Quantcast
Channel: Isriya Paireepairit blogs
Viewing all 557 articles
Browse latest View live

Planning

$
0
0

วันนี้ได้มีโอกาสไปร่วมประชุมแผนแม่บทกับองค์กรแห่งหนึ่ง เป็นการประชุมขนาดค่อนข้างใหญ่คือผู้เข้าร่วมประมาณ 100 คน เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร+ที่ปรึกษาภายนอกบางส่วน

มาจดบทเรียนที่ได้จากการประชุมแผนไว้เตือนตัวเองสักหน่อย

  • ถ้อยคำและกลวิธีในการเขียนแผนสำคัญมาก เพราะสิ่งที่จะถูกแจกออกไปคือ "ตัวแผน" ไม่ใช่ "ถ้อยคำอธิบาแผน" ดังนั้นต่อให้การประชุมแผนถกเถียงกันเยอะ คิดละเอียดรอบคอบแค่ไหน แต่ถ้าไม่สามารถอธิบายหงาดเหงื่อแรงกายเหล่านี้ไว้ในแผนได้ (ด้วยการเขียนที่มัน self-descriptive) คนอ่านแผนก็จะรู้สึกว่าแผนมันไม่รอบคอบ ไม่ครอบคลุม ไม่สมบูรณ์อยู่ดี และคนทำแผนก็ต้องเหนื่อยมาอธิบายซ้ำๆ ซากๆ
  • จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำแผน ไม่ใช้การได้มาซึ่งเอกสารกระดาษที่เรียกว่า "แผน" แต่เป็นความเข้าใจร่วมกันของคนในองค์กร (ซึ่งเป็นคนทำงานจริงๆ) ว่าจะทำอะไรกันบ้างในอนาคตเบื้องหน้าต่างหาก ดังนั้นสิ่งสำคัญในการประชุมแผนคือโอกาสในการถกเถียง เปิดเผยมุมมอง ความเห็น ระหว่างคนในองค์กรด้วยกันเอง ซึ่งสุดท้ายแล้วมันอาจจบลงด้วยแผนเดิมโดยไม่แก้อะไรด้วยซ้ำ ฟังดูอาจไม่มี productivity แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังคือความเข้าใจของคนในองค์กรที่เพิ่มขึ้นอีกมากต่างหาก
  • ยิ่งองค์กรยิ่งใหญ่ การทำแผนคือภาพสะท้อนของการเมืองภายในองค์กร (ซึ่งมีปกติทุกองค์กร) เพราะทุกฝ่ายก็ต้องการจะผลัก agenda ของตัวเองลงในแผน ซึ่งถ้าฝ่ายที่มีอำนาจตัดสินใจยอมรับข้อเสนอทั้งหมด มันก็จะกลายเป็นแผนรวมมิตรยาวเฟื้อยที่ไม่มีใครอ่าน แต่ถ้าไม่เอาข้อเสนอก็จะมีคนน้อยใจและไม่พอใจ อันนี้ต้องบาลานซ์กันเอง

Credit Card Renewal

$
0
0

บัตรเครดิตใบแรกเพิ่งหมดอายุไปครับ เนื่องจากว่าเพิ่งเคยมีเป็นใบแรก ก็เลยไม่รู้ว่ามันต้องทำอย่างไรบ้าง ตอนแรกเลยงงๆ เหมือนกัน

แต่ช่วงใกล้ๆ หมดก็มีจดหมายแจ้งมาจากธนาคาร (ของผมใช้ SCB) ว่าบัตรเครดิตของท่านกำลังจะหมดอายุ เดี๋ยวธนาคารจะส่งใบใหม่มาให้ภายในเดือนสุดท้ายก่อนหมดอายุ

สักพัก จดหมายลึกลับ (ตามธรรมเนียมการส่งบัตรเครดิต) ก็จะส่งมาที่บ้าน พร้อมบัตรเครดิตเลขเดิม ระดับเดิม วงเงินเดิม แต่เป็นใบใหม่ เปลี่ยนวันหมดอายุ (แหงล่ะ) และโค้ดลับด้านหลังบัตร โดยบัตรจะใช้ได้วันที่ 1 ของเดือนถัดไป

ในซองไม่ได้ส่ง PIN ใหม่มาให้ด้วย อันนี้ผมเข้าใจว่าใช้ PIN เดิมได้แต่ก็ยังไม่ได้ลอง ต้องหาข้อมูลกันต่อไป

การใช้บัตรใหม่ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะแค่เปลี่ยนบัตร แต่ในโลกออนไลน์ที่ผูกบัตรไว้กับบริการออนไลน์ต่างๆ ก็ต้องทยอยเปลี่ยน ที่นึกออกว่าต้องทำก็มี

  • PayPal อันนี้สำคัญที่สุด
  • Amazon
  • Google Checkout ที่ตอนนี้กลายเป็น Google Wallet ไปแล้ว

ไหนๆ ส่งใบใหม่มาให้ก็น่าจะเลื่อนชั้นให้หน่อยสิ!!!

Changing Windows 7 Minimize-Maximize Button Size

$
0
0

เครื่อง Gateway ที่ซื้อมาใหม่ มาพร้อมกับ Windows 7 ซึ่งตั้งค่ามาพิเศษให้ปุ่ม Minimize-Maximize-Close มุมขวาบนของหน้าต่างนั้นใหญ่กว่าปกติ

ผมเข้าใจเอาเองว่าปรับมาให้เหมาะกับหน้าจอทัชสกรีน จะได้กดปิดหน้าต่างง่ายๆ (จอมันเป็น 1080p ซึ่งละเอียดในระดับหนึ่ง)

titlebar ใหญ่เกินไปไม่ใช่ปัญหานัก แต่ Firefox ดันไม่รู้จัก titlebar ขนาดนี้ ทำให้ไม่ยอมปรับขนาดของแท็บในแนวตั้งให้ล้อกับขนาดของ titlebar ไปด้วย

ผลคือ "ช่องว่าง" ระหว่างขอบบนของหน้าต่าง กับแท็บใน Firefox

ช่องว่างอันนี้เห็นเล็กๆ ไม่กี่พิกเซลแต่เป็นเรื่องใหญ่มากครับ เพราะมันผิดหลัก Fitt's Law ด้าน usability เข้าเต็มๆ คือเราไม่สามารถลากเมาส์ไปชนขอบบนเพื่อเลือกแท็บได้ ต้อง "ตั้งใจเล็ง" ให้ถูกเท่านั้น ซึ่งมันเปลืองแรงกว่ากันมาก (และเป็นเหตุผลที่ผมเกลียด Opera ที่ทำแบบนี้) ลองหาวิธีปรับขนาดปุ่ม Minimize-Maximize-Close อยู่พักหนึ่งก็ไม่เจอ เลยต้องพึ่งบริการกูเกิล และพบว่ามันซ่อนอยู่ลึกลับซับซ้อนไม่ใช่เล่น (ของ Windows 7 นะ)

สรุปว่ามันอยู่ในหน้า Personalize > Window Color > Advanced ก็จะพบกับหน้าต่างตั้งค่า Windows Color and Appearance ที่คุ้นเคยมาให้ปรับขนาดกัน

ของเดิมเป็น 30 พอยต์ ผมเปลี่ยนกลับมาเป็น 24 พอยต์ก็เรียบร้อยด้วยดี

ขอบคุณกระทู้ใน TechNet

ร่องรอยน้ำท่วม ซ.แจ้งวัฒนะ 14

$
0
0

เข้าไปดูเมื่อวันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2554 เลยเอามาแปะเป็นที่ระลึกครับ ไม่รู้จะบรรยายภาพว่าอะไรบ้าง ก็ทำเป็น slideshow เลื่อนไปเรื่อยๆ แล้วกัน สะดวกคนเขียนเข้าว่า

เพชรพระอุมา ภาคแรก

$
0
0

สุดยอดนิยายในตำนาน เคยคิดจะอ่านหลายครั้งแต่ใจไม่กล้าพอ (เพราะกลัวจะติด) แต่ในที่สุดชีวิตนี้ก็มีโอกาสได้สัมผัสอยู่ดี

ในฐานะที่อ่านจบภาคแรก (24 เล่ม) ก็ขอมาบันทึกความประทับใจไว้สักหน่อย

เพชรพระอุมา

หมายเหตุ: ขอบคุณร้านเช่าหนังสือ และห้องสมุดจุฬาที่ช่วยให้ผมอ่านจนจบภาคแรก

โดยรวมๆ แล้วผมรู้สึกว่า สิ่งที่ดีที่สุดใน "เพชรพระอุมา" คือการสร้างคาแรกเตอร์ของตัวละครหลักที่ลงตัวมากๆ คือถึงแม้ว่าคาแรกเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็น stereotype มาตรฐานที่พบได้ทั่วไป (เช่น พระเอกขี้เก็ก, นางเอกสูงศักดิ์, ตัวฮา, ตัวใช้กำลัง, ตัวลึกลับ ฯลฯ) แต่พอนำมาประกอบกันแล้วลงตัวสวยงามจริงๆ

ความเจ๋งขั้นสองของพนมเทียนคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่พัฒนาไปตามเนื้อเรื่อง และกลายเป็นรสชาติของหนังสือควบคู่ไปกับการเดินเรื่องตามปกติ คู่ที่เด่นที่สุดคงเป็น รพินทร์-แงซาย (ตอนหลังมันแบบ Y นะ) ตามด้วยรพินทร์-ดาริน และดาริน-มาเรีย

ส่วนการเดินเรื่องก็เจ๋งตรงที่ เราสามารถหั่นมันเป็นตอนๆ แล้วนำมาทำเกม Action แบบ Tomb Raider หรือ RPG ญี่ปุ่นได้เลย คือเป็นสเตจมีความยาวพอตัว มีบอสเป็นระยะ และที่ทำได้ดีคือการเชื่อมต่อระหว่าง arc หรือเนื้อเรื่องแต่ละส่วนที่เนียนมาก ที่สำคัญยังตัดสลับระหว่างบทบู๊กับบทโรแมนซ์ได้ลงตัวไม่น่าเบื่อ

สิ่งที่ทำได้ดีอีกประการคือ settings หรือฉากหลัง องค์ประกอบเบื้องหลังของเรื่องที่สมจริงมาก โดยเฉพาะเรื่องป่าและปืน จะมีหลุดๆ ไปนิดคือช่วงป่าโลกล้านปีที่แฟนตาซีไปสักหน่อย

สรุปรวมๆ ก็เป็น masterpiece นั่นล่ะครับ

ส่วนจุดที่อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่เนียนเท่าที่ควร

  • ช่วงนิทรานครเหมือนจะเป็น side story/side quest ที่มาคั่นกลางระหว่างป่าปกติกับมรกตนคร แต่รู้สึกว่าเป็น side quest ที่ยาวเกินควร คือไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักมากนัก
  • ช่วงมรกตนครกลับรู้สึกว่าเขียนรีบๆ ไปนิด หลายอย่างมันง่ายเกินไป ไม่ว่าจะเป็นคาแรกเตอร์ของ "เมยาณี" ที่ปั้นดีๆ ได้เจ๋งกว่านี้เยอะ และการต่อสู้กับแม่มดที่ตัดทิ้งไปเฉยเลย
  • คาแรกเตอร์ของ "หนานอิน" ที่มันแบนๆ ไปหน่อย

อีกอย่างที่รู้สึกว่ายังขาดไปคือ "แผนที่" แสดงเส้นทางการเดินทางในเรื่อง คนที่อ่าน Lord of the Rings มาคงรู้ว่ามีแผนที่แล้วมันช่วยให้การผจญภัยสนุกขึ้นมาก!

ช่วงที่สนุกที่สุดคงเป็นตั้งแต่ตอนแรกสุดถึงหมู่บ้านหล่มช้าง ที่ยังเป็นป่าเรียลลิสติกอยู่ พอเข้าโซน "นรกดำ" เริ่มแฟนตาซีโอเวอร์ไปหน่อย แล้วกลับมาสนุกอีกทีช่วงก่อนเข้ามรกตนครครับ

ผู้สันทัดกรณีคนหนึ่งให้ความเห็นว่า "ภาคแรกพนมเทียนเป็นเทวดา ภาคหลังดูถูกผู้อ่านมาก" เลยทำให้ผมลังเลว่าจะอ่านภาคสองดีหรือไม่

หมายเหตุ: "เพชรพระอุมา" นำโครงเรื่องหลักมาจาก King Solomon's Mines นิยายของ Rider Haggard (ในเรื่องเองก็มีพูดถึงแฮกการ์ดนิดหน่อยด้วย) ใครขยันก็ตามไปอ่านต้นฉบับได้ที่ Project Gutenberg (เล่มเดียวจบ)

Galaxy Tab 7 - Battery

$
0
0

เพิ่งเอา Galaxy Tab Original ไปเปลี่ยนแบตมา ก็แชร์ไว้สักนิดเผื่อมีประโยชน์กับชาวบ้าน

แบตที่มากับเครื่องรับประกัน 9 เดือน (ของผมเคลมช้าไป 2 วัน T_T) ซื้อแบตใหม่ราคา 1,135 บาท รวมแวตแล้ว

แบตใหม่จะประกันแค่ 3 เดือนครับ ศูนย์ Samsung ที่ฟอร์จูน บริการดี อัพเฟิร์มแวร์ให้ด้วย (แน่นอนว่า wipe) โทรมาแจ้งค่าใช้จ่ายก่อน และโทรมาเรียกตอนงานเสร็จแล้ว เสียนิดเดียวคนเยอะมาก และที่นั่งน้อยไปนิด

หน้าตาแบตก็ตามภาพ เค้าให้กลับมาด้วย (จะเอาไปทำอะไร?)

Windows 7 - Enabling Hibernate

$
0
0

หลังจากปัญหา ปุ่ม minimize-maximize ใหญ่เกินไป ยังต้องตามเซ็ต Windows 7 ต่อไป

ปัญหาที่พบใหม่คือ Windows 7 เวอร์ชันของ Gateway ไม่มีคำสั่ง Hibernate ในปุ่ม Shutdown (คือมีแต่ Sleep และข้ามมา Shutdown เลย) อันนี้ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าเพราะอะไร

Hibernate เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผม เพราะบางครั้งเรารู้ว่าจะต้องปิดเครื่องเป็นเวลานาน (เช่น ออกจากบ้านไปทำงาน) แต่ก็ยังมีงานค้างอยู่ (ซึ่งก็คือแท็บบนเบราว์เซอร์นั่นแหละ) จะใช้ sleep แบบธรรมดาก็ไม่ควรเพราะเปลืองไฟ (เนื่องจากเรารู้กำหนดเวลาแน่นอนว่าจะกลับมาใช้คอมพิวเตอร์อีกครั้งเมื่อไร) Hibernate จึงเป็นคำสั่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้

ทางแก้ดูได้จาก Microsoft Answer ขั้นตอนคือ

  • พิมพ์คำสั่ง powercfg /hibernate on ใน cmd โหมด admin
  • ตั้งค่า Hybrid Sleep ใน Advanced Power Management เป็น Off (ค่าปกติคือ On)

จากนั้นเมนู Hibernate จะกลับคืนมาให้เห็นครับ

Cities I've Visited

$
0
0

เล่นแอพนี้มานานชาติเศษแล้ว เพิ่งมาเจออีกทีตอนจะลบแอพเก่าๆ ใน Facebook ทิ้ง และเห็นว่ามันเอาแผนที่มาแปะนอกแอพได้ด้วย เลยแปะไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยครับ

Keyword:


ท่าฉลอม สมุทรสาคร

$
0
0

ท่าฉลอมอยู่ในเขต จ.สมุทรสาคร ใครที่ขับรถลงใต้คงผ่านกันบ่อยๆ ข้ามแม่น้ำท่าจีนปุ๊บก็เจอปั๊บ แต่ผมก็ไม่เคยได้แวะผ่านซักที ช่วงหยุดยาวเลยถือโอกาสแวะเที่ยวสักหน่อย เลือกมาวันกลางเพื่อที่คนจะได้ไม่เยอะครับ

ดูจากแผนที่แล้ว รูปทรงเหมือน placemark ใน google map เด๊ะ ท่าฉลอมจะอยู่ตรงกันข้ามฝั่งแม่น้ำท่าจีนกับ อ.มหาชัย ในเพลง "พี่อยู่ไกลถึงท่าฉลอม" จึงเป็นเรื่องของหนุ่มมหาชัยที่ไปพบรักกับสาวมหาชัยนั่นเอง

ท่าฉลอมเป็นเมืองสุขาภิบาลแห่งแรกของไทย ตั้งแต่สมัย ร.5 ช่วงที่เสด็จมาที่นี่ถนนหนทางไม่ค่อยเรียบร้อย หลังเสด็จกลับชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างถนนถวายพระองค์ท่าน และได้รับพระราชทานชื่อว่า "ถนนถวาย" ถือว่าเป็นถนนสายแรกของท่าฉลอมเช่นกัน

อนุสาวรีย์ ร.5 ตั้งอยู่ที่วัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม)

IMG_3885

เสาไฟฟ้า ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของ ถ.อักษะ (เดี๋ยวนี้ทำกันเยอะ) แต่เปลี่ยนมาใช้รูปเรือแทน มีธงช้างเผือกไว้บอก timeline

IMG_38ว86

วัดช่องลมอยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน อากาศกำลังเย็นแบบนี้ เริ่มมีนกนางแอ่นอพยพลงมา ที่วิหารหลวงปู่แก้วมีนกนางแอ่นมาทำรังกันเยอะจนกำแพงด้านข้างกลายเป็น wallpaper ตามธรรมชาติ

IMG_3887

โบสถ์ที่อยู่ข้างๆ กันเพิ่งสร้างใหม่ (มีมุ้งกันนก) ผนังลวดลายวิจิตร สีคมชัด

IMG_3892

ขับรถวนรอบๆ เมือง บริเวณริมน้ำตรงข้ามท่ามหาชัยค่อนข้างหนาแน่น ดูเป็นชุมชนโบราณ บ้างเป็นเรือนไม้ บ้างเป็นเรือนตึก บางตึกจะระบุปี ค.ศ. ที่สร้างไว้ หากรักษาสภาพก่อนหน้านี้ไว้ดีๆ น่าจะเป็น location ถ่ายหนังย้อนยุคได้สบายๆ เหมือนกัน

บ้านคหบดีเก่า ตระกูล "ศิลาสุวรรณ" สถาปัตยกรรมขนมปังขิง ในรูปเป็นแค่ขอบรั้ว ตัวบ้านจริงอยู่ด้านหลัง ทำด้วยไม้สักทองตั้งแต่สมัย ร.6 ยุคนั้นอยู่กัน 60-70 คน เคยรับแขกบ้านแขกเมืองหลายครา เสียดายที่ไม่ได้เปิดให้เข้าชม สนใจลองดูได้จากคลิปนี้

IMG_3896

เมืองนี้ศาลเจ้าจีนค่อนข้างเยอะ แทรกอยู่ทุกมุมคล้ายๆ เยาวราช แต่ไม่ได้แวะลงไปดู เพราะบางจุดก็หาที่จอดรถลำบากเหลือเกิน ที่สะดุดตาสุดน่าจะเป็นอุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิมซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดช่องลม ทุกเดือน พ.ย. จะมีงานนมัสการเจ้าแม่กวนอิม (ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นช่วงใกล้ๆ กับงานปลาทูที่ท่าฉลอม)

ที่ข้อพระหัตถ์เป็นสายสิญจน์เส้นใหญ่ๆ ร้อยไปหาโคมไฟของผู้มาทำบุญเสริมดวงชะตา

IMG_3899

Teaser ตอนหน้า เมื่อมาถึงถิ่นปลาทู ก็ต้องลองซักหน่อยครับ

ปลาทูอร่อยที่ท่าฉลอม

Seminar Channel

$
0
0

ผมไปงานสัมมนาที่เป็นกึ่งวิชาการ (คือหัวข้อเกี่ยวข้องกับงานสายวิชาการ เชิญนักวิชาการมาพูดคุยประเด็นต่างๆ แต่ไม่ใช่ academic paper presentation) มาเยอะพอสมควร ทั้งที่จัดเองและไปงานของคนอื่น สิ่งที่พบคือการสนทนาของผู้ร่วมเวทีน่าสนใจมาก และเป็นประโยชน์มากถ้าเราสามารถนำไปให้คนที่ควรจะเกี่ยวข้องได้รับทราบเอาไว้

ปัญหาคือ เราไม่มีทางอื่นเลยที่จะเข้าถึง "เนื้อหา" เหล่านี้ นอกจากไปฟังด้วยตัวเอง

Print

ข้อจำกัดทางพื้นที่สื่อ และข้อจำกัดเรื่องความเชี่ยวชาญของสื่อ ทำให้การจดประเด็นโดยนักข่าวเพื่อมาลงสื่อสิ่งพิมพ์ (ไม่ว่าจะออนไลน์หรือฉบับกระดาษ) นั้น "ลดทอน" เนื้อหาจากการสัมมนาไปมาก (แถมสื่อส่วนใหญ่มักรอสัมภาษณ์นักวิชาการหลังงานเลิก แล้วเอาเนื้อหาส่วนนี้มาลงพิมพ์มากกว่าเนื้อหาในงานด้วยซ้ำ)

เท่าที่ผมเห็น สื่อที่เก็บรายละเอียดของงานสัมมนาได้ค่อนข้างดีคือ ประชาไท และ thaireform.in.th ซึ่งดำเนินการโดยสำนักข่าวอิศรา แต่ก็จำกัดเฉพาะงานที่มีหัวข้อตรงกับสื่อเหล่านี้สนใจอยู่ดี (ประชาไทคงไม่ทำข่าวงานสัมมนาด้านการตลาด)

TV

ส่วนงานสัมมนาใหญ่ๆ สิ่งที่เห็นบ่อยคือกล้องทีวีของช่องต่างๆ ทั้งฟรีทีวีและที่พบบ่อยในระยะหลังคือช่องดาวเทียม กล้องเหล่านี้จะถ่ายบรรยากาศในงาน ถ่ายการพูดของวิทยากรร่วมเวทีจำนวนหนึ่ง และหายไปจากสายตาในช่วงครึ่งหลังของงานเสมอ

ที่น่าเสียดายไปกว่านั้นคือ วิดีโอที่เป็น "บันทึก" (recording) เหล่านี้จะถูกนำมาตัดต่อจนสั้นไม่เกิน 1-2 นาทีสำหรับข่าวภาคค่ำเสียเป็นส่วนใหญ่ น่าเสียดาย "บันทึก" ฉบับเต็มที่ถูกถ่ายมาเก็บไว้ในคลังของสถานีทีวีเป็นอย่างยิ่ง

Audio

สิ่งที่พอหาได้บ้างสำหรับงานสัมมนาบางงาน ก็มีเพียงไฟล์เสียงที่บันทึกมาโดยผู้เข้าฟังงานสัมมนา และนำมาเผยแพร่บนเว็บเท่านั้น แถมส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่การบันทึกเสียงที่เป็นมืออาชีพมากนัก คือใช้เครื่องอัดส่วนตัว อัดเสียงจากอากาศอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่การเชื่อมตรงกับระบบเสียงของเวที คุณภาพมักจะแย่ ฟังยาก มีเสียงพูดคุย เสียงริงโทนมาคั่นอยู่เรื่อยๆ (แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย)

ประสบการณ์ส่วนตัว

ในฐานะที่ SIU จัดงานสัมมนามาหลายรอบ ก็พยายามบันทึกการสนทนาทั้งหมดเก็บไว้เป็นวิดีโอ และอัพลง YouTube (Playlist) "เผื่อว่า" จะมีเป็นประโยชน์ต่อใครบ้าง (สักนิดก็ยังดี) จากนั้นจะนำบางส่วนที่จัดเข้าเป็นธีมได้ มาถอดเทปและจัดทำเป็นหนังสือต่อไป

มีประโยชน์ไหม มีแน่นอนครับ แต่ถามว่าคุ้มค่าการลงทุนไหม ค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงมากแต่ก็ไม่คุ้มเลยครับ โดยเฉพาะในเชิงพาณิชย์

ทางออกก็คือเราต้องเลือกถ่ายบันทึกเป็นบางงานเท่านั้น คัดเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ งานใหญ่ วิทยากรดัง ซึ่งบางครั้งก็น่าเสียดายว่างานเล็กๆ หลายงานที่เนื้อหาดีมีสาระกลับขาดบันทึกเป็นวิดีโอไป

ไอเดีย

เท่าที่ผมมีประสบการณ์มา การถ่ายวิดีโอเพื่อ "บันทึก" การสัมมนานั้นไม่แพงมาก และใช้เครื่องมือไม่เยอะ ขอเพียงแค่กล้องวิดีโอสักตัว คนถ่ายสักคน การตัดต่อเล็กน้อย แค่นี้เท่านั้น ที่เหลือก็โยนขึ้น YouTube อย่างเดียวไม่ต้องแคร์อะไรแล้ว

ดังนั้นถ้าเราสามารถหา "หน่วยถ่ายวิดีโอ" มาไล่ถ่ายงานสัมมนาที่น่าสนใจ (ซึ่งมีแทบทุกวัน) แล้วเก็บเป็น archive เอาไว้บนอินเทอร์เน็ตได้ น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าพอสมควร ใช้เพียงค่าอุปกรณ์ (ซึ่งก็ไม่ได้แพงอะไร) และค่าจ้างมือถ่ายวิดีโอ+ตัดต่อเท่านั้น

ปัญหาก็อย่างเดิมๆ คือ commercial feasible ว่าสามารถเลี้ยงตัวเองได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเป็นโครงการขอทุนจากหน่วยงานบางแห่ง (ซึ่งก็ไม่ยั่งยืนเท่า)

ครัวชาวสมุทร ท่าฉลอม

$
0
0

จุดเริ่มต้นของการมาท่าฉลอมในครั้งนี้อยู่ที่ปลาทูครับ เนื่องจากเริ่มเบื่อกับอาหารแห้งที่สต็อกไว้ช่วงน้ำท่วม พอมีจังหวะหยุดสามวันเลยออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

ทีแแรกว่าจะไปแม่กลอง แต่พอ search ใน Google แล้วก็พบว่าที่ท่าฉลอมก็มีเทศกาลปลาทูกับเค้าเหมือนกัน ท่าฉลอมจัดช่วง พ.ย. ส่วนแม่กลองจัดช่วง ธ.ค. แต่ปีนี้น้ำท่วมที่ท่าฉลอมเลยไม่ได้จัดงาน

ไม่เป็นไร เรากินเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องถึงหน้าเทศกาล

ร้านครัวชาวสมุทรตั้งอยู่ติดกับวัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม) ผมสุ่มๆ ร้านมาจาก Pantip เห็นว่าเป็นร้านดั้งเดิม บรรยากาศบ้านๆ ทำครัวเปิดกันกลางร้าน ไม่ดีจริงคนท้องที่คงไม่รีวิว

หน้าตาร้านก็ตามรูป (พิกัด Foursquare)

ครัวชาวสมุทร

หลังจากติดใจปลาทูสดทอดที่ร้านปลาทูรวย มาเยือนถิ่นปลาทูทั้งทีมีหรือจะพลาด ทางร้านก็จัดเต็ม ทอดทีเป็นฝูง ระหว่างทอดก็กลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งร้าน

จานนี้แนะนำครับ ปลาทูสดหน้าไม่งอ คอไม่หัก กรอบนอกนุ่มใน รสเค็มทะเลจางๆ ของปลาทูสด จิ้มกับพริกน้ำปลาธรรมดาๆ นี่แหละเด็ดมาก

ปลาทูสดทอด

จานต่อไป ปลากระพงทอดสมุนไพร เครื่องไม่ยั้ง แถมมีเม็ดมะม่วงมาให้ด้วย ปลากระพงก็ทอดกรอบแบบ deep fried ติดตรงน้ำจิ้มสูตรนี้เหนียวไปหน่อย ไว้มาคราวหน้าต้องลองยำตะไคร้ท่าทางจะแซบกว่า

ปลากระพงสมุนไพร

จานสุดท้าย เต้าหู้ปูกระทะร้อน เป็นการผสานระหว่างอาหารทะเลกับอาหารบกที่ลงตัว เต้าหู้ทอดกรอบ ผักกรุบๆ เคล้ากับเนื้อปูนิ่มๆ ที่หมกอยู่ในกองเต้าหู้ รสชาติน้ำแดงไปทางผัดน้ำมันหอย ส่วนผสมทั้งหมดช่วยเพิ่มวิตามินประจำมื้อได้เป็นอย่างดี จานนี้ให้คะแนนความคิดสร้างสรรค์เต็มครับ

เต้าหู้เนื้อปู

ป้ายการันตีความอร่อย แบบไม่ต้องมีแม่ช้อยมารำ

ครัวชาวสมุทร

ใครชอบร้านบ้านๆ อาหารอร่อย ไม่เน้นวิวสวย เชิญตามลายแทงครับ

The Third Paper

$
0
0

Just talked with my friend @smartbrain and he told me native Thai bloggers who blog in English are extremely rare. So I'll try more to blog in English again.

My issue is the English-language newspaper in Thailand.

Currently we have two major English newspaper: Bangkok Post and The Nation. Nothing else.

Thailand is not-so-big-not-so-small country which has its own native language. Almost all Thai residents prefer communicating only in Thai (similar to those East Asian countries). This is the reason why Thai papers are a lot more popular. The Thai Rath empire is my support evidence.

Surely, we need some kind of communication in English. We have many foreign residents, expats and we need to connect to the world. This requirement is the same everywhere (I read The Jakarta Post occasionally to understand Indonesian situation). However, our market size is smaller compared to Japan or Indonesia. Hence, the total advertisement budget targeting English readers can support only TWO national newspapers.

As a consumer, I, and you, want more competition in this field.

The Nation lives in its own tower and has its own interest and Bangkok Post content quality has dropped significantly after the big shuffle. My sources told me that Bangkok Post now shift to boutique and glamorous newspaper for celebrity society. Forget the old serious one!

I can say we need the third one. A better choice.

I think the demand for a new paper from English readers is substantial. That's why a number of people now turn to online blog like Bangkok Pundit or New Mandala. I'm a Pundit fan as well but in reality, a blog like this is not enough. What we need is the real paper with real field journalists hunting stories for us.

I think the third paper (probably online-only) is business feasible. Many people will pay for it (if the quality level is matched). What I don't have for now is the real statistic to support my statement. That's the work to be done.

With my writing skill, I can't start it on my own. But if there's any investor around with the same passion, I will definitely jump in.

Keyword:

Immortals

$
0
0

หนังเรื่อง 300 ถือเป็นหนังยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งในใจ พอมี Immortals ที่ทำโดยทีมงานเดียวกัน ใช้สไตล์ภาพคล้ายๆ กัน ก็เลยไปดูเสียหน่อย

ปรากฏว่า #ผมโดนธนูอมตะปักที่เข่า (ไม่เก็ต? อ่าน)

คำเตือน: spoiler

งานภาพทำได้ตื่นตาตื่นใจเช่นเคย (ถึงแม้จะไม่ใช่ของใหม่แล้วก็ตาม) ฉากแอคชันหลายๆ ฉากทำได้ดี กำกับศิลป์สวย แต่... บทหนังเข้าขั้นแย่

  • โครงเรื่องโดยรวมจะคล้ายคลึงกับเรื่อง The Scorpion King คือการผจญภัยของทาสหรือไพร่ไร้ชื่อเสียง ต้องเจอกับสาวงาม และเผชิญหน้ากับทรราชย์ เพียงแต่เปลี่ยนฉากหลังมาเป็นกรีซแทนอียิปต์
  • โครงเรื่องของ Immortals นั้นดีมาก ถือเป็น epic ตามแบบมหากาพย์กรีกได้เลย คือเป็นเรื่องของ ฮีโร่ ที่ต้องผจญภัยท่ามกลางสงครามและทวยเทพ เผชิญหน้ากับกองทัพศัตรู สัตว์ประหลาด ใช้อาวุธวิเศษ เดินทางกับพวกพ้อง ฯลฯ
  • แต่โครงเรื่องแบบนี้มีรายละเอียดมาก ความสัมพันธ์ของตัวละครเยอะ ตัวละครหลักก็ต้องมีพัฒนาการ ซึ่งมันทำไม่ได้หรอกในหนังความยาว 2 ชม. แบบนี้
  • ผลก็คือตัวละครถูกยัดเยียดเข้ามาให้ดูเยอะๆ แต่ละตัวเลยมีบทบาทน้อยมากๆ หนังเลยพลอยห่วยไปด้วย มันเลยดูขาดๆ เกินๆ ไปหมด
  • ตัวที่แย่ที่สุดคือพระที่ถูกตัดลิ้น ซึ่งไม่มีบทบาทอะไรในเรื่องเลยยกเว้นพาพวกพระเอกไปติดกับ (แล้วโดนฆ่า) ไม่เข้าใจว่าใส่มาทำไม
  • บทบาทของเทพธิดาพยากรณ์และหัวขโมย ซึ่งเป็นเพื่อนร่วม party กับตัวเอก ก็พยายามจะสร้างความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขึ้นมา (เช่น หัวขโมยตอนแรกไม่อยากช่วยเหลือ แต่ตอนหลังเห็นใจและเข้าร่วม กลายเป็นคนสนิทของพระเอก ซึ่งเป็นบทแบบ Han Solo ในสตาร์วอร์ส) แต่พอเรื่องมันต้องสั้น มันเลยดูรวบรัดมาก (โดยเฉพาะเทพธิดาพยากรณ์นี่รวบรัดจริงๆ อุอุ)
  • บทบาทของเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายยิ่งน้อยลงไปใหญ่ ใครที่ดูเทรลเลอร์แล้วอยากเห็นเทพเจ้ารบกันคงต้องผิดหวัง เพราะมีแค่ในเทรลเลอร์นั่นล่ะครับ เราไม่รู้จักเทพเจ้าบางองค์ในเรื่องด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร ยกเว้นซูส อาธีน่า โพไซดอน ที่มีบทให้โชว์สักหน่อย ที่เหลือไม่รู้ชื่อเลยด้วยซ้ำ (ออกมาจากโรงแล้ว ต้องไปอ่านเว็บถึงรู้ว่าเทพที่โดนซูสฆ่าคือ อาเรส และเทพที่เหลืออีกสององค์คือ อพอลโล กับ เฮราเคลส)
  • ซูสเป็นเทพเจ้า (และตัวละคร) ที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุดในเรื่อง ตอนแรกฝากความหวังไว้ที่ธีซูส (พระเอก) แต่พระเอกยังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ไปโกรธพวกมนุษย์ว่าไม่มีผลงานเข้าซะแล้ว แถมไปฆ่าอาเรสทิ้งแบบไม่ค่อยมีเหตุผล ที่ไม่มีเหตุผลยิ่งกว่าคือทัพตัวเองออกมาสู้ตอนหลังก็ดันแพ้เขา (แล้วไปฆ่าทิ้งทำไมฟะ) ตอนท้ายถล่มเขาเพื่อกำจัดศัตรู คิดว่าจบศึกแล้ว ที่ไหนได้ ข้าศึกยังบุกไปสวรรค์ได้อีกด้วยซ้ำ (แล้วจะถล่มเขาไปทำไม)
  • นอกจากนี้ซูสยังสองมาตรฐานสุดๆ คือ ฆ่าอาเรส ไม่ทำอะไรอาธีน่า และไม่สนใจโพไซดอนเลยแม้แต่น้อย
  • ตัวละครที่สมจริงที่สุดในเรื่องคงเป็นกษัติรย์ไฮพีเรียน ที่มีมิติและที่มาที่ไปพอสมควร ส่วนธีซุสพยายามแต่งเรื่องว่าแค้นศัตรูที่ฆ่าแม่ แต่ตอนกลางๆ ก็เหมือนจะตัดทิ้งไปเฉยๆ เทียบกับแรงจูงใจและมิติของลีโอนิดาสใน 300 ไม่ได้เลยสักนิด
  • ตัวละครหลายตัวถูกลดบทบาทและศักยภาพไปอย่างน่าเสียดาย เช่น แม่ทัพเอเธนส์ที่ช่วยธีซูสไว้ (และควรจะกลายเป็นหัวหน้า-ครูของพระเอก) หายสาบสูญก่อนสงครามด้วยซ้ำ ในขณะที่ทหารกบฎ (ซึ่งควรจะเป็นคู่ปรับของธีซูส) ก็บิ้วท์มาตั้งนาน แล้วโผล่มาให้พระเอกฆ่าทิ้งแบบง่ายๆ ไร้เหตุผล
  • ประเด็นที่งงตอนดูหนัง แต่พอมาอ่านเว็บแล้วถึงเก็ต คือ "ธีซูส" ต้นฉบับในปกรณัมคือฮีโร่ที่พิชิตมิโนทอร์ในเขาวงกต ซึ่งเรื่องนี้ก็นำโครงตรงนี้มาใช้ ทำให้สุสานของเมืองธีซุสนั้นเป็นเขาวงกต (ในหนังไม่ได้เน้น แต่ธีซูสต้องเอาเลือดหยดไว้เผื่อตอนขากลับ) และมีตัวมอนสเตอร์หัววัวออกมาสู้กันในนั้น ตามเรื่องแล้วธีซูสต้องตัดหัวมิโนทอร์ด้วย ทำให้ในหนังต้องตัดหัวตามซึ่งไม่ค่อยมีเหตุผลนัก
  • ประเด็นเล็กๆ ที่ผมชอบคือ เกราะของเทพในเรื่องนี้ทองอร่ามมาก ถ้าจะมีหนังเซนต์เซย่าและมีโกลด์คล็อธ มันควรจะสีแบบนี้แหละ!
  • หนังค่อนข้างโหดแบบ explicit นะครับ ซึ่งผมว่าไม่ค่อยจำเป็นสำหรับเรื่องเท่าไร (มันคงมีคนชอบแหละนะถึงต้องทำออกมาแบบนี้)
  • วันนี้เจอเพื่อนที่งานแต่ง คุยกันเรื่องนี้ เพื่อนถามว่าทำไมศร 4 ดอกยิงไม่พร้อมกัน แต่ไปถึงที่หมายพร้อมกัน #จริงว่ะ

สรุปคะแนนให้ 6/10 ไม่ถึงกับเสียดายเงินแต่ก็แย่กว่าที่ควรจะเป็นไปมาก ถ้ามีคนเอามารีเมคเป็นซีรีส์สัก 10 ตอนน่าจะเจ๋งทีเดียว

สำหรับคนที่ไม่คิดจะไปดู ดูเทรลเลอร์ 2 คลิปนี้ก็ได้ฉากสำคัญๆ ของหนังไปเกือบครบแล้วล่ะ

Keyword:

Hosted Services

$
0
0

เมื่อวานไปงานแต่งงานเพื่อนร่วมรุ่น เจอเพื่อนคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องระบบอีเมลในบริษัท

เรื่องมีอยู่ว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านไอที มีคนประมาณ 50 กว่าคน มีสต๊าฟด้านไอทีของตัวเอง เซ็ตระบบอีเมลของตัวเองใช้เอง ไม่มีปัญหาใดๆ

ปัญหาเกิดตอนน้ำท่วม ตึกอยู่ในโซนน้ำท่วม บริษัทมีนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ แต่...

เซิร์ฟเวอร์ของบริษัทอยู่ภายในตึก ซึ่งต้องตัดไฟบ่อยในช่วงน้ำท่วม ทำให้การทำงานจากระยะไกลมีปัญหา

บริษัทมีขนาดไม่ใหญ่มาก การตั้งเซิร์ฟเวอร์ใช้เองนั้นเหมาะสมแล้ว จะไปเช่า IDC เพื่อทำระบบให้สต๊าฟ 50 คนก็คงไม่คุ้มเท่าไร

ทางออกที่เหมาะสมที่สุดในเรื่องนี้คงเป็น hosted service ซึ่งถือเป็นการเอาท์ซอร์สแบบหนึ่ง โอนภาระในการดูแล e-mail stack (ซึ่งมันซับซ้อนนะ ตั้งแต่สถานที่ตั้งฮาร์ดแวร์ไปยังหน้าตาของเว็บเมล) ไปให้คนที่เชี่ยวชาญจริงๆ ดูแลแทน

hosted service นี่จะเป็นยี่ห้อไหนก็ได้ จะเป็นบริษัทไทยที่รับทำ (ซึ่งก็มีเยอะ) หรือจะไปใช้ระดับ Google Apps/Office 365 ก็ขึ้นกับ requirement ของแต่ละองค์กร

แต่ประเด็นของเพื่อนคนนี้คงเป็น use case แบบที่เราจะพบเห็นได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ enterprise IT ต่อจากนี้ไป

ขนมจีนไหหลำ @CTW

$
0
0

วันนี้ไปงานแถลงข่าวของ Motorola ช่วงเช้าที่ Centara Grand ตอนเที่ยงเลยแวะไปกินข้าวที่ CTW ก่อนกลับไปทำงานต่อตอนบ่าย

เนื่องจากว่าค่อนข้างรีบๆ เลยเลือกร้านเร็วๆ เห็นป้ายร้านชื่อ Hainan อยู่ตรงชั้น 7 แถวๆ บันไดเลื่อน เลยลองเสียหน่อย

Hainan, CTW 7th Floor

ตอนแรกกะว่าจะสั่งข้าวมันไก่ไหหลำ แต่มาเจอที่รองจานเลยเปลี่ยนใจ ลองของแปลกดีกว่า ข้าวมันไก่หากินได้ไม่ยาก

Hainan, CTW 7th Floor

ขนมจีนมีทั้งแบบน้ำใสและน้ำแดง โปะหน้าได้หลายอย่าง เช่น น่องไก่ ซี่โครงหมู ปลา ฯลฯ จานที่สั่งนี้เป็นขนมจีนเสต็กปลาน้ำแดง 95 บาท หน้าตาดูดี

ขนมจีนไหหลำ

ชื่อเป็นขนมจีน แต่เอาจริงแล้วมันจะคล้ายๆ เส้นอุด้งหรือเกี้ยมอี๋มากกว่าครับ ก็แปลกๆ ดี

ขนมจีนไหหลำ

จานที่เสิร์ฟมีซอสมาให้หนึ่งถ้วย เข้าใจว่ามันคือกะปิจีน นอกจากนี้ยังมีพวงเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยวแบบไทย แต่ผมไม่ได้ใส่ จริงๆ แล้วกินเปล่าๆ ก็พอใช้ได้นะ แต่ใส่กะปิจีนสักนิดก็แปลกดี

กะปิจีน

สรุปคือกินแล้วธรรมดา ไม่อร่อยเด้งประทับใจ แต่ก็ไม่แย่ ราคา 95 บาทก็พอไหวสำหรับการกินของแปลกบน CTW


One Day with Ice Cream Sandwich

$
0
0

ICS

ทนไม่ไหวเลยอัพเองไปก่อนเรียบร้อย 4.0.3 บน Nexus S

  • โดยรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่มันให้ความรู้สึกที่นุ่มลื่นมากขึ้น ประสบการณ์โดยรวมดีขึ้น (แต่ก็ยังมีกระตุกบ้างนานๆ ทีนะครับ) ผมคิดว่าตอนนี้ ICS อยู่ในสถานะที่ใช้ Stock UI ได้ 100% แล้ว ไม่ต้องใช้ custom skin ของ OEM อีกต่อไป
  • ICS บน Nexus S จะไม่ได้ใช้ปุ่มบนหน้าจอแบบ Galaxy Nexus โดยจะยังต้องใช้ปุ่มบนมือถือเหมือนเดิม จุดสำคัญคงเป็นปุ่ม Task ที่ไม่มีให้ใช้ ต้องกดปุ่ม Home ค้างแทน (ซึ่งจะเหมือนกับ 2.x) สิ่งที่ต่างมีแค่หน้าตาของ Task Switcher เท่านั้น เลยไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไร
  • เนื่องจากผมใช้ Honeycomb มาจะครบปีอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรเรื่องการเปลี่ยนวิธีเรียงของ Launcher สักเท่าไร มันก็คล้ายๆ กัน
  • People App ช่วยให้ผมไม่ต้องสร้างช็อตคัตของ Contact ไว้บน Home อีกต่อไป แต่ปัญหาเล็กๆ ที่น่าหงุดหงิดของมันคือเปลี่ยนมาใช้รูปความละเอียดสูง พอเจอรูป Profile เดิมของ Google Talk ความละเอียดต่ำแล้วมันดูแย่มาก (อัพเดต ตอนนี้รูปใน Gmail Contact ต่อให้ใส่ความละเอียดสูงแค่ไหน พอไปโผล่ใน Android มันจะไม่ละเอียดอยู่ดี ต้องอัพภาพตรงๆ ใน Android เท่านั้น! แย่มาก)
  • แต่ที่แย่มากคือ Phone App มันยังไม่มี Smart Dial เหมือนเดิม
  • ฟอนต์ Roboto สวยมาก ดูไม่ค่อยมีเอกลักษณ์เท่าไร แต่มันช่วยให้หน้าตาโดยรวมดูไม่ geek เหมือนเดิม น่าเสียดายว่ายังไม่มีฟอนต์ภาษาไทยที่มันแมตช์กัน
  • คีย์บอร์ดของ ICS เจ๋งสุดๆ ไปเลยครับ พิมพ์ภาษาอังกฤษนี่สะกดคำถูกต้อง+แก้คำอัตโนมัติให้ถูกเกือบหมดทุกกรณี อยากให้มีคีย์บอร์ดไทยแบบนี้บ้างจัง
  • Screen capture เป็นฟีเจอร์ที่ควรจะทำมาประมาณชาติเศษแล้ว และเป็นตัวอย่างที่ดีของฟีเจอร์ที่ OEM เอาไปทำเองแล้วสุดท้ายก็ต้องทิ้งทีหลัง เพิ่งทำตอนนี้ก็ถือกว่าไม่ได้ทำเลย (กด Vol. Down + Power ค้าง) ช่วยให้งานง่ายขึ้นมาก
  • แอพกล้องดีขึ้นจาก 2.x แต่ก็ยังถือว่าห่วยในภาพรวม ตัวเลือกน้อย ตั้งค่ายาก (ไม่มีอันไหนดีเท่ากล้องซัมซุงจริงๆ)
  • Gallery ตัวใหม่ทำงานเร็วขึ้น ปุ่มแชร์แสดงให้เห็นง่ายขึ้น
  • Gmail พยายามทำตัวแบบ Honeycomb มาก ในภาพรวมไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่รู้สึกว่ามันสีฟ้าเกินไปนิด นอกจากนี้ก็มี Gmail widget ให้แบบ Honeycomb แล้ว
  • Calendar ตัวใหม่เจ๋งกว่าเดิมเยอะมาก สำหรับคนที่มีปฏิทินเยอะๆ มันสะดวกขึ้นหลายเท่า
  • มี Google+ มาให้ในตัว ซึ่งมันเก่ากว่าเวอร์ชันล่าสุดนะ และเหมือนจะอัพเองไม่ได้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของรอม
  • อันที่แย่อีกอันคือ Facebook integration ตัดทิ้งไปเลยครับ บริษัททะเลาะกันก็อย่ามาทำให้ผู้ใช้ลำบากสิ!
  • แอพหลายตัวยังทำงานบน ICS ได้ไม่เต็มที่นัก อันนี้คงไม่มีทางเลือกและต้องรอเวลาต่อไป...

สรุปอีกรอบคือ โดยรวมไม่มีอะไรโดดเด่นในแง่ฟีเจอร์เท่าไร แต่ประสบการณ์โดยรวมดีกว่า 2.x มากจนคุ้มแก่การอัพเกรด

จนกระทั่ง.. โดนธนูปักที่เข่า

$
0
0

ขอเขียนถึงสักหน่อย คือผมผิดหวังกับเนชั่นสุดสัปดาห์จริงๆ

เรื่องมีอยู่ว่า เนชั่นสุดสัปดาห์ประจำสัปดาห์นี้ ลงภาพปกเป็นนายกฯ ยิ่งลักษณ์นั่งคุยกับอองซานซูจี ซึ่งเป็นภาพที่ symbolic มากต่อการเมืองในภูมิภาคนี้ (ซึ่งไม่ใช่เนชั่นฯ เจ้าเดียวที่เล่นเรื่องนี้ คู่แข่งอย่างมติชนสุดสัปดาห์ก็ใช้ภาพธีมเดียวกัน แค่คนละภาพเท่านั้น)

แต่ที่เจ๋งคือ เนชั่นฯ เลือกพาดหัวว่า "จนกระทั่ง..โดนธนูปักที่เข่า" ซึ่งเป็น internet meme ของฝรั่ง ที่คนไทยเอามาเล่นกันจนฮิต (รายละเอียดของมุขนี้ดูใน faceblog นะครับ ช่วยเขาขายของหน่อย)

ในสายตาของคนออนไลน์อย่างผมแล้ว การพาดหัวแบบนี้มันคัลท์มาก ปกติไม่ค่อยได้ซื้อเนชั่นสุดสัปดาห์ เพราะผมว่ามติชนทำดีกว่า แต่ไหนๆ เลย อาทิตย์นี้เนชั่นทำถูกใจ ขออุดหนุนเงินให้เนชั่นแทน (ลงทุนทวีตบอกชาวโลกด้วยนะ) ซื้อเสร็จแล้วก็เดินถือหนังสือนั่งรถไฟฟ้าร่อนไปมาทั่วเมือง จนกระทั่งเปิดอ่านนั่นแหละ ผมก็ #โดนธนูปักที่เข่า

อธิบายมุขก่อนว่า ความหมายของ an arrow in the knee มันคือการที่คนเราเคยมีความฝันหรือความรับผิดชอบอะไรบางอย่างที่ (อย่างน้อยตัวเองก็คิดว่า) ยิ่งใหญ่ จนกระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง เลยต้องพลาดหวังกับความหวังอันนั้น อยู่กับชีวิตต๊อกต๋อยและเฝ้ามองถึงอดีต (รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันแบบเดียวกัน) อย่างหดหู่เล็กๆ แทน (แต่ก็ไม่ได้เศร้ามาก อารมณ์แบบว่าเศร้านิดๆ แต่ชีวิตต้องเดินต่อไป)

ปัญหาคือ เหมือนเนชั่นฯ จะเข้าใจอะไรผิดไปสักอย่าง มันเลยออกมาเป็นแบบนี้

-_-''

คำอธิบายที่ควรจะเป็นคืออย่างไร อันนี้ขอยกคำของคุณ phuphu คนดังแห่ง exteen มาอธิบายดีกว่านะครับ (ต้นฉบับจาก Google+)

ออง ซาน ซูจี มีบิดาคือ นายพลออง ซาน ผู้นำการเรียกร้องเอกราชของพม่า แต่พ่อของเธอถูกสังหารเสียชีวิตเมื่อมีอายุเพียง 2 ขวบ เธอจึงเข้าสู่โลกการเมืองและได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น แต่โดนรัฐบาลทหารสั่งกักบริเวณซูจีให้อยู่แต่ในบ้านพัก ....ยิ่งลักษณ์มีพี่ชายเป็นอดีตนายก แต่ก็ถูกทหารทำรัฐประหารจนหมดอำนาจ เธอจึงต้องมาเล่นการเมือง

ซูจีเองเคยเป็นแบบยิ่งลักษณ์มาก่อน...จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า (ทหารเล่นงาน) ถึงตรงพอจะเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับ? :-)

สรุปว่าเนชั่น "เหมือนจะ" เข้าใจเรื่องนี้ แต่เอาเข้าจริงแล้ว เนชั่นไม่เข้าใจมันเอาเสียเลย

ป.ล.1 โดยรวมแล้วเนชั่นยังห่วยเหมือนเดิม คอลัมน์ที่คมคายที่สุด (ซึ่งบทความหลักควรจะเป็น) กลับเป็นของคุณโตมร สุขปรีชา เด็ดดวงขั้นเทพ (เปรียบเทียบการเมืองแบบแธตเชอร์ กับการเมืองแบบยิ่งลักษณ์ โดยใช้หลักทางเพศสภาพ+การหา consensus ของสังคม) ช่วยทำให้ผมไม่เสียดายเงิน 40 บาทแลกกับธนูปักที่เข่า

ป.ล.2 ภาพมันสัดส่วนแปลกๆ นี่เป็นเพราะถ่ายด้วย Motorola RAZR ครับ ช่วงนี้กำลังลองกล้อง

Tech Prediction 2012

$
0
0

เนื่องจากว่ายังไม่มีเวลาคิดใคร่ครวญมากนัก และไม่มีเวลาเขียนยาวๆ ก็เอาแบบ bullet point ไปแล้วกัน

  • Smart TV จะยังจุดไม่ติด ไม่ว่าจะเป็น Apple/Google/Microsoft (MS มีภาษีดีสุดแต่ก็ยังจุดไม่ติด) เหตุผลสำคัญคือ a) เทคโนโลยีมันยังไม่ breakthrough และ b) ปัญหาเรื่องเจ้าของ content ยังไม่กล้าปล่อยบนเน็ต ดังนั้นใครฝากความหวังไว้ที่ศาสดาคงต้องผิดหวัง
  • ปีหน้าน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในแง่ยุทธศาสตร์การพัฒนาของ Android คือกูเกิลจะถูกบีบให้เปิดกว้างการพัฒนามากขึ้น (อย่างน้อยก็ในกลุ่ม OHA) ทีนี้เราตอบไม่ได้ว่ากูเกิลจะเปิดหรือไม่ ถ้าเปิดก็จบไปไม่มีอะไร (จะคล้ายๆ กับ Mozilla/Fedora/OOo ในยุคแรก) แต่ถ้าไม่ยอม ก็อาจจะเห็น Android Fork ได้ในช่วงปลายๆ ปี
  • Facebook จะต้องทำมือถืออย่างแน่นอน เพราะพื้นฐานของบริษัทเองมีแต่ social network มันไม่พอ ส่วนจะใช้ Android เป็นแกนหลักหรือไม่นั้นไม่สำคัญนัก เพราะผู้บริโภคก็ไม่ได้แคร์อะไรมากเรื่องนี้ (ต้องการมือถือ-แท็บเล็ตที่มันเล่น Facebook ได้ดีๆ เท่านั้น อย่างอื่นของแถม) นอกจากนี้เราอาจเห็น Facebook ทำเบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการแบบ Chrome OS ด้วย (เป็น Facebook Kiosk) เป็นไปได้ว่าจะซื้อ RockMelt เลย ง่ายดี
  • Twitter น่าจะยังงงๆ กับชีวิตต่อไป ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรสำคัญในปีหน้า และถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไปจะเริ่ม fall down
  • ปี 2012 น่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ RIM เช่นกัน ความเป็นไปได้มากที่สุดคือโดน MS ซื้อ เอาเซอร์วิสมารันบน WP และเอาฝ่ายฮาร์ดแวร์มาทำ WP แต่ทิ้ง BlackBerry OS ไปเลย
  • เราน่าจะเห็นระบบปฏิบัติการมือถือขั้วที่สี่ ที่เป็นขั้วเล็กๆ สำหรับตลาด niche ของเหล่าแฮกเกอร์ ที่ไม่พอใจอะไรบางอย่างใน Android และไม่มีทางออกอื่น เพียงแต่ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นค่ายไหนกันแน่
  • การกลับมาของ Sony (ในระดับหนึ่ง) และสิ่งที่อยากเห็นคือ Vita Phone ที่ออกมาแก้ไขความผิดพลาดของ Xperia Play
  • การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของ Motorola หลังควบกิจการแล้ว เช่น Droid Nexus หรือการันตีมือถือ Moto ทุกเครื่องจะได้ Android รุ่นใหม่ในวันแรก นอกจากนี้คงมีเรื่อง set-top ที่อาจจะเริ่มทยอยมาใช้แพลตฟอร์ม Google TV (แต่เรื่องนี้อาจเป็นปี 2013 แทน)
  • ผมคิดว่าแอปเปิลเลยจุดสูงสุดมาแล้ว (พร้อมกับการตายของศาสดา) และยังไม่เห็น growth engine อันใหม่ของแอปเปิล ในช่วงอนาคตอันใกล้คงดาวน์ลงมาหน่อย แต่ไม่แย่เพราะบุญเก่ามีเยอะ โมเมนตัมของ iOS ยังคงไปได้ แต่ไม่น่าจะโตแบบก้าวกระโดดได้อีกแล้ว
  • ซัมซุงกับแอปเปิลคงจะซัดกันหนักกว่าเดิม
  • นวัตกรรมสำคัญในตลาดไอทีปีหน้า น่าจะเป็นเรื่อง cross device sync ทำงานข้ามเครือข่ายภายในบ้าน (= PAN ความฝันที่ Bluetooth ทำไม่สำเร็จ) และในขณะเดียวกันก็ซิงก์กับโลกออนไลน์ไปได้ทุกที่ด้วย (ตามคำขวัญ three screens and the cloud ของ MS)

Mashable Story

$
0
0

จะเขียนถึงมาร่วมเดือนแล้ว แต่มีเหตุสารพัดให้ไม่ได้เขียนสักที ช่วงปลายปีเริ่มว่างเลยรีบจัดหน่อย

ต้นฉบับคือ บทสัมภาษณ์ Pete Cashmore ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Mashable ซึ่งเน้นข่าวโซเชียลเน็ตเวิร์ค บทสัมภาษณ์นี้ตีพิมพ์บนเว็บ Business Insider ซึ่งเป็นเว็บข่าวธุรกิจ-ไอทีที่ผมชอบอีกอันหนึ่ง (ข่าวมันภาษาชาวบ้านดี)

เรื่องของ Pete Cashmore น่าสนใจตั้งแต่ตัวเขาเองเลย ส่วนมากเรามักเคยได้ยินเรื่องของผู้ก่อตั้งบริษัทไอทีที่อยู่ในสหรัฐ จบการศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง อาศัยอยู่ในเมืองไอทีของประเทศ ฯลฯ แต่กรณีของ Pete นี่ตรงข้ามแบบสุดขั้ว เพราะเขาอยู่ในเมืองเล็กๆ ในชนบทที่ห่างไกลของเมือง Aberdeen ในสกอตแลนด์

ความสำคัญของเรื่องนี้คือ สกอตแลนด์เป็นประเทศที่มีลักษณะพิเศษครับ (ถ้าผมไม่เคยไปเที่ยวก็ไม่มีทางรู้เหมือนกัน) คือเนื่องจากอากาศมันหนาว คนเลยจะอาศัยรวมกันอยู่ในเมืองเป็นหลัก ซึ่งเอาจริงๆ แล้วก็มีเมืองใหญ่ๆ เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น (ทั้งที่พื้นที่ของประเทศพอๆ กับอังกฤษ แต่เมืองน้อยกว่ามาก) พื้นที่ระหว่างเมืองจึงเป็นทุ่งว่างๆ ที่ไม่ค่อยมีคนอยู่อาศัย ดังนั้นกรณีของ Pete ถือว่าบ้านนอกโคตร ๆ เมื่อเทียบกับเซนส์ทั่วไปของความเป็นเมือง นอกจาก Pete จะเป็นเด็กบ้านนอกแล้ว เขายังมีคุณสมบัติของเด็ก geek ครบถ้วน เช่น ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่ค่อยมีเพื่อน เน้นเล่นเน็ตเป็นหลัก เรียนไม่จบ ฯลฯ แต่พออายุ 19 ปีในปี 2005 เขาก็ตัดสินใจออกจากวิทยาลัยแล้วมาทำ Mashable

ผลคือตอนนี้เขาอายุ 25 ปี แต่บริษัท Mashable มีลูกจ้าง 44 คน แถมคนเข้าเดือนละ 12.5 ล้าน UIP เรื่องของเขาจึงน่าสนใจมาก

ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ เขาบอกว่าต้องรับการผ่าตัดตั้งแต่อายุ 13 และเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ เขาต้องพึ่งพิงอินเทอร์เน็ตเป็นหลักเพราะสามารถทำงานได้บนเตียง และมีแรงจูงใจอย่างมากที่จะ "ประสบความสำเร็จ"

เขาบอกว่าการที่เขาอยู่นอกซิลิคอนวัลเลย์ ทำให้มีมุมมองแบบคนนอกโลกไอทีที่อยากจะเข้าใจโลกไอที ผลก็คือทิศทางของเนื้อหาใน Mashable นั้นเข้าใจง่ายและจับใจตลาด mass ได้มากกว่า

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เขาเคยจะบอกพ่อแม่เรื่องเว็บ Mashable แต่ก็ตัดสินใจไม่บอก รอให้ประสบความสำเร็จก่อน แต่หนึ่งปีให้หลังจากเปิดเว็บ พ่อแม่ของเขาก็เจอนักข่าวของ นสพ. Daily Mail มาเคาะประตูบ้าน ขอสัมภาษณ์ลูกชาย (เรื่องนี้จะคล้ายๆ กับ Linus Torvalds) เขายังบอกว่าเนื่องจากตัวเองเริ่มทำเว็บตอนเด็ก จึงพยายามไม่บอกอายุจริง และไว้เคราให้ดูแก่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ (เรื่องนี้จะคล้ายๆ จักรภพ เพ็ญแข ที่ใส่แว่นให้ดูแก่)

เขายอมรับว่าเขาเป็นคนที่ "ครีเอทีฟ" และเมื่อคนครีเอทีฟเริ่มโด่งดัง ก็จะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองมากนัก เพราะคนรายล้อมจะเริ่มเข้ามาแย่งเวลาของเราไป ดังน้นเขาจึงต้องมีกำแพงบางอย่างเพื่อให้ตัวเองมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น เพื่อทดลองและสร้างผลงานใหม่ๆ อยู่เสมอ

The Future of Tech Blogging

$
0
0

จริงๆ อ่านบทความต้นเรื่องตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่เหมือนว่ามันจะกลายเป็นประเด็นใหญ่โตในโลกของ tech blog ฝรั่ง (Techmeme thread) ในฐานะที่ทำงานเรื่อง tech blog โดยตรงก็ขอเขียนถึงหน่อยละกันครับ

ต้นเรื่อง

เรื่องมีอยู่ว่า นักวิเคราะห์-นักเขียนด้านไอทีคนหนึ่งชื่อ Jeremiah Owyang เขียนบล็อกชื่อ End of an Era: The Golden Age of Tech Blogging is Over พูดว่ายุคทองของการเขียนบล็อกด้านไอที (ที่บูมมาพักใหญ่ในครึ่งหลังของทศวรรษ 2000s) ได้จบลงแล้ว

เหตุผลของ Owyang มี 4 ข้อ ได้แก่

  1. บล็อกไอทีดังๆ หลายแห่งที่เคยเป็นอิสระ เริ่มโดนซื้อกิจการจากสื่อใหญ่ (เช่น TechCrunch/AOL หรือ ReadWriteWeb/Say Media) ทำให้ขาดความคล่องตัวและนวัตกรรม เพราะเจ้าของใหม่จะมองผลประกอบการเป็นหลัก และไม่ค่อยกล้าเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก (conservative mindset)
  2. ปัญหาบล็อกเกอร์สละเรือ-ลาออก โดยยกกรณีของ TechCrunch แพแตก หรือบล็อกเกอร์ดังๆ บางคนหันไปทำอย่างอื่น (เช่น เป็น VC หรือเปิดบริษัทซอฟต์แวร์) ทำให้วงการเริ่มขาดแคลนคน ถึงแม้จะเปิดโอกาสให้หน้าใหม่ๆ ได้เติบโตก็ตาม
  3. พฤติกรรมของคนอ่านเปลี่ยนไป ผลจาก social network ทำให้คนต้องการอ่านอะไรสั้นๆ เร็วๆ ง่ายๆ แทนการอ่านบล็อกยาวๆ ลงรายละเอียดเยอะๆ
  4. อุตสาหกรรมบล็อกเริ่มอิ่มตัว และคนในวงการเริ่มออกไปทำอย่างอื่น หรือมองหารูปแบบธุรกิจใหม่ๆ

นอกจากอธิบายว่าทำไมยุคทองถึงจบลงแล้ว Owyang ยังรวบรวมคำทำนายแนวโน้มของวงการบล็อกไอที (ฝรั่ง) ไว้อีกหลายข้อ

  • โอกาสของบล็อกเกอร์หน้าใหม่ที่จะขึ้นมาแทนบล็อกเกอร์หน้าเก่าที่ลาออก-เลิกเขียนไป
  • การสร้าง "ดารา" บล็อกเกอร์ที่ดังเดี่ยวจะทำได้ยากขึ้น วงการจะมีความเป็นสถาบันมากขึ้น
  • รูปแบบการสื่อสารแบบใหม่ๆ จะเริ่มเกิดขึ้น นอกเหนือไปจากการเขียนบล็อกยาวๆ แบบแต่ก่อน
  • การผสานสื่อหลายๆ แบบเข้าด้วยกัน เช่น แปะวิดีโอจาก YouTube

มุมมอง-เสวนา

พอบล็อกนี้เผยแพร่ออกไป บล็อกเกอร์ฝรั่งหลายๆ คนก็ร่วมแจมแสดงความเห็นกันยกใหญ่ ที่อ่านแล้วน่าสนใจมี 2 อัน

อันแรกเป็นของ Sarah Lacy นักข่าวไอทีหญิงคนดัง (เคยมีเรื่องฉาวคือเป็นคนสัมภาษณ์ Zuckerberg บนเวทีงานหนึ่ง แล้วหยาม-ใช้คำพูดไม่ค่อยดีเท่าไร) ซึ่งล่าสุดย้ายมาอยู่กับ TechCrunch และเพิ่งลาออกไปเตรียมเปิดเว็บเอง เขียนบล็อกตอบในชื่อ Golden Age of Tech Blogging Done? I Couldn't Disagree More

Sarah บอกว่าเห็นด้วยกับ Jeremiah Owyang ในประเด็นย่อยที่ยกมา แต่ในภาพรวมแล้ว เธอเชื่อว่ายังมีคนที่ชอบเขียนเหลืออยู่ และบล็อกเหล่านี้ก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการสื่อบางแขนง (เช่น สื่อกีฬา) ที่เคยถูกผูกขาดจากสื่อกระแสหลักและไม่พัฒนามานาน เธอยังยกตัวอย่างความพยายามของ The Verge (ทีมเดิมของ Engadget) ที่พยายามสร้างนวัตกรรมให้กับวงการบล็อกไอทีเช่นกัน

เธอบอกว่ายุคสมัยใหม่ของบล็อกกำลังเริ่มต้น และมีแนวโน้มใหม่ๆ ที่เริ่มมองเห็นแล้ว เช่น

  • การเปิดให้ผู้อ่านเข้ามาเขียนบล็อกด้วย กรณีที่ประสบความสำเร็จคือ The Huffington Post และ SeekingAlpha ช่วยลดภาระของทีมงานหลัก และทำให้เนื้อหาหลากหลาย-มีคุณภาพมากขึ้น บล็อกเกอร์จำนวนหนึ่งไม่ได้เขียนเพื่อเงิน แต่เขียนเพื่อให้มีคนอ่านงานของพวกเขา
  • UI แบบใหม่ๆ ของบล็อก รูปแบบ UI ของบล็อกไม่พัฒนามานาน และตอนนี้เริ่มตอบโจทย์หลายๆ อย่างไม่ได้ ซึ่งบล็อกบางแห่งเช่น The Verge ก็พยายามทดลองเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้
  • โมเดลธุรกิจใหม่ๆ บล็อกในยุคแรกไม่สามารถทำเงินได้เท่าที่ควร เธอยกกรณีว่าเขียนกับ TechCrunch ทรงพลังในแง่ความคิดเห็นที่สุด แต่ในแง่ตัวเงินกลับทำเงินได้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสื่ออื่นที่เคยเขียนมา ดังนั้นบล็อกยุคใหม่ต้องหาวิธีทำเงินแบบใหม่ๆ ที่ดีกว่าปัจจุบัน
  • ลดการพึ่งพิงดาราลง เน้นแพลตฟอร์มมากขึ้น บล็อกยุคแรกพึ่งพิงกับบล็อกเกอร์คนดังมากเกินไป กรณีของ TechCrunch ก็ชัดเจนว่าพึ่งพา Arrington ตั้งแต่ต้นจนอวสาน
  • เปิดบล็อกโดยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อขาย เพราะถ้าขายแล้ว ถึงแม้กิจการจะเดินหน้าต่อไปได้ แต่ความทรงพลังของ "เสียง" ที่ออกมาจากบล็อกจะลดลงไป

อีกอันเป็นของ Marshall Kirkpatrick นักเขียนของ ReadWriteWeb เขียนบล็อกชื่อ The Next Era of Tech Blogging: 3 Things That Could Make it Better เสนอคำแนะนำ 3 ข้อสำหรับวงการบล็อกยุคหน้า

  1. ส่งลิงก์ออกไปนอกบล็อก บล็อกดังๆ หลายแห่งพยายามไม่ลิงก์ออก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะผู้อ่านจะได้ประโยชน์จากลิงก์ และจะกลับมาที่บล็อกเราอีกเพื่อหา "ประโยชน์" ที่ได้จากการอ่านบล็อกแบบนี้
  2. ทำการบ้านเยอะๆ ก่อนเขียน ความดังของ TechCrunch มาจากการที่ Michael Arrington ทำงานละเอียด สัมภาษณ์ผู้สร้างบริษัทหน้าใหม่ก็ดูพื้นเพ ปูมหลังของคนเหล่านี้ด้วย การทำงานละเอียดทำให้เนื้อหาของบล็อกมีค่า ถึงแม้จะโดนบีบจากเรื่องเวลาและการแข่งขันก็ตาม
  3. แพลตฟอร์มการนำเสนอ ตัวเนื้อข่าวจะน่าสนใจเมื่อมันไปอยู่บนแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ ดังนั้นเราต้องสร้างแพลตฟอร์มที่น่าสนใจขึ้นมา

ลิงก์เพิ่มเติมอื่นๆ แปะไว้เผื่อมีคนสนใจไปอ่านต่อ

ความเห็น

ในฐานะที่อยู่ในวงการ tech blog และ online media ก็ขอแสดงความเห็นหน่อยครับ

  • blog เป็นแค่ฟอร์แมตในการนำเสนอ (ที่เหมาะกับโลกออนไลน์มากขึ้น) สุดท้ายแล้วคนอ่านไม่สนใจหรอกว่าเราเป็น นสพ. ออนไลน์หรือเป็นบล็อก เพราะมันเป็นการทำสื่อเพื่อผู้อ่านบนเน็ตเหมือนๆ กัน แข่งกันที่คุณภาพล้วนๆ (ผมเคยพูดอยู่เสมอเรื่องนโยบายตรวจสะกดของ Blognone ว่าเราควรจะสะกดถูกต้อง ไม่มีสะกดผิด ให้ได้ในระดับเดียวกับ "ไทยรัฐ" เพราะบล็อกควรจะมีความน่าเชื่อถือระดับเดียวกับสื่อใหญ่)
  • ในภาพรวมแล้ว ความต้องการบริโภคเนื้อหา (content consumption) มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามตัวเลขคนใช้เน็ตที่เพิ่มขึ้น เพียงแต่ฟอร์แมตของมันอาจจะต่างออกไปจากเดิมตามพฤติกรรมของผู้ใช้ ดังนั้นการที่ นสพ. กระดาษขายได้น้อยลง ไม่ได้แปลว่าคนอ่าน นสพ. น้อยลง (เพียงแต่คนย้ายไปอ่านในฟอร์แมตอื่นแทน) กรณีของบล็อกกับ social network ก็เหมือนกัน
  • เรื่องการเปิดให้ผู้อ่านเข้ามาเขียนด้วย เป็นสิ่งที่ Blognone ทำอยู่แล้ว (อันนี้ต้องให้เครดิต @lewcpe เจ้าของไอเดีย) ซึ่งที่ผ่านมามันก็พิสูจน์ว่าเวิร์ค! อันนี้ต้องคิดกันต่อไปว่าจะขยายโอกาสเหล่านี้อย่างไร ทำอย่างไรจะเป็นโมเดลธุรกิจที่ทุกคน win ได้ด้วย มีคนเขียน มีคนอ่าน มีการสนทนา มีเงินไหลเข้ามาตอบแทน ฯลฯ
  • รูปแบบการนำเสนอใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และตอนนี้เราก็เห็นเยอะขึ้นเรื่อยๆ ที่ชัดเจนคงเป็นแอพพวก content aggregator ที่เอามาจัดสวยๆ น่าอ่านแบบ Flipboard, Pulse, Google Currents นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือพวก ReadItLater และที่น่าสนใจที่สุดคงเป็น Engadget Distro ที่เอาเนื้อหาแบบบล็อกมาจัดหน้าใหม่ให้เป็นแมกกาซีน
  • กรณีของ Blognone ยังมีเป้าหมายอีกอย่างนอกจากเรื่องสื่อสารมวลชน-ธุรกิจ นั่นก็คือการ "ผลักดันวงการไอทีในบ้านเรา" (สโลแกนยืมเขามาครับ) มันเลยจะมีประเด็นเรื่อง content หรือกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาคนอ่านด้วย เช่น content ควรจะลึกและกว้างขึ้น (มากกว่าข่าว gadget ทั่วไป) เพื่อเสริมปัญญา-เปิดโลกทรรศน์-สร้างแรงบันดาลใจ อันนี้คงต้องเขียนแยกเป็นอีกตอนในภายหลัง
Viewing all 557 articles
Browse latest View live




Latest Images