ตอนที่แล้วไปเที่ยวทะเลสาบ Towadaตอนนี้เราจะไปอีกทะเลสาบหนึ่งที่อยู่ถัดลงมาหน่อยคือทะเลสาบ Tazawa หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียก Tazawako ครับ
เป้าหมายของการไปเที่ยวไม่ใช่ตัวทะเลสาบ แต่เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่มีชื่อเสียงซึ่งอยู่ละแวกใกล้ๆ กันคือ Nyuto Onsen โดยจุดประสงค์สูงสุดคือการ "แช่น้ำร้อนกลางแจ้ง ชมใบไม้เปลี่ยนสี"
ตอนก่อนไปลุ้นกันเต็มที่ว่าใบไม้มันจะเปลี่ยนสีหรือเปล่า สุดท้ายก็สมหวังเพราะไปเจอจังหวะใบไม้กำลังสวยพอดี
การเดินทางไปยังทะเลสาบ Tazawa
ทะเลสาบ Tazawa เป็นทะเลสาบที่ลึกเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น (ลึก 423 เมตร) ตัวทะเลสาบวิวไม่ถึงกับสวยมาก แต่มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำร้อนและรีสอร์ทสกี
ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ในจังหวัดอาคิตะ ใต้จากทะเลสาบ Towada ของตอนก่อนมาอีกหน่อย แต่การเดินทางด้วยรถไฟไม่สามารถตัดลงมาจาก Aomori ตรงๆ ได้ด้วยเหตุผลว่าเป็นเขตภูเขา (ถ้ามาทางรถก็ไม่มีปัญหา) ต้องนั่งชินคันเซ็นมาที่ Morioka ก่อน (ถ้ามาจากโตเกียวก็ต้องมาตั้งต้นที่ Morioka เหมือนกัน)
แผนที่การเดินทางถนน-รถไฟสำคัญๆ ระหว่าง Towada กับ Tazawa สามารถดูได้จาก Japan Guideโดยระหว่างทางมีภูเขา Hachimantai อีกอันที่มีชื่อเสียง (ถ้ามาด้วยทางรถนะ)
ถ้ายังจำกันได้ รถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansenเป็นรถพ่วงกันสองขบวนมาจากโตเกียว แล้วจะมาแยกกันที่สถานี Morioka นี่เองครับ โดยสายหนึ่งขึ้นเหนือไปจังหวัด Aomori ส่วนอีกสายหนึ่งออกซ้าย มุ่งตะวันตกไปจังหวัด Akita
เรามาจาก Aomori ก็เลยต้องเดินทางกันหลายต่อหน่อย (จากต้นทางถึงปลายทางใช้ 5 ต่อ) โดยเริ่มจากสถานี Aomori นั่งไปลง Shin-Aomori เพื่อขึ้นรถไฟความเร็วสูงก่อน ใช้เวลาบนชินคันเซ็นประมาณ 53 นาทีก็ถึง Morioka แล้ว (แหม่ รถไฟความเร็วสูงนี่ดีจริงๆ)
ต่อที่สามก็เหลือแค่นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย Akita (Komachi หรือ Super Komachi) มาลงสถานี Tazawako ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง รวมเวลาทั้งหมดจากสถานีต้นทางถึงปลายทางประมาณ 2 ชั่วโมงกับระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร (แหม่ รถไฟความเร็วสูงนี่ดีจริงๆ)
สถานี Tazawako ครับ เป็นสถานีของเมือง Tazawako ที่อยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบ (แต่ไม่ติดทะเลสาบนะ)
สถานีนี้มีของเล่นของโชว์เยอะเลย
ข้างในสถานีมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่อยู่ด้วย แต่เอกสารส่วนใหญ่ก็ภาษาญี่ปุ่นล้วน จากแผนที่ข้างล่างจะเห็นเมือง Tazawako เป็นจุดสีแดง ซึ่งจะอยู่ห่างออกจากทะเลสาบมาหน่อยนึง
คาแรกเตอร์ประจำเมืองเป็น "น้ำพุร้อนคุง"และผองเพื่อนครับ ตัวสีเขียวน่าจะเป็นภูเขา ส่วนตัวสีแดงดูไม่ออกว่าคืออะไร
หน้าสถานี
สถานีจากระยะไกล
เดินทางไปถึงสถานีตอนใกล้เที่ยง มีจังหวะก็รีบกินข้าวก่อนเพราะต้องเดินทางอีกหลายต่อ หน้าสถานีมีร้านอาหารให้เลือกนิดหน่อย (ออกจากสถานีแล้วเดินมาทางขวามือ) ซึ่งป้ายรถที่เราจะขึ้นไปยัง Nyuto Onsen ก็อยู่ตรงหน้าร้านนี้พอดี
ร้านชื่อว่า Mizuumiข้อมูลตามลิงก์ อยู่ไกลจากป้ายรถเมล์มากๆ เลยครับ
บรรยากาศภายในร้าน
ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษนะ ไม่มีปัญหา
ราเม็งกุ้งทอดครับ มีให้เลือกทั้งเส้นโซบะและอุด้ง
เฉยๆ ไม่ถึงกับอร่อยมาก แต่ร้อนๆ อบอุ่นดี กินกันตาย
กินข้าวเสร็จแล้วก็เดินทางกันต่อ
การเดินทางจาก Tazawako ไปยัง Nyuto Onsen
การเดินทางไปยังหมู่บ้านน้ำพุร้อนในละแวกนี้มีทางเดียวคือทางรถ ซึ่งถ้าเราจะขึ้นรถบัสก็ต้องมาเริ่มจากสถานี Tazawako นี่ล่ะครับ ส่วนจะขึ้นไปไหนอย่างไรก็ขึ้นกับเป้าหมายปลายทางของเราว่าเลือกหมู่บ้านน้ำพุร้อนแห่งไหน
กรณีของผมคือหมู่บ้าน Nyuto โดยวิธีการไปคือนั่งรถบัสจากสถานี Tazawako Station ไปลงที่ป้าย Alpa หรือ Arupa แล้วให้รีสอร์ทมารับอีกต่อหนึ่ง
เส้นทางบนถนนจริงๆ เป็นดังภาพ (รีสอร์ทที่ไปนอนชื่อ Tsuru-no-yu ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน Nyuto Onsen อีกทีหนึ่ง)
ป้ายรถบัสไป Nyuto คือป้ายเบอร์หนึ่งเลย
รอบเวลารถบัสไป Nyuto เที่ยวที่ขึ้นคือ 12.15 ครับ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงไปที่สถานี Arupa ค่าโดยสาร 800 เยน รถบัสเป็นรถขนาดเล็กนั่งได้ประมาณ 20 คน
ตั๋วรถบัส
บนรถบัส มีนักท่องเที่ยวประปราย
บรรยากาศข้างทาง ภูเขายังเขียวๆ อยู่เลย ตอนแรกนั่งไปก็หวั่นๆ ครับ
พอขึ้นไปถึงความสูงระดับหนึ่ง ต้นไม้มันนึกอยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนสีทั้งหมดเลยครับ ยังกะเข้าไปเมืองลับแล
ภูเขาเบื้องหน้าสีน้ำตาลแดงแล้ว
ระหว่างเส้นทาง รถจะวิ่งวนไปริมทะเลสาบ Tazawa ก่อนหน่อยนึง ทะเลสาบนี้มีจุดเด่นคือรูปปั้นสีทองอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบ อันนี้ไม่ได้ไปนะ
ปลายทางของเราอยู่บนเขา มันเป็นจุดบริการนักท่องเที่ยวที่มาเล่นสกีชื่อ Arupa หรือ Alpa โดยจากสถานีนี้มองย้อนไปจะเห็นวิวทะเลสาบด้วย
แผนผังของ Arupa
ภายใน Arupa ครับ มีนิทรรศการเรื่องดินน้ำภูเขาให้ดู ส่วนด้านหลังเป็นร้านอาหารเล็กๆ
ตามหลักแล้ว เมื่อไปถึง Arupa ก็ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้โทรศัพท์ไปยังรีสอร์ทให้เขาขับรถมารับครับ แต่เคสของผมไปถึงแล้วพบว่า "เจ้าหน้าที่หายไป" o_O เคาเตอร์นักท่องเที่ยวนั้นปิดสนิทไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำการ
เดินไปถามที่คนขายของด้านในก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องสักนิด แต่สุดท้ายปัญหาคลี่คลายเพราะมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง (คุณป้ากางเกงชมพูในรูปข้างบน) จะไปที่รีสอร์ทเดียวกัน เขาพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างเลยอาสาจะช่วยพาเราติดไปด้วยจนถึงรีสอร์ทครับ (รอดไปนะ ถ้าไม่ได้คุณป้าคนนี้ก็ไม่รู้จะไปต่อยังไงเหมือนกัน)
Nyuto Onsen
Nyuto Onsen เป็นชื่อของ "หมู่บ้าน"ที่สร้างขึ้นตามแนวน้ำพุร้อนครับ ในหมู่บ้านนี้มี "รีสอร์ท"หรือ "เรียวกัง"ที่ให้คนไปแช่น้ำร้อนทั้งหมด 7 แห่ง รายละเอียดสามารถดูได้จาก เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Nyuto Onsen
ชื่อ Nyuto "นิวโตะ"นั้นแปลว่า "หัวนม"ซึ่งความหมายของมันก็คือสะท้อนว่าน้ำแร่แถวนี้สีสันจะขาวๆ ขุ่นๆ เหมือนน้ำนมนั่นเอง
รีสอร์ทพวกนี้จะเปิดให้คนนอกไปอาบน้ำได้ในช่วงกลางวัน (เช่น 10-15 น) ส่วนเวลาที่เหลือจะสงวนไว้สำหรับแขกที่มาพักค้างคืนเท่านั้น สรรพคุณของน้ำแร่ในแต่ละบ่อก็อาจจะต่างกันบ้าง (เพื่อสร้างจุดขาย)
หมู่บ้านน้ำร้อน Nyuto Onsen มีชื่อเสียงมาก มีคนมาพักตลอดปี หาที่พักยากมาก ตรงนี้ไม่รู้ว่าผมโชคดีอย่างไรก็ไม่ทราบ เข้าไปเช็คข้อมูลของรีสอร์ทที่ดังที่สุดในละแวกนี้คือ Tsurunoyu Onsen (เว็บไซต์มีภาษาอังกฤษ) แล้วดันว่างอยู่ห้องนึงพอดีครับ (ห้องเดียวจริงๆ จากทั้งหมด 30 ห้อง) เวลาไม่คอยท่าเลยให้เพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นรีบโทรไปจองให้ (ไม่รับจองผ่านเว็บ แต่ดูได้ว่ามีห้องว่างหรือไม่) สุดท้ายก็ได้ห้องมาแบบฟลุคๆ (จองล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน)
Tsurunoyu เป็นรีสอร์ทที่เก่าแก่ที่สุดคือสร้างตั้งแต่ปี 1638 เพื่อให้เจ้าเมืองในขณะนั้นมาอาบน้ำ จากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาเรื่อยมา แต่บรรยากาศโดยรวมก็ยังเป็นโรงอาบน้ำโบราณ เรียวกังสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง มีอาหารญี่ปุ่นแบบพื้นเมืองรวมอยู่ในค่าห้องทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้า รวมถึงบริการรถรับส่งไปยัง Arupa Center ด้วย จุดเด่นของที่นี่คือ "บ่อน้ำกลางแจ้ง"ครับ
หน้าตาของ Tsurunoyu ครับ อยู่ติดเขาเลย จังหวะดีมากใบไม้กำลังแดงเหลืองเลย ด้านหน้าเป็นลานจอดรถ ส่วนของรีสอร์ทที่พักจะเริ่มจากตรงธงเหลืองเป็นต้นไป
ที่นี่เคยมีละครเกาหลีเรื่อง Iris มาถ่ายทำด้วย (ถ่ายตอนหน้าหนาวหิมะตก) เขาเลยแปะรูปติดไว้เป็นที่ระลึกตรงลานจอดรถ
ป้ายทางเข้า โรงอาบน้ำอยู่สุดซอย ซ้ายขวาเป็นอาคารที่พัก โดยฝั่งซ้ายเป็นอาคารชั้นเดียวแบบญี่ปุ่นโบราณ ส่วนฝั่งขวาเป็นอาคารสองชั้นที่ทันสมัยหน่อย (ผมนอนฝั่งขวา ชั้นสอง)
เดินเข้ามาสุดทางจะเจอรีเซปชั่นของโรงแรมอยู่ห้องทางซ้ายมือครับ ข้างหน้าเป็นลำธารเล็กๆ ระบายน้ำที่ออกมาจากโรงอาบน้ำที่อยู่ถัดจากลำธารออกไป (หลังคาขวามือในภาพ) ส่วนคนที่เห็นนั่งๆ กันอยู่นี้คือคนนอกที่แวะมาอาบน้ำแล้วนั่งรอคนอื่นๆ ที่กำลังอาบอยู่
ลำธารครับ เป็นธารน้ำร้อนเลยแหละ
ยืนอยู่บนสะพานข้ามลำธาร มองย้อนกลับไปตรงทางเข้า รีสอร์ทมีแค่นี้จริงๆ
มองจากตึกชั้นสองลงมาครับ จะเห็นบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งอยู่ด้านขวามือในภาพ คือมันโจ่งแจ้งมากๆ มีฉากกันเป็นต้นไม้นิดหน่อยเท่านั้นเอง (บ่อที่นี้มี 2 ประเภทคือ บ่อหญิงล้วน กับ บ่อรวม ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วก็คือบ่อชายนั่นแหละ)
แผนที่บ่อน้ำร้อนครับ บ่อรวมอยู่ตรงกลาง มีบ่อในร่มเล็กๆ ให้แช่ด้วย ส่วนบ่อหญิงอยู่ฝั่งซ้ายสุดและขวาสุด (บ่อหญิงแบบกลางแจ้งมี 2 บ่อ) และมีเรือนที่เอาไว้แช่แบบในร่มอีกนิดหน่อย
เรือนพัก
เมื่อไปถึงแล้ว (ไปถึงเร็ว) รีเซ็ปชั่นโรงแรมที่พอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างก็บอกว่าต้องรอห้องสักพัก เอาของไปเก็บไว้ตรงห้องอาหารที่อยู่ติดกันก่อนได้ เราก็เลยต้องไปเดินเล่นรอบๆ บริเวณรอ (ซึ่งเป็นป่าที่กำลังสวยได้ที่) เมื่อถึงเวลาที่ต้องการเขาก็พาขึ้นไปบนห้องพัก
เรือนพักที่ไปเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น กระดานขัดซะลื่น (เดินเสียงดังกลัวรบกวนห้องอื่นๆ เหมือนกัน) ห้องน้ำรวม (มีแต่ห้องส้วมกับอ่างล้างมือ) ชั้นละห้อง ห้องอาบน้ำไม่มีเพราะไปอาบในออนเซ็นเอาสิ
ห้องนอนขนาด 6 เสื่อครับ มีแค่นี้แหละ หน้าหนาวมีฮีตเตอร์ให้
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้อง มีราวตากผ้า ชั้นวางของ ชุดชงชา ชุดอาบน้ำ
ชุดชงชาครับ
ขนมเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้กินกับชา
ชุดอาบน้ำ ประกอบด้วยยูกาตะ ผ้าขนหนูขนาดเล็ก และถุงให้ใส่ของเดินไปโรงอาบน้ำ
ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่า ห้องแบบญี่ปุ่นที่มีโต๊ะเตี้ยๆ ตรงกลางห้องนี่มันนั่งแล้วเมื่อยหลังมาก คนไทยแบบเราๆ ต้องแก้ปัญหาโดยการไปนั่งพิงกำแพงแทน
ตอนค่ำมีคนมาปูที่นอนให้ ถ้าปูเองคงไม่มีทางได้นอน
ที่นอนเค้าก็เก็บในตู้ในผนังแบบเดียวกับบ้านโนบิตะนั่นแหละครับ
ที่นอนพร้อมผ้าห่มอย่างหนา
ห้องน้ำ มีห้องส้วมแยกเป็นสัดส่วน โถฉี่ผู้ชาย และอ่างล้างมือ
ชั้นล่างมีห้องอาหารแบบนั่งโต๊ะด้วย (คาดว่าน่าจะขายตอนเที่ยง) เราไม่ได้ใช้งานเพราะอาหารเช้า-เย็นอยู่ตึกเก่า
โรงอาบน้ำ
เข้าสู่ส่วนสำคัญของออนเซ็นแห่งนี้คือ "โรงอาบน้ำ"เลยดีกว่าครับ (รูปประกอบอาจไม่เยอะเท่าที่ควร เพราะกลัวเสียมารยาทถ้าถ่ายรูปเวลามีคนอยู่)
เมื่อเก็บของเข้าห้องเรียบร้อยก็ได้เวลาไปอาบน้ำกันสักที วิธีการก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก เก็บข้าวของเดินไปโรงอาบน้ำ (จะใส่ยูกาตะหรือไม่ก็ได้) เลือกบ่อที่ต้องการ (ผู้ชายเลือกได้บ่อเดียว) แล้วก็เดินเข้าห้องแต่งตัวซึ่งจะแยกชายหญิงอยู่แล้ว
ในห้องแต่งตัวก็จะเหมือนในการ์ตูนคือมีตะกร้าผ้าซ้อนเป็นชั้นๆ ให้เลือกตามสะดวก เราก็เลือกมาสักอันแล้วก็ทำใจกล้าๆ ถอดครับ ถอดให้หมดทุกอย่างไม่ต้องเหลืออะไรไว้เลย (คนอื่นเขาก็ถอดกันหมด ไม่มีใครมองกัน)
ในอาคารเดียวกับห้องแต่งตัว เค้าจะแยกบ่อในร่มไว้ให้ เราก็เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปได้เลย
ป้ายคำเตือนหน้าประตูครับ แนวคิดของออนเซ็นคือใช้น้ำร้อนร่วมกัน ดังนั้นทุกคนต้องสะอาดเพื่อคนอื่น และวิธีที่จะสะอาดที่สุดคือทุกคนต้องเปลือยไม่ใส่อะไรเลย (แล้วอาบน้ำล้างตัวก่อนลงแช่) ถ้าใส่ชุดอาบน้ำหรือผ้าใดๆ ลงไปด้วย ความสกปรกของผ้าจะทำให้น้ำปนเปื้อนตามไปด้วย
เราสามารถถือผ้าขนหนูเล็ก ๆ เข้าไปได้ (เอาไว้ปิดแก้เขิน) แต่ห้ามเอาลงน้ำด้วยเด็ดขาด มีสองทางเลือกคือเอาผ้าวางไว้ข้างบ่อ หรือไม่ก็โปะหัวไว้แบบในการ์ตูนครับ
ในห้องอาบน้ำในร่มจะมี "บ่อน้ำร้อน"ไว้ให้แช่สำหรับคนอยากแช่แบบไม่หนาวมาก และ "รางน้ำเย็น"พร้อมสบู่ให้ล้างตัว เราก็กลั้นใจเอาน้ำเย็นราดตัว อาบน้ำแบบเร็วๆ ให้ตัวสะอาด แล้วจะเลือกแช่บ่อไหนก็ตามสบาย บ่อในร่มก็จะเล็กหน่อย แช่ได้ 3-4 คนเป็นอย่างมาก
บ่อกลางแจ้งนั้นอลังการกว่ากันมาก เนื่องจากมันอยู่ติดเขา และมาเจอจังหวะใบไม้เปลี่ยนสี autumn พอดีก็จะเป็นการแช่น้ำที่สวยงามแบบนี้ (ภาพนี้ของบ่อหญิงฝั่งซ้ายมือ)
บ่อรวมครับ มีต้นไม้เยอะแยะธีมจังเกิลเลย แต่สะอาดมากเพราะผู้ดูแลเก็บใบไม้ร่วงกันตลอด
บ่อหญิงฝั่งขวามือ มีประตูแยก รั้วกั้นมิดชิด
มาแช่น้ำร้อนแบบนี้ก็สบายดีมากครับ ผมแช่บ่อรวมก็เจอแต่ลุงๆ คนญี่ปุ่นมาบ้างทีละ 2-3 คน คนไม่เยอะ แช่กันเงียบๆ ผ่อนคลาย ดูวิวต้นไม้บ้าง ดูดาวบ้าง (แช่ตอนกลางคืนด้วย) happy มาก
การแช่น้ำร้อนแบบนี้ไม่ควรแช่นานนัก สัก 15-20 นาทีก็พอแล้ว หรือไม่งั้นจะขึ้นมาอาบน้ำเย็นลดอุณหภูมิแล้วค่อยกลับไปแช่ใหม่ก็ได้ น้ำร้อนที่นี่สีน้ำนมจริงดังคำโฆษณา และมีกลิ่นกำมะถันอยู่บ้าง (เสื้อยืดตัวที่ผมใส่หลังอาบน้ำเสร็จ ยังมีกลิ่นกำมะถันติดมาถึงเมืองไทยเลย)
สรุปว่ามานอนค้าง 1 คืน แช่ไป 3 รอบคือ เย็น ค่ำ เช้า (มาตอนค่ำๆ ก็สวยไปอีกแบบ ตรงโรงอาบน้ำมีไฟสว่างไม่ต้องกังวล)
อาหารการกิน
มานอนเรียวกังก็ต้องกินอาหารแบบเรียวกังครับ ในอาคารเก่าเป็นห้องโถงสำหรับรับประทานอาหารพร้อมกัน ซึ่งทางรีสอร์ทจะจัดชุดไว้ให้เราอยู่แล้ว นั่งให้ตรงกับเบอร์ห้องก็พอ
อาหารเย็นมาเป็นเซ็ตครับ ส่วนใหญ่เป็นผักและเห็ดดอง รสชาติธรรมชาติแท้ๆ เครื่องดื่มมีน้ำชาให้ (ตักเอง) ข้าวเติมได้ตลอด (ตักเอง) ถ้าอยากกินเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น เบียร์ หรือ สาเก ก็จ่ายเพิ่มเองได้
ทีเด็ดอยู่ที่ไอ้นี่ครับ ปลาปิ้งกับซุปผักป่าใส่มิโซะที่ตั้งอยู่กลางห้อง ใช้เตาแบบญี่ปุ่นโบราณ (Irori) ดูอลังการมาก พวกนี้เค้าจะเสิร์ฟให้เราหมดนะครับไม่ต้องไปตักเอง ซุปเติมได้ไม่อั้น
ปลาปิ้งครับ (ดูจากในเว็บเขาเรียก Iwana) ทริปนี้กินไปหลายตัว อร่อยทุกที่เลยแหะ เป็นปลาน้ำจืดพอกเกลือ ปิ้งเกรียมๆ
ในห่อฟอยล์เป็น "เห็ดอบ"
เห็ดกับข้าวทอดเป็นก้อน ราดน้ำเกรวี
อาหารเช้าไม่อลังการเท่าอาหารเย็นครับ เป็นแนวๆ ผักและเห็ดเหมือนเดิม มีปลาให้ตัวเล็กๆ หนึ่งตัวเป็นปลาดองหวานๆ เค็มๆ
บริเวณโดยรอบ
จริงๆ ตอนที่ไปนี่ป่าเขาสวยน่าเดินมากครับ แต่ได้เดินกันนิดเดียวเพราะมัวแต่ห่วงอาบน้ำ (ฮา)
ลำธารน้ำร้อนและภูเขา
รางน้ำข้างอาคารเก่า
อาคารอื่นๆ ในบริเวณนั้น
ทางเข้าหลักของ Tsurunoyu
ลำธารหน้าทางเข้าที่พัก
เหลืองไปหมด
ด้านซ้ายมือของตัวรีสอร์ท มีเนินเขาเล็กๆ มีศาลเจ้าอยู่ข้างบน เดินไปดูได้ครับ
บันไดขึ้นศาลเจ้า
ศาลเจ้าครับ เข้าไปดูไม่ได้นะ
Tsurunoyu จากมุมสูง
ด้านซ้ายมือตรงที่จอดรถ มีเส้นทางเดินป่ารอบๆ เขา มีคนไปเดินกันบ้างประปราย ต้นไม้สวยแต่พื้นจะแฉะๆ หน่อย
ประสบการณ์แช่น้ำร้อน ออนเซ็นกลางป่า
สรุปว่าเป็นประสบการณ์สุดยอดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยครับ ที่พักดี อาหารอร่อย น้ำร้อนเยี่ยม ทิวทัศน์สวยงาม คุ้มค่ากับการเดินทางดั้นด้นขึ้นมาบนป่าเขาอันไกลโพ้นเป็นอย่างยิ่ง
ค่าห้องนับเป็นต่อหัวคนละ 8,550 เยนครับ (รวมค่าอาหารแล้วสองมื้อ) จ่ายตอนเช็คเอาท์เลย ไม่ต้องจ่ายล่วงหน้า
เวลารถออกไปส่งคนในแต่ละวัน พร้อมเวลาที่รถไปถึง Arupa (ช่องที่สอง) และเวลาเดินทางกลับไปยัง Tazawako Station (ช่องที่สาม) ผมนั่งรถเที่ยว 8.30 กลับครับ ใช้เวลาอีกราวชั่วโมงนึงก็กลับไปถึง Tazawako แล้ว
ถ้าให้มาที่นี่ใหม่อีกรอบก็มาแน่นอนครับ เพียงแต่กระบวนการจองห้องอาจยุ่งยากและต้องอาศัยโชคช่วยอยู่เยอะ (ถ้าผมไม่มีเพื่อนอยู่ญี่ปุ่นคอยจองให้ ก็คงไม่มีปัญญาจองเองเหมือนกัน ต้องขอบคุณเพื่อนมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)