้เครื่องเยอะมาก อย่างไรก็ตามรู้สึกว่าปรุงรสออกมาแนวหวาน-เปรี้ยว มากไปหน่อย ใครที่ชอบอาหารรสแบบนี้คงชอบแหละ

บางพึ่ง

ต้มยำปลาเก๋า มาเป็นหม้อไฟแบบไฟลุกซู่ออกทุกรูหม้อ รสชาติก็โอเคครับ ปลาเยอะ เห็ดเยอะ เครื่องต้มยำน้อย เอาไว้ซดน้ำคล่องคอ

บางพึ่ง

โดยรวมถือว่าร้านนี้ทำอาหารดีมาก (ยกเว้นติดหวานไปนิดนึง) ที่สำคัญคือราคาถูกมาก กินทั้งหมดข้างต้น รวมข้าวรวมน้ำแล้วหมดไป 890 บาท (ถูกจนตะลึง) ถ้ายอมลำบากดั้นด้นมายากสักนิด รับรองไม่ผิดหวัง

Keyword: 

เที่ยวป้อมพระจุล-เรือรบหลวงแม่กลอง

$
0
0

ใฝ่ฝันจะไปดู "ปากแม่น้ำเจ้าพระยา"มานานแต่ไม่มีโอกาสสักที พอเจอจังหวะหยุดยาวก็เลยขับรถไปดู "ป้อมพระจุลจอมเกล้า"ป้อมปราการที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาสักหน่อยครับ

ร.ล. แม่กลอง

การเดินทางให้ขับตามถนนสุขสวัสดิ์มาเรื่อยๆ พอถึงทางแยกไปพระสมุทรเจดีย์ ให้เลี้ยวขวา แล้วตรงมาจนสุดทาง จะเจอกับเขตฐานทัพเรือป้อมพระจุล เราต้องจอดรถซ้ายมือเพื่อลงไปแลกบัตรที่ป้อม จากนั้นก็ขับเข้าไปในฐานทัพ ขับตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็จะเจอพื้นที่ "ป้อมพระจุลจอมเกล้า"

โซนพื้นที่ตรงนี้ประกอบด้วย ตัวป้อมพระจุลจอมเกล้าฉบับดั้งเดิม+อนุสาวรีย์รัชกาลที่ห้า, เรือรบหลวงแม่กลองที่ปลดระวางแล้วนำมาแสดงอยู่ข้างๆ ป้อมพระจุล, ร้านสโมสรของป้อมพระจุล ขายอาหารทะเล (คนกินเยอะมากมายมหาศาล)

ป้อมพระจุลจอมเกล้า สร้างเมื่อ พ.ศ. 2427 โดยรัชกาลที่ 5 สร้างเอาไว้ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณ "แหลมฟ้าผ่า"เพื่อป้องกันศัตรูรุกรานจากปากแม่น้ำ ป้อมนี้เคยมีบทบาทในเหตุการณ์ ร.ศ.112 ที่ฝรั่งเศสเอาเรือปืนมาปิดปากแม่น้ำ และยิงรบกับฝรั่งเศสอยู่บ้าง (แต่ดันแพ้)

ร.ล. แม่กลอง

ส่วนเรือรบหลวงแม่กลอง หรือ ร.ล.แม่กลอง เป็นเรือรบที่กองทัพเรือใช้ระหว่าง พ.ศ. 2480-2539 หรือใช้เป็นเวลานานถึง 59 ปี! (นานที่สุดของกองทัพเรือ) เรือนี้ต่อในประเทศญี่ปุ่น (ฐานทัพเรือโยโกสุกะ ใครอ่าน Zipang น่าจะคุ้นชื่อ)

ปัจจุบันเรือรบหลวงแม่กลองกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนทั่วไปเข้าชม (ไม่เสียเงิน) ใครที่เป็น geek เรือรบย่อมไม่ควรพลาด เพราะถือเป็นโอกาสอันหายากที่จะได้ปีนป่ายเรือรบ สำรวจทุกซอกมุมได้แบบเต็มที่ไปจนถึงหัวเรือท้ายเรือครับ (แต่ไปตอนบ่าย เรือจะอาบพลังแสงอาทิตย์เต็มที่มาทั้งวัน ในท้องเรือจะร้อนอบมาก)

ร.ล. แม่กลอง

ใครอ่านวันพีซมาคงนึกถึง "ล็อคโพส"นี่เลยครับ ต้นแบบของจริง

ร.ล. แม่กลอง

เสากระโดงเรือ

ร.ล. แม่กลอง

ดาดฟ้าเรือ

ร.ล. แม่กลอง

ในท้องเรือยังเปิดให้เข้าชมแทบทุกห้องครับ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องบัญชาการ ห้องบรรยายยุทธการ ห้องครัว ห้องซักผ้า รวมถึงมีร้านขายของที่ระลึกบนเรือด้วย (อลังการมาก! เจอตอนแรกแล้วตกใจ)

บริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า-เรือรบหลวงแม่กลอง อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองกรุงเทพมาก เข้าฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ใครยังไม่เคยไปก็น่าแวะเวียนไปดูครับ เรือเปิดให้ขึ้นชมได้ถึง 2 ทุ่มแน่ะ ถ้าไปตอนเย็นๆ แล้วกินข้าวที่สโมสรด้วยเลยก็น่าจะเวิร์คเหมือนกัน (เผอิญไปตอนบ่าย ยังไม่ทันหิว เลยไม่ได้ลองกินครับ)

Keyword: 

พระสมุทรเจดีย์

$
0
0

ได้ยินชื่อ "พระสมุทรเจดีย์"มานาน วันก่อนไปเที่ยวป้อมพระจุลทางเดียวกันเลยถือโอกาสแวะไปดูสักครั้งครับ

พระสมุทรเจดีย์

พระสมุทรเจดีย์ไปง่ายครับ ตามถนนสุขสวัสดิ์ไปจนตกถนนก็จะเจอกับวัดพระสมุทรเจดีย์ ไม่ต้องเลี้ยวใดๆ ทั้งสิ้นครับ (แต่อย่า search ใน Google Maps ตรงๆ นะ พิกัดมันผิด ให้ใช้เป็นวัดพระสมุทรเจดีย์แทน)

ตามประวัติแล้ว พระสมุทรเจดีย์เริ่มสร้างโดยรัชกาลที่ 2 พร้อมกับเมืองสมุทรปราการ (แต่มาเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3 และสร้างต่อเดิมอีกหลายครั้ง)

เจดีย์นี้สร้างขึ้นที่เกาะกลางน้ำ (เลยชื่อ "สมุทร"เจดีย์) แต่ปัจจุบันพื้นที่ตรงนั้นไม่เป็นเกาะแล้วเพราะดินงอกมาจนกลายเป็นตลิ่งไปหมด (กลายเป็นเจดีย์ติดน้ำแทน)

พระสมุทรเจดีย์

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ตรงฐานเจดีย์ยังต่ำกว่าระดับน้ำอยู่ดี ไปตอนเย็นๆ น้ำกำลังขึ้นก็มีน้ำเอ่อล้นขึ้นมาตามท่อระบายน้ำแถวฐานเจดีย์ด้วย

พระสมุทรเจดีย์

นอกจากตัวองค์เจดีย์แล้วก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ รายล้อมเล็กน้อย พอดูได้เพลินๆ ครับ

พระสมุทรเจดีย์

ไปตอนเย็นๆ ก็ไม่ร้อนดี ลานแถวนั้นมีคนมาออกกำลังกายกันชิวๆ เยอะอยู่

พระสมุทรเจดีย์

พระสมุทรเจดีย์

จบแล้วจ้ะ

ชิมชาบูร้านดัง - มานีมีหม้อ

$
0
0

ช่วงนี้กระแสบล็อกเกอร์สายไลฟ์สไตล์กำลังมาแรงครับ ทำแต่สายไอทีมานานเลยอยากขยับขยายกับเขาบ้าง ยิ่งได้อ่านกระทู้พันทิพสุดฮ็อตแล้วยิ่งไฟลุก เอาล่ะมิตรสหาย เราออกไปกินชาบูกันเถิด

ว่าแล้วก็ออกไปกินชาบูร้านดังพันทิป "มานีมีหม้อ"กันดีกว่าครับ

มานีมีหม้อ

มานีมีหม้อ เป็นร้านชาบูชื่อดังที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย (ถ้านับปริมาณกระทู้นะ) สถานะในปัจจุบันเท่าที่ทราบคือแยกกิจการเป็นสองสาขา ส่วนอันไหนต้นฉบับ อันไหนเวอร์ชันที่แยกตัวออกมา อันนั้นไม่ทราบและคงไม่ใช่เรื่องต้องพิสูจน์ เพราะว่าเราเน้นความสะดวกในการเดินทางจากบ้านเป็นหลัก

ร้านสาขาที่ไปกินอยู่ที่ถนนลาดพร้าว-วังหิน อยู่ในคอมมิวนิตี้มอลล์ชื่อ "กรีนพลาซ่า"อยู่ติดกับโลตัสวังหินเลย ที่จอดรถมีอยู่ในพลาซ่านะครับ (แต่ผมไปแบบไม่รู้เรื่อง มาจากซอยเสือใหญ่ เจอที่จอดรถโลตัสก็จอดก่อนเลย ปรากฎว่ามันอยู่คนละส่วนกัน คนละห้าง แต่กำแพงติดกัน) ส่วนตำแหน่งในคอมมิวนิตี้มอลล์นั้นอยู่ชั้น 2 หาไม่ยากเพราะคอมมิวนิตี้มอลล์นี้เล็กและร้าง (ฮา) แทบไม่มีร้านอื่นเหลืออยู่แล้ว

วันที่ไปกินคืออาทิตย์เย็นช่วงหยุดยาว คนเยอะเต็มร้านแต่ไปแล้วโชคดีมีที่นั่งพอดี คนที่มาทีหลังต้องรอคิวบ้างตามสมควรครับ

ร้านตกแต่งแปลกดีคือพยายามเน้ความเป็น "ลูกทุ่ง"อยู่บ้าง เช่น ใช้ผ้าลายผ้าขาวม้า หรือแขวนหม้อไหกระทะต่างๆ ไว้บนเพดาน ร้านมีที่นั่งทั้งข้างในและข้างนอก โต๊ะค่อนข้างเล็กไม่ค่อยมีที่วางของ แต่มีชั้นวางของให้ทุกโต๊ะ วางน้ำและอุปกรณ์อื่นๆ ได้

เมนูของร้านนี้ก็แนวดีครับ ชูจุดขายเรื่อง "มานะ-มานี"ตามบทเรียนสมัยก่อน (เข้าใจว่าร้านนี้ทำมาก่อน "มานีมีแชร์"นะ)

มานีมีหม้อมานีมีหม้อ

อาหารเท่าที่ดูราคาก็ไม่แพงนะครับ ถูกกว่า MK หลายช่วงตัวนัก เครื่องดื่มมีแบบรีฟิลคือ ชามะลิ กับ เก๊กฮวย เลือกกินเก๊กฮวยก็โอเคดีครับ

มานีมีหม้อมานีมีหม้อ

จุดขายของร้านนี้คือ ชาบูมันกุ้ง แต่ไม่ค่อยสนใจเป็นทุนอยู่แล้วเลยไม่ได้สั่ง

มานีมีหม้อ

อาหารตามนี้ครับ ชุดเนื้อสั่งเนื้อสันคอ กับเนื้อวัว เนื้อดีนะ สไลด์บาง ไม่เหนียว ให้เยอะพอตัว ไม่ฟรีซจนแข็งเป๊ก

มานีมีหม้อ

มานีมีหม้อ

ผัก สั่งมาเป็นชุด ร้อยกว่าบาท

มานีมีหม้อ

ของอื่นๆ มีที่แปลกหน่อยคือไข่ปลาหมึก เห็นว่าแปลกดีเลยลองสั่งมา พบว่ากินไข่ปลาหมึกปิ้งแบบเดิมๆ น่ะดีแล้ว ต้มแล้วไม่ได้รสชาติอันใด

มานีมีหม้อ

หม้อชาบูก็เป็น Imaflex รุ่นมาตรฐานที่พบได้ทั่วไปครับ น้ำซุปมีให้เลือกแบบเดียว (ไม่รู้ว่าหวานแบบไม่ใส่น้ำตาลหรือไม่นะ ฮา) ผมว่าซุปจืดๆ ไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ กินได้

มานีมีหม้อ

ที่คิดว่าร้านนี้ต้องปรับปรุงหน่อยคือน้ำจิ้ม มีให้เลือกสองสูตรคือแบบเค็มหวาน (รสชาติเหมือนน้ำจิ้มบาบีคิวพลาซ่า) กับเผ็ดเปรี้ยว (น้ำจิ้มซีฟู้ด) ทางร้านแนะนำให้ผสมกัน พริกกระเทียมมีให้พร้อม แต่ผมว่ารวมๆ แล้วมันยังอร่อยสู้ MK หรือน้ำจิ้มสุกี้สูตรกวางตุ้ง/พริกกะเหรี่ยงที่ขายกันเป็นขวดๆ ไม่ได้

การบริการกลับดีมากครับ พนักงานกระฉับกระเฉงดี เติมน้ำเติมน้ำซุปให้ตลอด รวมแล้วก็ค่อนข้างประทับใจในคุณภาพที่ได้ของอาหาร ราคา และการบริการ ที่เป็นจุดด้อยหน่อยคงเป็นว่าน้ำจิ้มยังไม่เด่น โต๊ะเล็กนั่งลำบาก และคนเยอะอาจต้องรอคิวครับ

Keyword: 

Jonah Peretti - What is Viral

$
0
0

เมื่อวานนี้ เทน้ำแข็งราดตัวไปเลยเป็นเหตุให้ได้ถกประเด็นเรื่อง "ความเป็นไวรัล"กับเจ้าของเว็บโซเชียลชื่อดังแห่งหนึ่ง

คำถามที่น่าสนใจคือ "ไวรัลคืออะไร"ในเชิงวิชาการและทฤษฎี เออ นั่นสิ ทุกคนก็รู้ว่าไวรัลคืออะไร แต่อธิบายมันไม่ได้ และการผลิตซ้ำก็ไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะประสบความสำเร็จเสมอไป

เมื่อตอบไม่ได้ก็ต้องหาตัวช่วยครับ คนที่น่าจะตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุดน่าจะเป็น "เจ้าพ่อไวรัล" Jonah Peretti ผู้ก่อตั้ง BuzzFeed ที่เคยสร้างไวรัลตั้งแต่โลกยังไม่มีคำว่าไวรัลด้วยซ้ำ (คนซ้ายในภาพ)

Peretti คือใคร?

ประวัติของ Peretti ถือว่าน่าสนใจมาก เมื่อปี 2001 สมัยที่โลกยังไม่มีคำว่าโซเชียล Nike เปิดให้สั่งซื้อรองเท้ากีฬาโดยเขียนข้อความส่วนตัวลงไปได้ ซึ่ง Peretti ก็สั่งซื้อโดยใส่คำว่า sweatshop ลงไป (อารมณ์ประมาณว่า "โรงงานนรก"ซึ่งหมายถึง Nike ที่ใช้แรงงานเด็กในเอเชียทำรองเท้าให้ในราคาถูก ใช้งานโหดๆ) ผลคือ Nike ติดต่อกลับมาว่าไม่สามารถใส่คำนี้ลงไปได้

Peretti เถียงกับตัวแทนของ Nike ทางอีเมลอยู่นานแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เขาจึงนำเรื่องราวเหล่านั้นส่งให้เพื่อนอ่านทางอีเมล ปรากฎว่ามันฮิตระเบิด กลายเป็นไวรัล (เอ๊ะ สมัยนั้นเรียกฟอร์เวิร์ดเมลสินะ) โด่งดังจน Peretti ได้ออกทีวี ได้คุยกับผู้บริหาร Nike สดแบบออนแอร์ ฯลฯ ต้นฉบับอีเมลเผื่อใครสนใจ

หลังจากกระแสหมดไป ชีวิตของ Peretti ก็กลับมาเป็นปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือเขาครุ่นคิดถึง "ความโด่งดัง"ที่ได้รับแบบไม่ตั้งใจว่ามันคืออะไร เกิดจากอะไร ผลิตซ้ำได้หรือไม่ ฯลฯ เสมอมา

ปี 2005 Peretti ซึ่งสนใจเรื่องอินเทอร์เน็ตอย่างมาก ได้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง The Huffington Post หนังสือพิมพ์ออนไลน์ที่ดังที่สุดของอเมริกา (ผู้ก่อตั้งมี 4 คน โดย Peretti รับผิดชอบเรื่องเทคนิค) ระหว่างนั้นเขาก็ทดลองทำ "viral lab"เป็นงานอดิเรก

ปี 2011 Huffington Post ขายกิจการให้ AOL ทำให้ Peretti ลาออกมา หลังจากนั่งงงๆ อยู่สักพัก เขาก็เดินตามความฝันโดยการพัฒนา viral lab ให้เป็นสื่อออนไลน์อุดมไวรัล BuzzFeed ที่ตอนนี้โด่งดังทะลุฟ้า เพิ่งระดมทุนรอบใหม่และมีมูลค่าบริษัท 850 ล้านดอลลาร์แล้ว (HuffPo ขายได้ 300 ล้าน)

สรุปโพรไฟล์ที่ว่ามาทั้งหมด ก็พอจะน่าเชื่อถือได้ว่า Peretti เป็น "เจ้าพ่อไวรัล"ตัวจริง ไม่ใช่กูรูสถาปนาตัวเอง ช่วงนี้มีบทสัมภาษณ์ Peretti ออกมาเยอะมาก ใครสนใจก็ไปตามอ่านต่อกันเองได้

ที่จะกล่าวถึงในบล็อกนี้คือ สไลด์นำเสนอของ Peretti ในปี 2010ที่พูดถึง "ไวรัล"ได้ค่อนข้างเป็นหลักเป็นการไม่น้อย (อาจจะมีอันที่ใหม่และอัพเดตกว่านี้ แต่ขี้เกียจหาละ)

Peretti เริ่มด้วยคำถามว่าเราจะสร้าง "ไวรัล"ได้อย่างไร และบอกว่าเขาพยายามตอบคำถามนี้ด้วยวิธีการต่างๆ มากมาย

แนวคิดของ Peretti คือไวรัลเกิดได้เพราะ "ความน่าเบื่อในเวลางาน"ของหนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลาย ซึ่งนับจำนวนรวมแล้ว คนเหล่านี้เยอะกว่าคนดูสื่อแบบดั้งเดิมมาก และต่อเชื่อมกันแบบ decentralized

(ทฤษฎีนี้อาจดูไม่ใหม่ และทุกคนรู้กันหมดแล้วในปัจจุบัน แต่ต้องไม่ลืมว่าเขาพูดเรื่องนี้ในปี 2010)

ยุทธศาสตร์ข้อแรกของ Peretti คือสร้างสื่อที่เหมาะสำหรับ "หนุ่มสาวออฟฟิศผู้เบื่อหน่าย"ข้างต้น โดยต้องเป็นของที่เข้าใจง่าย แชร์ง่าย โดนใจ

ข้อพึงระวังคือทุกอย่างไม่ใช่ไวรัลเสมอไป (อันนี้ก็ไม่ใหม่เมื่อมาพูดในปี 2014) เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเวิร์คบ้าง ก็ต้องเพิ่มโอกาสโดยลองหลายๆ แบบ

ทฤษฎีข้อที่สอง ยกตัวอย่างของ HuffPo ว่าเป็นเว็บหนังสือพิมพ์ออนไลน์ เน้นข่าวการเมือง ดูซีเรียส น่านับถือ แต่เอาเข้าจริงแล้วทราฟฟิกมาจากข่าวบันเทิง ดารา ก็อซซิป นมหก ฯลฯ ทั้งหลายที่ไม่ได้แสดงเด่นชัดอยู่หน้าแรกต่างหาก

สิ่งที่ HuffPo ทำคือปรับแต่งโฮมเพจและเนื้อหาแบบเรียลไทม์ ตามกระแสการชมและแชร์ของผู้อ่าน เพื่อให้ได้จำนวนวิวสูงสุด

ข้อที่สาม Peretti บอกว่า viral สมบูรณ์แบบไม่จัดตั้ง (pure viral) เป็นสิ่งสวยงาม แต่ไม่เสถียรและทำซ้ำไม่ได้ ดังนั้นถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องจัดตั้ง (seed) ในช่วงแรก เช่น อาจต้องจ่ายเงินให้คนกลุ่มหนึ่งช่วยแชร์ แล้วหวังว่ามันจะกระจายต่อได้ (อันนี้ก็ไม่ใหม่แล้วในปี 2014)

ที่น่าสนใจคือ Peretti มีสมการอยู่อันหนึ่งเอาไว้วัด "ความเป็นไวรัล"โดยเทียบอัตรา แชร์/ชม ถ้าตัวเลขมากกว่า 1 (แชร์ >ชม) มีมอันนั้นจะโด่งดังโดยที่เราแทบไม่จำเป็นต้อง seed เลย

แต่ถ้าตัวเลขน้อยกว่า 1 ก็ยังไม่แย่นัก เพราะเราสามารถปรับแต่งให้สัดส่วนใกล้ 1 มากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายของ seed ลง

ข้อที่สี่ พฤติกรรมของคน Peretti บอกว่าอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วย "คนบ้า" (maniacs) ที่ชอบคอมเมนต์ชอบแชร์ ชอบถกเถียง ถ้าเราสามารถดึงดูดคนกลุ่มนี้ให้สนใจเนื้อหาของเราได้ มันก็จะเป็นไวรัลได้ง่าย

ข้อสุดท้าย เน้นการตลาด Peretti บอกให้เราเรียนแบบแนวทางของนิกาย Mormon (ที่เป็นฝรั่งผู้ชายหนุ่มๆ สองคนดูสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่งตัวเรียบร้อย ชอบขี่จักรยาน) สร้างสาวกและศรัทธาแบบ agressive ว่าทำยังไงจะกระจายไอเดียไปได้กว้างไกลที่สุด

สรุปก็ประมาณนี้แหละ

บทความเก่าที่เกี่ยวข้อง: Internet Meme ภาคทฤษฎี

Gundam Build Fighters

$
0
0

มีคนมาแนะนำว่าสนุกหลายคนแล้วแต่ไม่ได้สนใจมากนัก วันก่อนไม่รู้มีอะไรดลใจ ไปเจอเข้าใน YouTube พอดี (ผมเพิ่งทราบเหมือนกันว่า Sunrise เปลี่ยนยุทธศาสตร์เอาการ์ตูนมาฉายบน YouTube GundamInfoแถมทำซับไตเติลหลายภาษาอย่างดี มีภาษาไทยด้วย!) ก็ยาวเลยครับ

Gundam Build Fightersเป็นอนิเมะกันดั้มสำหรับฉายทีวีปี 2013 เนื้อเรื่องไม่ใช่แนวสงคราม แต่เป็นการต่อสู้กันของนักเล่นโมเดล "กันพลา"ลักษณะเดียวกับ "พลาโมเคียวชิโร่"ในอดีต เนื้อเรื่องแบบง่ายๆ คือมีคนคิดอนุภาคที่ทำให้ควบคุมกันพลามาต่อสู้กันได้ เลยเกิดทัวร์นาเมนต์ Gunpla Battle World Championships ขึ้นมา พวกพระเอกก็คือเด็กบ้าโมเดลกันดั้มที่อยากแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นี้ล่ะ

ตอนแรกผมไม่ค่อยสนใจเท่าไรนักเพราะเป็นแฟนกันดั้มแนวสงครามสมจริงมากกว่า แต่พอดูไปตอนหนึ่งแล้วพบว่า "สนุกแฮะ"เลยดูติดตามต่อมาอีกเรื่อยๆ จนจบในเวลาไม่นาน (25 ตอน สั้นดี) เนื้อหาจะเบาๆ หน่อยไม่ซีเรียสมาก ถึงแม้จะเป็นการแข่งโมเดล แต่จะมีความคล้ายคลึงกับภาค G Gundam ที่คัดเลือกตัวแทนจากประเทศต่างๆ เข้ามาต่อสู้กันอยู่บ้างเหมือนกัน

ดูจบแล้วมานั่งวิเคราะห์ดู พบว่า Gundam Build Fighters ตอบโจทย์คนดูหลายระดับเลยครับ คนเขียนบทและวางแผนนี่เก่งจริงๆ

  • ระดับหนึ่งเด็กๆ ดูได้ทันที ไม่ต้องรู้จักกันดั้มมาก่อน ก็มาสนุกกับการ์ตูน "ของเล่นสู้กัน"ได้เหมือนกับการ์ตูนขายของอื่นๆ แถมหุ่นกันดั้มมันก็มีดีไซน์โดดเด่นเป็นทุนอยู่แล้ว (คือไม่ต้องออกแบบคาแรกเตอร์ใหม่หมดแบบการ์ตูนขายของเล่นยุคใหม่ๆ) ดูแล้วก็อินได้ง่าย
  • ระดับสองสำหรับคนที่เคยติดตามกันดั้มมาบ้าง การต่อสู้กันของกันดั้มข้ามซีรีส์กันเป็นสิ่งน่าพิศมัยเสมอ (ไม่งั้น Gundam G Generation หรือ Super Robot มันขายไม่ได้หรอก) การนำหุ่นดังๆ จากซีรีส์หลายๆ ภาคมาต่อสู้กันเองจึงน่าตื่นตาตื่นใจ แถมฉากการต่อสู้ก็ออกแบบมาดี ไม่ซ้ำซาก เราจะเห็นฉากเจ๋งๆ หลายอันที่ไม่คิดว่าจะเห็นในการ์ตูนเด็ก เช่น การดวลกันของหุ่นที่ใช้อาวุธระยะไกล (GM Sniper), การต่อสู้ของหุ่นที่ใช้อาวุธระยะประชิด ไม่มีอาวุธบีมหรือปืนเลย มีแต่ดาบกับหมัดเท่านั้น, หุ่นธรรมดาสู้ฟันเนล, ยุทธการหุ่นหลายตัวแท็กทีมกันสู้ศึกแบบ battle royal เป็นต้น
  • ระดับสามสำหรับติ่งกันดั้มหรือโอตาคุพันธุ์แท้ Sunrise ก็ "จัดหนัก"แทรกดีเทลของจักรวาลกันดั้มมาแทบทุกจุด (ตอนแรกมีรัมบะ ราลโผล่มา ผมก็แทบตกเก้าอี้แล้ว) ไม่ว่าจะเป็นฉากโดนตบของอามุโร่, ตัวละครในเรื่องชื่นชมงานภาพของ MS 08th อย่างหลงใหล, การออกแบบตัวละครที่ลอกไอเดียมาจากภาคหลัก (เช่น Aila), ตัวละครหรือหุ่น cameo มากมายนับไม่ถ้วน

ตัวอย่างมุข: ผังการต่อสู้ของ Gunpla Battle รอบสุดท้าย สังเกตชื่อ Patrick Mannequin ตัวละครที่ไม่โผล่มาในเรื่อง แต่เป็นการเอ่ยถึง Patrickตัวโจ๊กของภาค 00

การวางตัวหุ่นยนต์ที่โผล่มาในเรื่องก็น่าสนใจไม่แพ้กันครับ (ทั้งในแง่การขายของและเนื้อเรื่อง) เริ่มจาก

  • พ่อพระเอกใช้ First Gundam RX-78-2 อันนี้ตรงไปตรงมาคือเน้นความเป็น original และ "รุ่นก่อน"
  • พระเอกใช้ Strike Gundam ซึ่งน่าจะตอบโจทย์เด็กรุ่นใหม่ที่สุด เพราะเป็นกันดั้มภาคหลังๆ ที่โด่งดังที่สุด ส่วนกันดั้มอีกตัวเป็น Mk II ก็น่าจะตอบโจทย์เรื่องพระเอกต้องใช้หุ่นของภาคหลัก+ขายของเช่นกัน
  • เพื่อนพระเอกสองคนก้ใช้กันดั้มตัวหลักของแต่ละภาค แล้วเอามาปรับแต่ง คือ Gundam Wing และ Gundam X ซึ่งเป็นกันดั้มภาคหลังๆ อีกเช่นกัน (น่าสนใจว่าเลือก X ที่ไม่ค่อยดังเท่าไร แต่พอมาอยู่ใน Build Fighters แล้ว Satellite Cannon กลับดูเท่)
  • ตัวละครอื่นๆ ในเรื่องก็เลือกใช้ Gundam ตัวเอกของภาคที่ดังรองๆ ลงไป เช่น Astray, F-91, Crossbone, G Gundam (Master Asia)
  • ฝั่งคู่แข่งของพระเอกก็เลือกใช้หุ่นฝั่งผู้ร้ายที่ดังๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Zaku, Kampfer, Qubeley, Tallgeese, Sazabi, Turn X อันนี้เข้าใจว่าเน้นขายโมเดล
  • แต่หุ่นคู่แข่งตัวสุดท้ายมาจบด้วย Gundam Exia เวอร์ชันผู้ร้ายก็ถือว่าน่าสนใจอีกเหมือนกัน หุ่นคู่แข่งตัวสุดท้ายดันเป็นกันดั้มด้วยกัน
  • สรุปคือหุ่นพระเอกของอนิเมะภาคหลักช่วงหลังๆ ได้ออกทุกตัวคือ W, X, Seed, Seed Astray, 00 (แต่กลับไม่มี AGE แฮะ)
  • ส่วนหุ่นผู้ร้าย (ที่ไม่ใช่คู่แข่งหลัก) ก็ขุดตัวดังๆ มาออกหลายตัว ส่วนใหญ่เน้น MA เช่น Zeong, Apsalus, Devil Gundam, Psyco Gundam
  • ที่น่าสนใจและน่าแปลกใจมากคือ Z Gundam ไม่โผล่เลยสักนิด สงสัยจะออกในภาคสองครับ อันนี้คงต้องรอดูกัน

โดยรวมแล้วถือว่าสนุกมากเลยสำหรับแฟนกันดั้มครับ (สนุกกว่า AGE มาก) แต่รู้สึกว่าหุ่นเวอร์ชันดัดแปลงยังออกแบบมาไม่ค่อยสวยถึงขนาดน่าซื้อเก็บสักตัวเลยแฮะ

Keyword: 


Responsive Design for Content Site - Next Guardian

$
0
0

เรื่องมีอยู่ว่าหนังสือพิมพ์ The Guardian ของอังกฤษเขากำลังออกแบบหน้าเว็บใหม่ (ลองเล่นได้ที่ Guardian Next) ซึ่งโจทย์ของการออกแบบคือเป็น responsive รองรับอุปกรณ์ทุกขนาดหน้าจอ

แต่การเป็นเว็บหนังสือพิมพ์ที่มี content เยอะและหลากหลายนั้นมันไม่ง่าย มันไม่ใช่แค่ออกแบบให้เพจยืดหดตามขนาดจอแล้วก็จบ แต่มันต้องมีหลักการเรื่อง navigation และการจัดหมวดของ content ด้วย

สุดท้าย Guardian ได้พัฒนาแนวคิดที่น่าสนใจมาก เรียกมันว่า Container Model กับ Blended Content (รายละเอียดอ่านได้จาก Guardian Beta Blogและ Nieman Lab) ไอเดียของ Container Model คือแตกเนื้อหาเป็นส่วนย่อยๆ ที่เรียกว่า item (1 item = 1 ข่าวหรือบทความ) จากนั้นค่อยจัดกลุ่มเนื้อหาเป็น slice และจัดกลุ่มอีกชั้นเป็น container

ตัวอย่าง container ก็อย่างเช่นการจัดกลุ่มแยกตามหมวดเนื้อหา (News, Sports, Entertainment) หรือจะจัดกลุ่มตามตรรกะแบบอื่นก็ได้ (เช่น Most Popular, Opinions)

พอได้ container หรือชุดของเนื้อหาแล้ว ทีมงาน Guardian ก็สามารถนำกล่อง container ไปวางบนเว็บเพจเวอร์ชันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยแต่ละ container ก็มีคำนิยามของมันเองว่าถ้าเจออุปกรณ์แบบนี้ จะต้องวางตัวมันเองอย่างไร เช่น ถ้าเปิดด้วยคอมพิวเตอร์ให้แสดงรูปด้วย ถ้าเปิดบนมือถือแสดงแค่ลิงก์ก็พอ เป็นต้น

ตัวอย่างเพจเวอร์ชันเดสก์ท็อป

ตัวอย่างเพจเวอร์ชันมือถือ

โมเดลการจัดการแบบนี้ทำให้ในเชิงโปรแกรมมิ่งแล้ว ทีมงานสะดวกขึ้นมาก เพราะไม่ต้องสนใจเนื้อหาภายใน container แค่เลือกว่าเพจนี้จะมี container อะไรบ้างแทน ที่เหลือก็ใช้ container จัดการตัวเอง

ส่วนแนวคิดเรื่อง Blended Content คือการลองเปลี่ยนวิธีคิดแบบเดิมๆ ที่แยกเนื้อหาในเว็บหนังสือพิมพ์ตามหมวดหมู่ (category) เช่น ข่าวการเมือง กีฬา ไลฟ์สไตล์ เรียงกันไปเรื่อยๆ (ภาษาสื่อเรียก verticals) มาเป็นการแยกหมวดด้วยวิธีอื่นๆ เช่น แยกตามคุณลักษณะของเนื้อหา (เช่น สกู๊ปพิเศษที่รวมเนื้อหาจากทุกหมวด)

ตัวอย่าง Container ที่ใช้แนวคิด Blended Content ที่ Guardian ลองทำกับหน้าแรกของตัวเองคือ

  • News - containing news and sport stories
  • Features - primarily non news stories
  • Most popular - the most read stories across the site
  • Comment & debate - containing not just our Comment is Free stories but comment and analysis across the Guardian
  • People in the news - stories and interviews with people in the news
  • Watch and listen - video and audio from across the Guardian
  • Special - used for short duration news events like the Oscars where we want to package together stories on a single theme

ทีมงานทดสอบการใช้งานจากผู้ใช้ด้วยวิธี a/b test และการเก็บสถิติอย่างละเอียด พบว่าแนวคิดข้างต้นนี้เวิร์ค ยกเว้นเรื่องเดียวคือการรวม news/sport ไว้ด้วยกัน สุดท้ายก็ต้องแยกกลับมาเป็นคนละส่วนกัน

บุโรพุทโธ Borobudur

$
0
0

เมื่อเดือน ก.ค. ไปเที่ยวอินโดนีเซียมาครับ (ยอกยาการ์ต้า+บาหลี) ดองได้ที่แล้วก็ควรถึงเวลาเขียนลงบล็อกสักหน่อย

ผมบินไปลงยอกยาการ์ต้าก่อน ก็เริ่มจากยอกยาฯ ก่อนเลย สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของแถบยอกยาฯ ก็คือวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก "บุโรพุทโธ"หรือ Borobudur นั่นเอง (คนอินโดอ่าน โบโรบูดูร์ ตามชื่อที่เขียนในภาษาอังกฤษ)

Borobudur เป็นวัดที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 โดยไม่ทราบประวัติศาสตร์แน่ชัด หลังจากคนที่อาศัยอยู่แถบนี้โยกย้ายถิ่นฐานไปจนหมด ก็กลายเป็นวัดร้างที่อยู่บนภูเขา ใต้ซากเถาวัลย์และเถ้าภูเขาไฟมาหลายร้อยปี มาถูกค้นพบอีกทีในสมัยอินโดนิเซียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ปี 1814 เซอร์โทมัส ราฟเฟิลส์ (คนเดียวกับที่ก่อตั้งสิงคโปร์ และคนเดียวกับที่โรงเรียนนานาชาติเอาชื่อไปใช้) ข้าหลวงใหญ่ในสมัยนั้นได้รับคำบอกเล่าจากคนท้องถิ่นว่ามีซากอารยธรรมแห่งนี้อยู่ เลยส่งลูกน้องไปค้นหาโบราณสถานนี้จนเจอ

ไม่มีใครรู้ว่าวัดนี้จริงๆ ชื่ออะไร แต่เซอร์ราฟเฟิลส์เรียกมันว่า Borobudur ส่วนราฟเฟิลส์จะได้ชื่อนี้มาจากไหนก็ไม่มีใครทราบเช่นกัน บางคนบอกว่าชื่อ Borobudur น่าจะเพี้ยนมาจากภาษาสันสฤตว่า "Vihara Buddha Uhr"ส่วนคนไทยก็เรียกเพี้ยนมาเป็น "บุโรพุทโธ"อีกที

Borobudur ได้ชื่อว่าเป็นวัดก็จริง แต่สถาปัตยกรรมเหมือนปราสาทหิน+เจดีย์มากกว่า เป็นสถูปที่มีโครงสร้างเดี่ยว คือเป็นอาคารหลังเดียว ไม่มีกำแพงกั้น ไม่มีอาคารแยกย่อยเหมือนวัดแถวบ้านเรา

ตัววัดอยู่บนเขา นั่งรถขึ้นไปได้แล้วต้องเดินอีกนิดหน่อย ขี้นบันไดอีกนิดนึงครับ

Borobudur

หน้าตาก็ตามภาพ คือเป็นเหมือนเจดีย์ 4 เหลี่ยมที่ยอดไม่สูงนัก มีหลายชั้น ค่อยๆ เดินขึ้นไปกัน

Borobudur

บันไดจะแคบสักหน่อยแต่ไม่ชันจนเกินไป

Borobudur

กำแพงของทุกชั้นจะมีพระพุทธรูป และรูปแกะสลักเล่าเรื่องราวต่างๆ เต็มไปหมด (ที่เห็นสวยๆ นี่คือบูรณะไปเยอะแล้ว)

Borobudur

Borobudur

Borobudur

Borobudur

Borobudur

Borobudur

Borobudur

มองลงไปข้างล่าง ไม่สูงมากครับ ปีนกันชิวๆ

Borobudur

ของแปลกหน่อยก็คือเจ้านี่ (ผมเข้าใจว่าเป็นราหู) มันเป็นท่อระบายน้ำที่ให้น้ำไหลจากระเบียงชั้นข้างบนลงมาได้

Borobudur

ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดจะเป็นมวลหมู่สถูปครับ สถูปองค์หลักจะเป็นหินเรียบๆ กลมๆ ไม่มีอะไรพิเศษ ส่วนสถูปเล็กๆ รายล้อมทำเป็นช่องตาข่าย ทุกสถูปมีพระพุทธรูปหินอยู่ข้างใน

Borobudur

Borobudur

Borobudur

Borobudur

Borobudur

ถ้าอากาศดีหน่อยจะเห็นภูเขาที่อยู่ไกลๆ ออกไปด้วย

Borobudur

โดยรวมแล้วรู้สึกว่า Borobudur เล็กกว่าที่จินตนาการเอาไว้ แต่อัดแน่นมากด้วยพลังแห่งหินศิลา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับมาเดินดูโครงสร้างรอบนอก (ไม่มีช่องโพรงให้มุดเข้าไปดูได้แบบปราสาทหรือวัดแถวบ้านเรา) ชีวิตนี้ก็ควรไปสักครั้งครับ

Borobudur

พระราชวังยอกยาการ์ตา และ Taman Sari วังอาบน้ำของสุลต่าน

$
0
0

เมืองยอกยาการ์ตา (Yogyakarta) เป็นอดีตเมืองหลวงของอินโดนีเซียมาแต่โบราณ และมีสุลต่านปกครองสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ในช่วงที่นายพลซูการ์โนพยายามต่อสู้เพื่อเอกราชของอินโดนีเซีย สุลต่านแห่งยอกยาการ์ตาก็สนับสนุนการประกาศเอกราชอย่างเต็มที่ (ซึ่งช่วยซูการ์โนอย่างมากในแง่สัญลักษณ์) หลังจากอินโดนีเซียประกาศเอกราชได้แล้ว ซูการ์โนจึงตอบแทนโดยยกยอกยาการ์ตาเป็นเขตปกครองพิเศษ และยังมีระบบกษัตริย์ (สุลต่าน) ปกครองอยู่เพียงแห่งเดียวของอินโดนีเซียทุกวันนี้

ในตัวเมืองยอกยาการ์ตาเลยยังมีพระราชวังเก่าให้ดูอยู่บ้างนิดหน่อย ไม่ถึงขนาดแกรนด์ยิ่งใหญ่อลังการครับ พระราชวังยอกยาการ์ตา (Kraton Yogyakarta) ถือเป็นพระราชวังแนววิลล่า (คือกษัตริย์อาศัยอยู่จริงๆ) ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมเป็นบางส่วนด้วย ข้างในมีนิทรรศการประวัติศาสตร์เกาะชวาให้ดูบ้างเล็กน้อย แต่ค่อนข้างทรุดโทรมและไม่ได้รับการดูแลเท่าใดนัก

Yogyakarta Palace

ที่น่าสนใจกว่าคือ Taman Sari หรือ Water Castle "พระราชวังน้ำ"แห่งยอกยาการ์ตา อยู่ห่างจากพระราชวังหลักไปเล็กน้อย พระราชวังแห่งนี้อธิบายง่ายๆ คือสระว่ายน้ำของสุลต่าน (ที่เอาไว้ว่ายกับนางสนม) นั่นเอง

พระราชวัง Taman Sari แห่งนี้เล็กแต่แปลกตาดี เข้าไปก็จะเจอซุ้มประตูและศาลาต่างๆ ซึ่งเอาไว้ให้สุลต่านทอดพระเนตรดูการระบำของนางสนม

Water Palace Yogyakarta

เข้าไปข้างในแล้วจะเจอ "สระน้ำกลางแจ้ง"ที่ให้นางสนมมาอาบน้ำรวมกัน (มีกำแพงล้อมรอบนะ) บริเวณอาคารก็มีห้องเซาน่า และห้องสำหรับสุลต่านเอาไว้แอบดูนางสนมด้วย

Water Palace Yogyakarta

Water Palace Yogyakarta

Water Palace Yogyakarta

Water Palace Yogyakarta

เมื่อเลือกนางสนมที่ชอบได้แล้ว สุลต่านก็จะมีสระว่ายน้ำส่วนตัว (private bath) อยู่ด้านใน เอาไว้สรงน้ำกับสนมเป็นแบบส่วนตั๊วส่วนตัวนั่นเอง

Water Palace Yogyakarta

แถมด้วยภาพร้านอาหารในยอกยาการ์ตา ใช้ใบไม้ปักเป็นเลขที่นั่งโต๊ะ เจ๋งดีครับ

Water Palace Yogyakarta

และรถโค้กของอินโดนีเซีย ขนาดกำลังดี น่ารักกว่าบ้านเราเยอะเลย

Water Palace Yogyakarta

Malioboro ถนนช็อปปิ้งของยอกยาการ์ตา

$
0
0

ยอกยาการ์ตาเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอีกแห่งของอินโดนีเซีย (แม้ว่าจะเป็นรองบาหลีอยู่พอสมควร แต่ในแง่ดีกรีเทียบกับเมืองอื่นๆ ก็ไม่ได้ด้อยกว่า) เมื่อมีฝรั่งมาเที่ยวเยอะ ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะมี "ถนนคนเดิน"หรือย่านช็อปปิ้งแบบเดียวกับข้าวสารหรือป่าตอง ซึ่งถนนสายนี้ของยอกยามีชื่อว่า Jalan Malioboro (jalan = ถนน)

เป็นคนไทยมาเดินอาจรู้สึกไม่ค่อยแปลกตานักเพราะมันก็คล้ายๆ ย่านนักท่องเที่ยวฝรั่งในบ้านเรา ของที่ขายก็เน้นที่ของที่ระลึก ผ้าบาติก และเสื้อยืดเป็นสำคัญ ถนนมีสองฝั่งแต่ร้านค้ามีฝั่งเดียว (อีกฝั่งหนึ่งเป็นสถานที่ราชการ) มีรถม้าให้นั่งด้วยเผื่อสนใจ

Malioboro

ป้ายรถเมล์ของอินโดครับ ใครที่เคยไปจาการ์ตาน่าจะเคยเห็นแล้ว เขาใช้ระบบ BRT รถเมล์พื้นสูง แล้วทำป้ายรถเมล์ยกสูงให้เดินขึ้นรถได้ง่ายๆ

Malioboro

สามล้อก็มี เวอร์ชันนี้คนขับอยู่ด้านหลัง

Malioboro

บรรยากาศก็ประมาณนี้ครับ มีของขายทั้งสองฝั่งฟุตบาท

Malioboro

Malioboro

ร้านขายของที่ระลึกแบบติดแอร์ ที่เห็นในรูปนั่นหุ่นนะไม่ใช่คน

Malioboro

ยักษ์ เอาไว้เรียกแขกมั้ง

Malioboro

สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเสื้อผ้า ผ้าบาติก

Malioboro

ห้างสรรพสินค้าเล็กๆ บนถนน Malioboro เน้นขายของทั่วไป เสื้อผ้าสมัยใหม่

WP_20140724_14_31_56_Pro

มีร้านสะดวกซื้อบ้างประปราย ถ่ายรูปวันพีซ โคนัน นารุโตะ เวอร์ชันอินโดมาเป็นที่ระลึก

WP_20140724_14_18_41_Pro

ขนมกรุบกรับบ้านเมืองนี้ ที่นี่ Lexus ไม่ใช่รถแต่เป็นขนมสินะ

WP_20140724_14_16_32_Pro

รถเข็นขายขนมข้างทาง มีหลายชั้นด้วย แอดวานซ์

WP_20140724_14_24_53_Pro

ตอนที่ไปยังบ่ายๆ เย็นๆ ไม่ถึงกับค่ำดี บางแผงยังไม่ตั้งขาย เราก็เห็นพ่อค้านอนพักผ่อนกันแบบนี้

Malioboro

ป้อมตำรวจที่นี่อลังการกว่าบ้านเรามาก เป็นเต๊นต์แบบ open air ติดไฟสว่างไสว บางอันมีสปอนเซอร์แปะด้วย

WP_20140724_17_33_13_Pro

Keyword: 

วัดพรามบานัน (Prambanan)

$
0
0

อินโดนีเซีย โดยเฉพาะเกาะชวานั้นเดิมทีมีศาสนาพุทธและฮินดูยึดครองอยู่ ส่วนภายหลังศาสนาอิสลามค่อยตามมาแผ่อิทธิพล ทำให้ซากอารยธรรมในแง่สิ่งปลูกสร้างยังหลงเหลืออยู่มากทั้งสามศาสนา

คราวก่อนกล่าวถึงวัดพุทธอย่าง Borobudur หรือบุโรพุทโธไปแล้ว เมืองยอกยาการ์ตายังมีโบราณสถานสำคัญอีกแห่งคือ "วัดพรามบานัน" (Prambanan) ซึ่งเป็นวัดฮินดูที่อยู่กลางเมืองยอกยาการ์ตาเลย

Prambanan Temple

วัดพรามบานันสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 (อายุไล่เลี่ยกับบุโรพทโธ) โดยกษัตริย์ของอาณาจักรฮินดูที่อยู่ใกล้ๆ กับอาณาจักรพุทธที่สร้างบุโรพุทโธ (ประมาณว่าสร้างแข่งกัน) ความหมายของชื่อ Prambanan ไม่ชัดเจนนัก คาดว่ารากศัพท์น่าจะมาจากคำว่า Para Brahman (ปรมะ+พรหมัน)

เนื่องจากวัดพรามบานันเป็นวิหารฮินดู สถาปัตยกรรมภายนอกจึงคล้ายกับปราสาทหินบ้านเรามาก รูปแบบจะเป็นพระปรางค์ 6 องค์ แบ่งเป็นหน้า 3 หลัง 3 โดยปรางค์ด้านหลังเป็นตัวแทนของเทพเจ้าฮินดูทั้งสามองค์ (ตรีมูรติ: พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ) และปรางค์ด้านหน้าแทนสัตว์พาหนะของเทพเจ้าทั้งสามนั่นเอง

Prambanan Temple

แน่นอนว่าคนฮินดูนับถือพระศิวะมากที่สุด ดังนั้นปรางค์แทนองค์พระศิวะจึงองค์ใหญ่สุดและอยู่ตรงกลาง นอกจากปรางค์หลักทั้ง 6 แล้ว วัดพรามบานันยังมีกำแพงและโครงสร้างย่อยๆ รายล้อมตัวปรางค์หลักออกเป็นชั้นๆ (ตามหลักจักรวาลวิทยาของฮินดู) คล้ายกับปราสาทหินบ้านเราอีกด้วย

Prambanan Temple

วัดพรามบานันถูกทิ้งร้างเช่นเดียวกับบุโรพุทโธ ด้วยเหตุผลว่าประชาชนอพยพหนีภูเขาไฟ จากนั้นตัวพระปรางค์ก็ปรักหักพังตามแผ่นดินไหว จนกระทั่งถูกค้นพบโดย Colin Mackenzie นักสำรวจชาวสก๊อตที่ทำงานให้เซอร์โทมัส ราฟเฟิลส์ (คนเดิมกับที่ค้นเจอบุโรพุทโธ) และค่อยๆ ทยอยซ่อมแซมอย่างช้าๆ จนมาสำเร็จในสมัยของประธานาธิบดีซูการ์โน

Prambanan Temple

ซากหินที่เห็นเหล่านี้เป็นซากหินของพระปรางค์รายล้อมที่ยังบูรณะไม่เสร็จ

Prambanan Temple

Prambanan Temple

Prambanan Temple

บริเวณของวัดพรามบานันเป็นสวน ต้องเดินเข้าไปนิดหน่อย ไม่ไกล (แต่ร้อน) จริงๆ ควรมาตอนเช้าเพราะว่าจะไม่ย้อนแสงเวลาถ่ายรูป แต่เนื่องจากตอนเช้าไปบุโรพุทโธแล้ว ก็ต้องรับสภาพ มาที่นี่ตอนบ่าย

Prambanan Temple

ปรางค์องค์หน้าครับ

Prambanan Temple

ข้างในก็มีรูปปั้นอยู่ (เป็นรูปปั้นจำลองที่สร้างขึ้นใหม่)

Prambanan Temple

ลวดลายด้านนอก แบบชัดๆ

Prambanan Temple

Prambanan Temple

มุมย้อนแสง

20140724_162134

Prambanan Temple

อีกด้านที่แสงลงพอดีก็สวยหน่อย

Prambanan Temple

ตอนเดินเข้า เค้าให้เข้าด้านหน้า แต่ขาออกให้ออกประตูด้านข้างครับ

Prambanan Temple

ดูไกลๆ ก็สวยดีครับ

Prambanan Temple

ทางออกจะต้องผ่านร้านค้ามากมาย เดินผ่านร้านขายน้ำช่วงที่ไม่มีคนพอดี ก็จะเจอแม่ค้ารุมเรียกให้มากินมะพร้าวกัน น่ากลัวมาก ฮ่า

Prambanan Temple

สรุปแล้วคือ วัดพรามบานันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของยอกยาการ์ตา ถึงแม้ชื่อเสียงในตลาดโลกจะด้อยกว่าบุโรพุทโธอยู่บ้าง แต่ดีกรีความสวยงามนั้นไม่ด้อยไปกว่ากัน (แถมมาง่ายกว่ากันมาก) ใครแวะผ่านมาก็ไม่ควรพลาด (ใกล้ๆ วัดยังมีเวทีแสดงแสงสีเสียงตอนกลางคืนด้วย อารมห์เหมือนพิมาย-พนมรุ้ง แต่ไม่ได้ดูนะครับ)

ทริปเที่ยวยอกยาการ์ตาคงจบลงเท่านี้ ตอนหน้าเราจะไปบาหลีกันแล้ว

Viewing all 557 articles
Browse latest View live




Latest Images