Quantcast
Channel: Isriya Paireepairit blogs
Viewing all 557 articles
Browse latest View live

โทโฮคุดูใบไม้หลากสี (4): แช่ออนเซ็นน้ำนม Nyuto Onsen

$
0
0

ตอนที่แล้วไปเที่ยวทะเลสาบ Towadaตอนนี้เราจะไปอีกทะเลสาบหนึ่งที่อยู่ถัดลงมาหน่อยคือทะเลสาบ Tazawa หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียก Tazawako ครับ

Nyuto Onsen

เป้าหมายของการไปเที่ยวไม่ใช่ตัวทะเลสาบ แต่เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่มีชื่อเสียงซึ่งอยู่ละแวกใกล้ๆ กันคือ Nyuto Onsen โดยจุดประสงค์สูงสุดคือการ "แช่น้ำร้อนกลางแจ้ง ชมใบไม้เปลี่ยนสี"

ตอนก่อนไปลุ้นกันเต็มที่ว่าใบไม้มันจะเปลี่ยนสีหรือเปล่า สุดท้ายก็สมหวังเพราะไปเจอจังหวะใบไม้กำลังสวยพอดี

การเดินทางไปยังทะเลสาบ Tazawa

ทะเลสาบ Tazawa เป็นทะเลสาบที่ลึกเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น (ลึก 423 เมตร) ตัวทะเลสาบวิวไม่ถึงกับสวยมาก แต่มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำร้อนและรีสอร์ทสกี

ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ในจังหวัดอาคิตะ ใต้จากทะเลสาบ Towada ของตอนก่อนมาอีกหน่อย แต่การเดินทางด้วยรถไฟไม่สามารถตัดลงมาจาก Aomori ตรงๆ ได้ด้วยเหตุผลว่าเป็นเขตภูเขา (ถ้ามาทางรถก็ไม่มีปัญหา) ต้องนั่งชินคันเซ็นมาที่ Morioka ก่อน (ถ้ามาจากโตเกียวก็ต้องมาตั้งต้นที่ Morioka เหมือนกัน)

แผนที่การเดินทางถนน-รถไฟสำคัญๆ ระหว่าง Towada กับ Tazawa สามารถดูได้จาก Japan Guideโดยระหว่างทางมีภูเขา Hachimantai อีกอันที่มีชื่อเสียง (ถ้ามาด้วยทางรถนะ)

morioka-tazawa

ถ้ายังจำกันได้ รถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansenเป็นรถพ่วงกันสองขบวนมาจากโตเกียว แล้วจะมาแยกกันที่สถานี Morioka นี่เองครับ โดยสายหนึ่งขึ้นเหนือไปจังหวัด Aomori ส่วนอีกสายหนึ่งออกซ้าย มุ่งตะวันตกไปจังหวัด Akita

เรามาจาก Aomori ก็เลยต้องเดินทางกันหลายต่อหน่อย (จากต้นทางถึงปลายทางใช้ 5 ต่อ) โดยเริ่มจากสถานี Aomori นั่งไปลง Shin-Aomori เพื่อขึ้นรถไฟความเร็วสูงก่อน ใช้เวลาบนชินคันเซ็นประมาณ 53 นาทีก็ถึง Morioka แล้ว (แหม่ รถไฟความเร็วสูงนี่ดีจริงๆ)

ต่อที่สามก็เหลือแค่นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย Akita (Komachi หรือ Super Komachi) มาลงสถานี Tazawako ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง รวมเวลาทั้งหมดจากสถานีต้นทางถึงปลายทางประมาณ 2 ชั่วโมงกับระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร (แหม่ รถไฟความเร็วสูงนี่ดีจริงๆ)

สถานี Tazawako ครับ เป็นสถานีของเมือง Tazawako ที่อยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบ (แต่ไม่ติดทะเลสาบนะ)

WP_20131024_09_48_22_Pro

สถานีนี้มีของเล่นของโชว์เยอะเลย

WP_20131024_09_32_57_Pro

WP_20131024_09_32_41_Pro

ข้างในสถานีมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่อยู่ด้วย แต่เอกสารส่วนใหญ่ก็ภาษาญี่ปุ่นล้วน จากแผนที่ข้างล่างจะเห็นเมือง Tazawako เป็นจุดสีแดง ซึ่งจะอยู่ห่างออกจากทะเลสาบมาหน่อยนึง

WP_20131024_09_37_43_Pro

คาแรกเตอร์ประจำเมืองเป็น "น้ำพุร้อนคุง"และผองเพื่อนครับ ตัวสีเขียวน่าจะเป็นภูเขา ส่วนตัวสีแดงดูไม่ออกว่าคืออะไร

WP_20131024_09_40_26_Pro

หน้าสถานี

WP_20131024_09_30_23_Pro

สถานีจากระยะไกล

WP_20131023_12_07_25_Pro

เดินทางไปถึงสถานีตอนใกล้เที่ยง มีจังหวะก็รีบกินข้าวก่อนเพราะต้องเดินทางอีกหลายต่อ หน้าสถานีมีร้านอาหารให้เลือกนิดหน่อย (ออกจากสถานีแล้วเดินมาทางขวามือ) ซึ่งป้ายรถที่เราจะขึ้นไปยัง Nyuto Onsen ก็อยู่ตรงหน้าร้านนี้พอดี

Mizuumi Tazawako

ร้านชื่อว่า Mizuumiข้อมูลตามลิงก์ อยู่ไกลจากป้ายรถเมล์มากๆ เลยครับ

Nyuto Onsen

บรรยากาศภายในร้าน

Mizuumi Tazawako

Mizuumi Tazawako

ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษนะ ไม่มีปัญหา

Nyuto Onsen

ราเม็งกุ้งทอดครับ มีให้เลือกทั้งเส้นโซบะและอุด้ง

WP_20131023_11_50_00_Pro

เฉยๆ ไม่ถึงกับอร่อยมาก แต่ร้อนๆ อบอุ่นดี กินกันตาย

WP_20131023_11_50_10_Pro

กินข้าวเสร็จแล้วก็เดินทางกันต่อ

การเดินทางจาก Tazawako ไปยัง Nyuto Onsen

การเดินทางไปยังหมู่บ้านน้ำพุร้อนในละแวกนี้มีทางเดียวคือทางรถ ซึ่งถ้าเราจะขึ้นรถบัสก็ต้องมาเริ่มจากสถานี Tazawako นี่ล่ะครับ ส่วนจะขึ้นไปไหนอย่างไรก็ขึ้นกับเป้าหมายปลายทางของเราว่าเลือกหมู่บ้านน้ำพุร้อนแห่งไหน

Tazakako Bus Map

กรณีของผมคือหมู่บ้าน Nyuto โดยวิธีการไปคือนั่งรถบัสจากสถานี Tazawako Station ไปลงที่ป้าย Alpa หรือ Arupa แล้วให้รีสอร์ทมารับอีกต่อหนึ่ง

เส้นทางบนถนนจริงๆ เป็นดังภาพ (รีสอร์ทที่ไปนอนชื่อ Tsuru-no-yu ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน Nyuto Onsen อีกทีหนึ่ง)

arupa-tazawako

ป้ายรถบัสไป Nyuto คือป้ายเบอร์หนึ่งเลย

WP_20131023_12_07_57_Pro

รอบเวลารถบัสไป Nyuto เที่ยวที่ขึ้นคือ 12.15 ครับ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงไปที่สถานี Arupa ค่าโดยสาร 800 เยน รถบัสเป็นรถขนาดเล็กนั่งได้ประมาณ 20 คน

Nyuto Onsen

ตั๋วรถบัส

Nyuto Onsen

บนรถบัส มีนักท่องเที่ยวประปราย

Nyuto Onsen

บรรยากาศข้างทาง ภูเขายังเขียวๆ อยู่เลย ตอนแรกนั่งไปก็หวั่นๆ ครับ

Nyuto Onsen

พอขึ้นไปถึงความสูงระดับหนึ่ง ต้นไม้มันนึกอยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนสีทั้งหมดเลยครับ ยังกะเข้าไปเมืองลับแล

Nyuto Onsen

Nyuto Onsen

ภูเขาเบื้องหน้าสีน้ำตาลแดงแล้ว

Nyuto Onsen

ระหว่างเส้นทาง รถจะวิ่งวนไปริมทะเลสาบ Tazawa ก่อนหน่อยนึง ทะเลสาบนี้มีจุดเด่นคือรูปปั้นสีทองอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบ อันนี้ไม่ได้ไปนะ

Nyuto Onsen

WP_20131024_09_13_22_Pro

ปลายทางของเราอยู่บนเขา มันเป็นจุดบริการนักท่องเที่ยวที่มาเล่นสกีชื่อ Arupa หรือ Alpa โดยจากสถานีนี้มองย้อนไปจะเห็นวิวทะเลสาบด้วย

WP_20131023_13_04_42_Pro

WP_20131024_08_48_26_Pro

แผนผังของ Arupa

Nyuto Onsen

ภายใน Arupa ครับ มีนิทรรศการเรื่องดินน้ำภูเขาให้ดู ส่วนด้านหลังเป็นร้านอาหารเล็กๆ

WP_20131023_13_00_34_Pro

ตามหลักแล้ว เมื่อไปถึง Arupa ก็ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้โทรศัพท์ไปยังรีสอร์ทให้เขาขับรถมารับครับ แต่เคสของผมไปถึงแล้วพบว่า "เจ้าหน้าที่หายไป" o_O เคาเตอร์นักท่องเที่ยวนั้นปิดสนิทไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำการ

เดินไปถามที่คนขายของด้านในก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องสักนิด แต่สุดท้ายปัญหาคลี่คลายเพราะมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง (คุณป้ากางเกงชมพูในรูปข้างบน) จะไปที่รีสอร์ทเดียวกัน เขาพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างเลยอาสาจะช่วยพาเราติดไปด้วยจนถึงรีสอร์ทครับ (รอดไปนะ ถ้าไม่ได้คุณป้าคนนี้ก็ไม่รู้จะไปต่อยังไงเหมือนกัน)

Nyuto Onsen

Nyuto Onsen เป็นชื่อของ "หมู่บ้าน"ที่สร้างขึ้นตามแนวน้ำพุร้อนครับ ในหมู่บ้านนี้มี "รีสอร์ท"หรือ "เรียวกัง"ที่ให้คนไปแช่น้ำร้อนทั้งหมด 7 แห่ง รายละเอียดสามารถดูได้จาก เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Nyuto Onsen

ชื่อ Nyuto "นิวโตะ"นั้นแปลว่า "หัวนม"ซึ่งความหมายของมันก็คือสะท้อนว่าน้ำแร่แถวนี้สีสันจะขาวๆ ขุ่นๆ เหมือนน้ำนมนั่นเอง

รีสอร์ทพวกนี้จะเปิดให้คนนอกไปอาบน้ำได้ในช่วงกลางวัน (เช่น 10-15 น) ส่วนเวลาที่เหลือจะสงวนไว้สำหรับแขกที่มาพักค้างคืนเท่านั้น สรรพคุณของน้ำแร่ในแต่ละบ่อก็อาจจะต่างกันบ้าง (เพื่อสร้างจุดขาย)

หมู่บ้านน้ำร้อน Nyuto Onsen มีชื่อเสียงมาก มีคนมาพักตลอดปี หาที่พักยากมาก ตรงนี้ไม่รู้ว่าผมโชคดีอย่างไรก็ไม่ทราบ เข้าไปเช็คข้อมูลของรีสอร์ทที่ดังที่สุดในละแวกนี้คือ Tsurunoyu Onsen (เว็บไซต์มีภาษาอังกฤษ) แล้วดันว่างอยู่ห้องนึงพอดีครับ (ห้องเดียวจริงๆ จากทั้งหมด 30 ห้อง) เวลาไม่คอยท่าเลยให้เพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นรีบโทรไปจองให้ (ไม่รับจองผ่านเว็บ แต่ดูได้ว่ามีห้องว่างหรือไม่) สุดท้ายก็ได้ห้องมาแบบฟลุคๆ (จองล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน)

Tsurunoyu เป็นรีสอร์ทที่เก่าแก่ที่สุดคือสร้างตั้งแต่ปี 1638 เพื่อให้เจ้าเมืองในขณะนั้นมาอาบน้ำ จากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาเรื่อยมา แต่บรรยากาศโดยรวมก็ยังเป็นโรงอาบน้ำโบราณ เรียวกังสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง มีอาหารญี่ปุ่นแบบพื้นเมืองรวมอยู่ในค่าห้องทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้า รวมถึงบริการรถรับส่งไปยัง Arupa Center ด้วย จุดเด่นของที่นี่คือ "บ่อน้ำกลางแจ้ง"ครับ

หน้าตาของ Tsurunoyu ครับ อยู่ติดเขาเลย จังหวะดีมากใบไม้กำลังแดงเหลืองเลย ด้านหน้าเป็นลานจอดรถ ส่วนของรีสอร์ทที่พักจะเริ่มจากตรงธงเหลืองเป็นต้นไป

WP_20131024_08_23_06_Pro

ที่นี่เคยมีละครเกาหลีเรื่อง Iris มาถ่ายทำด้วย (ถ่ายตอนหน้าหนาวหิมะตก) เขาเลยแปะรูปติดไว้เป็นที่ระลึกตรงลานจอดรถ

WP_20131024_08_17_33_Pro

ป้ายทางเข้า โรงอาบน้ำอยู่สุดซอย ซ้ายขวาเป็นอาคารที่พัก โดยฝั่งซ้ายเป็นอาคารชั้นเดียวแบบญี่ปุ่นโบราณ ส่วนฝั่งขวาเป็นอาคารสองชั้นที่ทันสมัยหน่อย (ผมนอนฝั่งขวา ชั้นสอง)

WP_20131024_07_39_01_Pro

เดินเข้ามาสุดทางจะเจอรีเซปชั่นของโรงแรมอยู่ห้องทางซ้ายมือครับ ข้างหน้าเป็นลำธารเล็กๆ ระบายน้ำที่ออกมาจากโรงอาบน้ำที่อยู่ถัดจากลำธารออกไป (หลังคาขวามือในภาพ) ส่วนคนที่เห็นนั่งๆ กันอยู่นี้คือคนนอกที่แวะมาอาบน้ำแล้วนั่งรอคนอื่นๆ ที่กำลังอาบอยู่

WP_20131023_13_34_21_Pro

WP_20131023_13_30_34_Pro

Nyuto Onsen

ลำธารครับ เป็นธารน้ำร้อนเลยแหละ

WP_20131023_16_47_23_Pro

ยืนอยู่บนสะพานข้ามลำธาร มองย้อนกลับไปตรงทางเข้า รีสอร์ทมีแค่นี้จริงๆ

WP_20131024_07_13_49_Pro

มองจากตึกชั้นสองลงมาครับ จะเห็นบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งอยู่ด้านขวามือในภาพ คือมันโจ่งแจ้งมากๆ มีฉากกันเป็นต้นไม้นิดหน่อยเท่านั้นเอง (บ่อที่นี้มี 2 ประเภทคือ บ่อหญิงล้วน กับ บ่อรวม ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วก็คือบ่อชายนั่นแหละ)

WP_20131023_14_24_18_Pro

แผนที่บ่อน้ำร้อนครับ บ่อรวมอยู่ตรงกลาง มีบ่อในร่มเล็กๆ ให้แช่ด้วย ส่วนบ่อหญิงอยู่ฝั่งซ้ายสุดและขวาสุด (บ่อหญิงแบบกลางแจ้งมี 2 บ่อ) และมีเรือนที่เอาไว้แช่แบบในร่มอีกนิดหน่อย

Nyuto Onsen

เรือนพัก

เมื่อไปถึงแล้ว (ไปถึงเร็ว) รีเซ็ปชั่นโรงแรมที่พอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างก็บอกว่าต้องรอห้องสักพัก เอาของไปเก็บไว้ตรงห้องอาหารที่อยู่ติดกันก่อนได้ เราก็เลยต้องไปเดินเล่นรอบๆ บริเวณรอ (ซึ่งเป็นป่าที่กำลังสวยได้ที่) เมื่อถึงเวลาที่ต้องการเขาก็พาขึ้นไปบนห้องพัก

เรือนพักที่ไปเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น กระดานขัดซะลื่น (เดินเสียงดังกลัวรบกวนห้องอื่นๆ เหมือนกัน) ห้องน้ำรวม (มีแต่ห้องส้วมกับอ่างล้างมือ) ชั้นละห้อง ห้องอาบน้ำไม่มีเพราะไปอาบในออนเซ็นเอาสิ

WP_20131023_14_23_50_Pro

ห้องนอนขนาด 6 เสื่อครับ มีแค่นี้แหละ หน้าหนาวมีฮีตเตอร์ให้

WP_20131023_14_22_08_Pro

สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้อง มีราวตากผ้า ชั้นวางของ ชุดชงชา ชุดอาบน้ำ

WP_20131023_14_27_09_Pro

ชุดชงชาครับ

WP_20131023_14_29_54_Pro

ขนมเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้กินกับชา

WP_20131023_14_29_41_Pro

ชุดอาบน้ำ ประกอบด้วยยูกาตะ ผ้าขนหนูขนาดเล็ก และถุงให้ใส่ของเดินไปโรงอาบน้ำ

Nyuto Onsen

ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่า ห้องแบบญี่ปุ่นที่มีโต๊ะเตี้ยๆ ตรงกลางห้องนี่มันนั่งแล้วเมื่อยหลังมาก คนไทยแบบเราๆ ต้องแก้ปัญหาโดยการไปนั่งพิงกำแพงแทน

ตอนค่ำมีคนมาปูที่นอนให้ ถ้าปูเองคงไม่มีทางได้นอน

WP_20131023_19_04_14_Pro

ที่นอนเค้าก็เก็บในตู้ในผนังแบบเดียวกับบ้านโนบิตะนั่นแหละครับ

Nyuto Onsen

ที่นอนพร้อมผ้าห่มอย่างหนา

WP_20131023_19_06_28_Pro

ห้องน้ำ มีห้องส้วมแยกเป็นสัดส่วน โถฉี่ผู้ชาย และอ่างล้างมือ

WP_20131023_14_23_15_Pro

ชั้นล่างมีห้องอาหารแบบนั่งโต๊ะด้วย (คาดว่าน่าจะขายตอนเที่ยง) เราไม่ได้ใช้งานเพราะอาหารเช้า-เย็นอยู่ตึกเก่า

WP_20131023_17_00_40_Pro

WP_20131023_17_00_54_Pro

โรงอาบน้ำ

เข้าสู่ส่วนสำคัญของออนเซ็นแห่งนี้คือ "โรงอาบน้ำ"เลยดีกว่าครับ (รูปประกอบอาจไม่เยอะเท่าที่ควร เพราะกลัวเสียมารยาทถ้าถ่ายรูปเวลามีคนอยู่)

Nyuto Onsen

เมื่อเก็บของเข้าห้องเรียบร้อยก็ได้เวลาไปอาบน้ำกันสักที วิธีการก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก เก็บข้าวของเดินไปโรงอาบน้ำ (จะใส่ยูกาตะหรือไม่ก็ได้) เลือกบ่อที่ต้องการ (ผู้ชายเลือกได้บ่อเดียว) แล้วก็เดินเข้าห้องแต่งตัวซึ่งจะแยกชายหญิงอยู่แล้ว

ในห้องแต่งตัวก็จะเหมือนในการ์ตูนคือมีตะกร้าผ้าซ้อนเป็นชั้นๆ ให้เลือกตามสะดวก เราก็เลือกมาสักอันแล้วก็ทำใจกล้าๆ ถอดครับ ถอดให้หมดทุกอย่างไม่ต้องเหลืออะไรไว้เลย (คนอื่นเขาก็ถอดกันหมด ไม่มีใครมองกัน)

ในอาคารเดียวกับห้องแต่งตัว เค้าจะแยกบ่อในร่มไว้ให้ เราก็เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปได้เลย

Nyuto Onsen

ป้ายคำเตือนหน้าประตูครับ แนวคิดของออนเซ็นคือใช้น้ำร้อนร่วมกัน ดังนั้นทุกคนต้องสะอาดเพื่อคนอื่น และวิธีที่จะสะอาดที่สุดคือทุกคนต้องเปลือยไม่ใส่อะไรเลย (แล้วอาบน้ำล้างตัวก่อนลงแช่) ถ้าใส่ชุดอาบน้ำหรือผ้าใดๆ ลงไปด้วย ความสกปรกของผ้าจะทำให้น้ำปนเปื้อนตามไปด้วย

Nyuto Onsen

เราสามารถถือผ้าขนหนูเล็ก ๆ เข้าไปได้ (เอาไว้ปิดแก้เขิน) แต่ห้ามเอาลงน้ำด้วยเด็ดขาด มีสองทางเลือกคือเอาผ้าวางไว้ข้างบ่อ หรือไม่ก็โปะหัวไว้แบบในการ์ตูนครับ

ในห้องอาบน้ำในร่มจะมี "บ่อน้ำร้อน"ไว้ให้แช่สำหรับคนอยากแช่แบบไม่หนาวมาก และ "รางน้ำเย็น"พร้อมสบู่ให้ล้างตัว เราก็กลั้นใจเอาน้ำเย็นราดตัว อาบน้ำแบบเร็วๆ ให้ตัวสะอาด แล้วจะเลือกแช่บ่อไหนก็ตามสบาย บ่อในร่มก็จะเล็กหน่อย แช่ได้ 3-4 คนเป็นอย่างมาก

Nyuto Onsen

Nyuto Onsen

บ่อกลางแจ้งนั้นอลังการกว่ากันมาก เนื่องจากมันอยู่ติดเขา และมาเจอจังหวะใบไม้เปลี่ยนสี autumn พอดีก็จะเป็นการแช่น้ำที่สวยงามแบบนี้ (ภาพนี้ของบ่อหญิงฝั่งซ้ายมือ)

Nyuto Onsen

Nyuto Onsen

Nyuto Onsen

Nyuto Onsen

Nyuto Onsen

บ่อรวมครับ มีต้นไม้เยอะแยะธีมจังเกิลเลย แต่สะอาดมากเพราะผู้ดูแลเก็บใบไม้ร่วงกันตลอด

Nyuto Onsen

บ่อหญิงฝั่งขวามือ มีประตูแยก รั้วกั้นมิดชิด

Nyuto Onsen

มาแช่น้ำร้อนแบบนี้ก็สบายดีมากครับ ผมแช่บ่อรวมก็เจอแต่ลุงๆ คนญี่ปุ่นมาบ้างทีละ 2-3 คน คนไม่เยอะ แช่กันเงียบๆ ผ่อนคลาย ดูวิวต้นไม้บ้าง ดูดาวบ้าง (แช่ตอนกลางคืนด้วย) happy มาก

การแช่น้ำร้อนแบบนี้ไม่ควรแช่นานนัก สัก 15-20 นาทีก็พอแล้ว หรือไม่งั้นจะขึ้นมาอาบน้ำเย็นลดอุณหภูมิแล้วค่อยกลับไปแช่ใหม่ก็ได้ น้ำร้อนที่นี่สีน้ำนมจริงดังคำโฆษณา และมีกลิ่นกำมะถันอยู่บ้าง (เสื้อยืดตัวที่ผมใส่หลังอาบน้ำเสร็จ ยังมีกลิ่นกำมะถันติดมาถึงเมืองไทยเลย)

สรุปว่ามานอนค้าง 1 คืน แช่ไป 3 รอบคือ เย็น ค่ำ เช้า (มาตอนค่ำๆ ก็สวยไปอีกแบบ ตรงโรงอาบน้ำมีไฟสว่างไม่ต้องกังวล)

WP_20131023_17_03_24_Pro

อาหารการกิน

มานอนเรียวกังก็ต้องกินอาหารแบบเรียวกังครับ ในอาคารเก่าเป็นห้องโถงสำหรับรับประทานอาหารพร้อมกัน ซึ่งทางรีสอร์ทจะจัดชุดไว้ให้เราอยู่แล้ว นั่งให้ตรงกับเบอร์ห้องก็พอ

WP_20131023_18_01_31_Pro

อาหารเย็นมาเป็นเซ็ตครับ ส่วนใหญ่เป็นผักและเห็ดดอง รสชาติธรรมชาติแท้ๆ เครื่องดื่มมีน้ำชาให้ (ตักเอง) ข้าวเติมได้ตลอด (ตักเอง) ถ้าอยากกินเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น เบียร์ หรือ สาเก ก็จ่ายเพิ่มเองได้

WP_20131023_18_07_51_Pro

ทีเด็ดอยู่ที่ไอ้นี่ครับ ปลาปิ้งกับซุปผักป่าใส่มิโซะที่ตั้งอยู่กลางห้อง ใช้เตาแบบญี่ปุ่นโบราณ (Irori) ดูอลังการมาก พวกนี้เค้าจะเสิร์ฟให้เราหมดนะครับไม่ต้องไปตักเอง ซุปเติมได้ไม่อั้น

WP_20131023_18_00_08_Pro

ปลาปิ้งครับ (ดูจากในเว็บเขาเรียก Iwana) ทริปนี้กินไปหลายตัว อร่อยทุกที่เลยแหะ เป็นปลาน้ำจืดพอกเกลือ ปิ้งเกรียมๆ

WP_20131023_18_08_32_Pro

ในห่อฟอยล์เป็น "เห็ดอบ"

WP_20131023_18_09_12_Pro

เห็ดกับข้าวทอดเป็นก้อน ราดน้ำเกรวี

WP_20131023_18_11_17_Pro

อาหารเช้าไม่อลังการเท่าอาหารเย็นครับ เป็นแนวๆ ผักและเห็ดเหมือนเดิม มีปลาให้ตัวเล็กๆ หนึ่งตัวเป็นปลาดองหวานๆ เค็มๆ

Nyuto Onsen

บริเวณโดยรอบ

จริงๆ ตอนที่ไปนี่ป่าเขาสวยน่าเดินมากครับ แต่ได้เดินกันนิดเดียวเพราะมัวแต่ห่วงอาบน้ำ (ฮา)

ลำธารน้ำร้อนและภูเขา

Nyuto Onsen

Nyuto Onsen

รางน้ำข้างอาคารเก่า

WP_20131023_13_36_17_Pro

อาคารอื่นๆ ในบริเวณนั้น

WP_20131024_08_25_31_Pro

ทางเข้าหลักของ Tsurunoyu

Nyuto Onsen

ลำธารหน้าทางเข้าที่พัก

Nyuto Onsen

เหลืองไปหมด

WP_20131023_14_15_04_Pro

ด้านซ้ายมือของตัวรีสอร์ท มีเนินเขาเล็กๆ มีศาลเจ้าอยู่ข้างบน เดินไปดูได้ครับ

Nyuto Onsen

บันไดขึ้นศาลเจ้า

Nyuto Onsen

ศาลเจ้าครับ เข้าไปดูไม่ได้นะ

WP_20131023_14_10_16_Pro

Tsurunoyu จากมุมสูง

WP_20131023_14_14_39_Pro

ด้านซ้ายมือตรงที่จอดรถ มีเส้นทางเดินป่ารอบๆ เขา มีคนไปเดินกันบ้างประปราย ต้นไม้สวยแต่พื้นจะแฉะๆ หน่อย

WP_20131023_13_45_15_Pro

WP_20131023_13_53_41_Pro

WP_20131023_13_51_09_Pro

Nyuto Onsen

ประสบการณ์แช่น้ำร้อน ออนเซ็นกลางป่า

สรุปว่าเป็นประสบการณ์สุดยอดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยครับ ที่พักดี อาหารอร่อย น้ำร้อนเยี่ยม ทิวทัศน์สวยงาม คุ้มค่ากับการเดินทางดั้นด้นขึ้นมาบนป่าเขาอันไกลโพ้นเป็นอย่างยิ่ง

ค่าห้องนับเป็นต่อหัวคนละ 8,550 เยนครับ (รวมค่าอาหารแล้วสองมื้อ) จ่ายตอนเช็คเอาท์เลย ไม่ต้องจ่ายล่วงหน้า

Nyuto Onsen

เวลารถออกไปส่งคนในแต่ละวัน พร้อมเวลาที่รถไปถึง Arupa (ช่องที่สอง) และเวลาเดินทางกลับไปยัง Tazawako Station (ช่องที่สาม) ผมนั่งรถเที่ยว 8.30 กลับครับ ใช้เวลาอีกราวชั่วโมงนึงก็กลับไปถึง Tazawako แล้ว

Nyuto Onsen

ถ้าให้มาที่นี่ใหม่อีกรอบก็มาแน่นอนครับ เพียงแต่กระบวนการจองห้องอาจยุ่งยากและต้องอาศัยโชคช่วยอยู่เยอะ (ถ้าผมไม่มีเพื่อนอยู่ญี่ปุ่นคอยจองให้ ก็คงไม่มีปัญญาจองเองเหมือนกัน ต้องขอบคุณเพื่อนมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)

WP_20131024_08_20_31_Pro


โทโฮคุดูใบไม้หลากสี (5): ล่องเรือเขื่อน Geibikei

$
0
0

ทริปไปเที่ยวโทโฮคุ ล่องใต้ลงมาเรื่อยๆ นะครับ จากละแวก Tazawa Lakeเราก็เดินทางลงมาอีกหน่อยที่เมือง Geibikei (เกบิเค) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการล่องเรือริมลำธารเล็กๆ แต่สวยงาม

การเดินทางไป Geibikei

เกบิเคหรือ Geibikei เป็นเขื่อนธรรมชาติของร่องน้ำเล็กๆ ที่อยู่กลางภูเขาหิน จุดท่องเที่ยวคือการล่องเรือริมลำธารที่อยู่ใต้เขื่อนอันนี้ครับ (รายละเอียดจาก Japan-Guide)

Geibikei เป็นชื่อเมืองที่อยู่ติดกับ Geibikei Gorge (อย่าสับสนกับ Genbikei "เก็นบิเค"ที่อยู่ใกล้เคียงละแวก Ichinoseki เหมือนกัน)

จากเมือง Tazawako ในตอนที่แล้วอยู่ตรงกับเมือง Morioka แต่ Geibikei จะอยู่ถัดลงมาอีกหนึ่งระดับคือใกล้กับเมืองอิชิโนะเซกิ Ichinoseki ในทางรถไฟสาย Tohoku Shinkansen ตามภาพ พื้นที่ตรงนี้คือจังหวัดอิวาเตะ (Iwate)

geibikei

การเดินทางของผมจึงต้องออกมาจาก Nyuto Onsen กลับมาที่ Morioka ให้ได้ก่อน (นั่ง 3 ต่อ) แล้วจากนั้นจับรถไฟชินคันเซ็นลงมาที่ Ichinoseki (ใช้เวลา 37 นาที) ถ้ามาจากโตเกียวก็ต้องมาตั้งต้นที่ Ichinoseki อยู่ดีครับ

Ichinoseki

ในละแวกของ Ichinoseki ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในแถบโทโฮคุอีกหลายอย่าง (ที่ผมไม่ได้ไป) เช่น เมืองมรดกโลก Hiraizumi, Genbikei และพื้นที่ชายฝั่งทะเล Sanriku

เมื่อมาถึง Ichinoseki เรามี 2 ทางเลือกไปยัง Geibikei คือรถบัสและรถไฟ

เนื่องจากเราถือ JR Pass อยู่แล้วก็เลยนั่งรถไฟครับ เป็นรถไฟสาย JR Ofunato Line ที่นานๆ ทีจะมาขบวนหนึ่ง (เมือง Geibikei มันเล็ก) ดังนั้นควรคำนวณเวลาดีๆ เพราะอาจไม่มีรถไฟกลับไป Ichinoseki

สำหรับคนที่อยากมีทางเลือกเป็นการนั่งรถบัส ดูตารางรถบัสเผื่อไว้ได้ (PDF ภาษาญี่ปุ่น)

Ichinoseki

สถานี Ichinoseki มีพิกาชูเป็นมาสค็อตซะงั้น

Ichinoseki

มาสค็อตอีกอย่างของที่นี่คือ "ชามโซบะ"

Ichinoseki

ข้าวกล่องรถไฟ (Ekiben) ที่ Ichinoseki ครับ ทริปนี้ผมกินข้าวกล่องรถไฟไปเยอะมากเหมือนกันนะเนี่ย

Ichinoseki

มีเวลาที่สถานี Ichinoseki ประมาณครึ่งชั่วโมง เลยหาอะไรกินรองท้องครับ ไปเจอไอ้นี่แปลกดี "ทาโกะยากิตู้กด" 350 เยนเลยขอลองหน่อย

Ichinoseki

หยอดตังแล้วต้องรอตู้มันอุ่นอาหารให้เราประมาณ 5 นาที ก็จะได้กล่องหน้าตาแบบนี้ตกลงมา (ร้อนนะ)

Ichinoseki

แกะออกมาเจอทาโกะยากิสำเร็จรูป ร้อนๆ กินได้เลย (ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร) มีผงโรยและไม้จิ้มมาให้ในชุดด้วย

Ichinoseki

สรุปว่าได้ไป Ichinoseki แต่ในสถานีครับ พอรถไป Geibikei มาเราก็นั่งต่อไป Geibikei เลย หน้าตารถไฟย้อนยุคดีมาก

WP_20131024_12_16_19_Pro

รถไฟสาย JR Ofunato Line ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมงพอดี

WP_20131024_12_15_32_Pro

เมือง Geibikei

เมืองนี้เล็กๆ ครับ นั่งมายังสถานีรถไฟ (ที่เป็นตู้คอนเทนเนอร์หนึ่งอัน) เดินตามถนนสีเหลืองมาอีกนิดนึงก็จะเจอท่าเรือเลย ระยะการล่องเรือนั้นสั้นๆ ไปเขื่อนหินที่อยู่ไม่ไกลนัก

geibikei-port

น่าจะเป็นสถานีรถไฟที่เล็กที่สุดที่เคยเจอ มีแค่รางกับชานชาลา ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำ

WP_20131024_15_00_29_Pro

ภาพจากหน้าสถานีครับ มีบันไดเหล็กที่เดินขึ้นไปปั๊บก็เจอรางรถไฟเลย ตอนขากลับที่ยืนรอบนสถานียังไม่มีเลยครับ ต้องยืนรอตรงบันได

WP_20131024_14_58_28_Pro

ป้ายสถานี Geibikei

Geibikei Station

ตารางรถไฟไปกลับ Ichinoseki ช่วงบ่ายมีรถไฟเพียง 4 เที่ยวเท่านั้น ถ้าต้องไปต่อไกลๆ มีสิทธิตกรถไฟได้ เช็คเวลากันดีๆ ครับ

WP_20131024_15_01_01_Pro

สำหรับนักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็กเกอร์ สถานี Geibikei ไม่มีที่ให้ฝากกระเป๋าด้วยนะครับ ถ้ามีของก็จงเก็บใส่ล็อกเกอร์ที่ Ichinoseki ให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาเอาตอนขากลับ

ล่องเรือเกบิเค Geibikei

ท่าเรือ Geibikei ลำธารอยู่ซ้ายมือ จุดที่ซื้อตั๋วคือตึกฝั่งซ้ายมือ ส่วนด้านขวาเป็นร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก

WP_20131024_14_17_30_Pro

รายละเอียดของเรือดูได้จาก เว็บไซต์ของ Geibikeiค่าตั๋วคนละ 1,500 เยน ใช้เวลาเดินทาง 90 นาที (เป็นเรือถ่อครับ) ตามตารางระบุว่าเรือออกทุกต้นชั่วโมง

ผมไปถึงสถานี Geibikei ตอน 12.51 น. เหลือเวลาอีกนิดเดียวไปขึ้นเรือ จากสถานีก็ต้องเร่งเดินกันเต็มที่ ไปถึงพบว่าเรือใกล้เต็มพอดีเลยรีบไปซื้อตั๋ว (พอเจ้าหน้าที่เรือเห็นเรา เขาจะรออยู่แล้ว) ได้ขึ้นเรือฉิวเฉียด...

เพื่อที่อีกไม่นานจะเห็นว่า เฮ้ย เรือเที่ยวต่อไปมันพายตามเรามาติดๆ เลยนี่หว่า o_O สรุปว่าถ้าคนเยอะมีเรือออกตลอดครับ (โดนญี่ปุ่นหลอกให้วิ่ง T_T)

WP_20131024_14_15_14_Pro

บนเรือเขาจะให้ถอดรองเท้าแล้วไปนั่งชิดขอบทั้งสองฝั่งครับ (ผมไปเป็นคนท้ายๆ ของเรือเลยต้องนั่งกลางเรือ ไม่มีที่พิง) คนส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นล้วน ยังไม่ค่อยเห็นฝรั่งหรือทัวริสต์ต่างชาติ

Geibikei

เรือที่ Geibikei เป็นเรือถ่อครับ มีทั้งแบบที่มีหลังคาและไม่มีหลังคา ถ้าอากาศดี นั่งแบบไม่มีหลังคาก็จะถ่ายรูปสบายหน่อย แต่เคสของเราคือนั่งๆ ไปครึ่งทางแล้วฝนตกครับ เลยสบายไปเพราะเขากางผ้าพลาสติกกั้นให้

Geibikei

หน้าตาเรือที่นั่งมา

Geibikei

คนถ่อเรือเป็นผู้หญิงก็มีนะ น่ารักเชียว

Geibikei

หุบเขาเกบิเคนี้มีชื่อเสียงเรื่องใบไม้ร่วงช่วงฤดู autumn เช่นกันครับ แต่ช่วงที่ผมไป (24 ต.ค. 2013) ใบไม้มันยังไม่ค่อยแดงเท่าไร (คะแนนความแดงประมาณ 50%)

Geibikei

ยุคการท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ มีซุ้มตากล้องอยู่ริมน้ำคอยถ่ายรูปเรานั่งเรือไปขายบนฝั่ง

Geibikei

น้ำที่ลำธาร Geibikei นี่ตื้นๆ แต่ใสมาก และมีปลาตัวใหญ่เยอะเลย

Geibikei

มีปลาแดงปลาทองด้วย สงสัยเป็นเทพเจ้าแห่งปลา

Geibikei

ระหว่างทางก็จะมีศาลเจ้า น้ำตก ถ้ำ หน้าผา ทุกอย่างมีชื่อและมีตำนานเล่าขาน (คนถ่อเรือบรรยายเป็นญี่ปุ่น แต่มีโบรชัวร์พร้อมแผนที่ภาษาอังกฤษแจก)

Geibikei

Geibikei

เด็กญี่ปุ่นมาเที่ยวกับพ่อแม่ น่ารักเชียว

Geibikei

Geibikei

นั่งไปได้สักหน่อยเขาจะพาไปจอดที่ตลิ่งใหญ่ เรือมาได้แค่นี้ ที่เหลือต้องเดินอีกนิดนึงไปดูเขื่อนหิน ตรงตลิ่งนี้มีห้องน้ำให้เข้าครับ แต่ไม่มีของขายนะ

WP_20131024_13_30_18_Pro

Geibikei

เดินต่อมาอีกนิดเดียว

Geibikei

ข้ามสะพานหนึ่งทีก็จะเจอที่หมายคือ Geibikei Gorge ครับ อันนี้ล่ะ

Geibikei

หน้าผาหินยักษ์ (มีแค่นี้แหละ) จุดหมายปลายทาง

WP_20131024_13_37_42_Pro

Geibikei

เข้าไปถ่ายรูปได้ไกลที่สุดที่ตรงนี้

Geibikei

ขากลับนั่งกันเบื่อๆ เพราะวิวจะซ้ำ เค้าเลยมีธรรมเนียมให้คนพายเรือร้องเพลงให้ฟังด้วยนะ

อาหารการกิน

กลับมาบนฝั่งก็มีร้านให้เลือกอีก 2-3 ร้านครับ ขายของง่ายๆ ซึ่งเราถูกดึงดูดด้วย "ปลาปิ้ง" (อีกแล้ว) ตัวละ 400 เยน

WP_20131024_14_19_13_Pro

ปลาปิ้งครับ

WP_20131024_14_23_09_Pro

บรรยากาศในร้าน เล็กๆ น่ารักดี ทำกันเป็นครอบครัว

WP_20131024_14_23_37_Pro

หน้าร้านมีโอเด้งขายด้วยเลยสั่งมากินแก้หนาวหนึ่งชาม

WP_20131024_14_23_19_Pro

คุณป้าเจ้าของร้านเห็นเราเป็นทัวริสต์ เลยเอาขนมมาแจกด้วย เป็นชีสเค้กแอปเปิล

WP_20131024_14_36_07_Pro

สรุป

Geibikei ถือว่าดีประมาณหนึ่งแต่ไม่ถึงกับ max ครับ คือผมว่ามันล่องเรือสั้นไปหน่อย แถมไปจังหวะที่ใบไม้ยังค่อยไม่สวย และไปวันฟ้าปิด-ฝนตกเล็กน้อยเลยยิ่งไม่สวยเบิ้ลไปอีก (ไปเจอต้นไม้สวยแม็กซ์มาก่อนหน้าแล้วอีกด้วย)

นอกจากนี้การเดินทางไป Geibikei ก็ยุ่งยากสักนิดเพราะรถไฟมีน้อย เผอิญว่าผมมาจาก Nyuto Onsen ที่ต้องเดินทางหลายต่อเลยยิ่งยากเข้าไปอีกครับ (สรุปว่าวันนี้อยู่บนรถบัสกับรถไฟ ได้เที่ยว Geibikei ที่เดียวเอง)

นอกจากนี้เมืองเกบิเคเองก็ไม่มีอย่างอื่นให้ดูเลย เหมาะสำหรับมาล่องเรือเท่านั้น ระดับความน่าเที่ยวจึงอยู่ในกลุ่ม "ถ้ามีเวลาก็ดี"จะให้ดียิ่งขึ้นคือผ่าน Ichinoseki แล้วมีเวลาสัก 2-3 ชั่วโมงก็แวะมานั่งเรือเล่นๆ ได้ครับ

WP_20131024_14_17_19_Pro

จาก Geibikei ผมกลับไปที่ Ichinoseki ด้วยรถไฟเหมือนเดิม (เที่ยว 15.08) จากนั้นนั่งชินคันเซ็นจาก Ichinoseki ลงใต้ต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง เพื่อจะไปนอนที่เซ็นได (Sendai) ไว้เขียนต่อในตอนหน้า (ถึงเซ็นไดตอน 16.24)

โทโฮคุดูใบไม้หลากสี (6): กินลิ้นวัวย่างที่ Sendai

$
0
0

เซ็นได (Sendai) เป็นเมืองใหญ่ที่สำคัญของภูมิภาคโทโฮคุ โดยถือเป็นเมืองเอกของจังหวัดมิยางิ (Miyagi) ที่อยู่เหนือโตเกียวขึ้นไปหน่อยนึง (เหนือจังหวัดฟุกุชิมะที่เจอปัญหาโรงงานนิวเคลียร์ไปนิดนึง)

ถ้าเดินทางมายังโทโฮคุด้วย Tohoku Shinkansenแบบรถด่วนสุดๆ ป้ายแรกที่รถไฟจากโตเกียวจะมาจอดก็คือเซ็นไดครับ (เป็นสถานีใหญ่ที่รถไฟจอดทุกขบวน)

WP_20131024_16_42_57_Pro

ผมมาเซ็นไดรอบนี้เพื่อเป็นจุดค้างคืนในการไปเที่ยวที่อื่นต่อไป (ไม่มีโอกาสดูเมืองเซ็นไดในช่วงกลางวันด้วยซ้ำ) ก็เขียนถึงเท่าที่พบเจอละกันนะครับ

สถานีรถไฟเซ็นได

เริ่มจากสถานีรถไฟเซ็นได เป็นสถานีที่ใหญ่มาก เอาแค่ทางเข้าส่วนของชินคันเซ็นก็มีหลายประตูแล้ว

WP_20131024_16_36_09_Pro

ออกมาจากสถานีแล้วเจอคิวรถแท็กซี่ที่ต่อคิวกันเป็นระเบียบสุดๆ เค้าจะต่อคิวกันแบบหน้ากระดาน แต่เรียงลำดับตาม positioning แล้ววนไปเรื่อยๆ แบบมีระเบียบมากครับ ประทับใจมากถึงขนาดต้องถ่ายคลิปมาเลยแหละ

เผอิญว่ามีเรื่องต้องไปเปลี่ยนตั๋วของ JR เล็กน้อยเลยได้ใช้บริการศูนย์นักท่องเที่ยวของ JR East ซึ่งใหญ่มาก คนเยอะมาก แต่บริการเร็วมาก คือคนเยอะแล้วเห็น จนท. บริการเต็มทุกช่องด้วยความขยันขันแข็ง เราก็รอไหวนะ ตามคิว

ถ้าเป็นที่เมืองไทยก็จะแบบว่ามี 5 ช่อง ปิด 2 ช่อง มีคนนั่งทำอะไรไม่รู้อีก 1 ช่อง (ทำท่านับเงิน) ให้บริการจริง 2 ช่อง อะไรแบบนี้

WP_20131024_16_27_39_Pro

ตารางรถไฟชินคันเซ็นสายต่างๆ ที่วิ่งเข้าออกเซ็นไดครับ ละเอียดยิบ

WP_20131024_16_29_27_Pro

จุดเด่นของสถานีคือนาฬิกาอันใหญ่เป้ง

WP_20131025_08_27_42_Pro

ชั้นหนึ่งของสถานีเซ็นได มีของขายมากมาย

WP_20131024_16_37_24_Pro

WP_20131025_15_10_54_Pro

ขนาดใหญ่กว่าซูเปอร์มาร์เก็ตในหลายๆ ห้างเลยทีเดียว

WP_20131025_08_31_09_Pro

ชั้นล่างเป็นแหล่งรวมของฝาก ขนม อาหาร ที่มีชื่อเสียงในภูมิภาค พวกเบเกอรี่ดูหน้าตาโดดเด่นก็เยอะ

WP_20131025_14_59_57_Pro

WP_20131025_15_05_04_Pro

ใครที่คิดจะเอา OTOP ไปขายบนรถไฟความเร็วสูง (ห๊ะ แท้งไปแล้ว?) เซ็นไดเป็นตัวอย่างที่ดีมากเลยครับ

WP_20131025_15_00_13_Pro

WP_20131025_08_29_49_Pro

สินค้ายอดฮิตของที่นี่คือ ถั่วเอดามาเมะ (Edamame) กับ ลิ้นวัว (Gyutan)

WP_20131025_15_01_11_Pro

WP_20131025_15_01_27_Pro

ขนมท้องถิ่นที่ทำจากถั่วเอดามาเมะครับ เรียกว่า Zunda อารมณ์มันจะคล้ายๆ โมจิเอาไปคลุกกับถั่ว

WP_20131025_15_00_27_Pro

KitKat รสขนม Zunda ถั่วเอดามาเมะ

WP_20131025_08_30_20_Pro

ลิ้นวัวและเนื้อวัว ใส่แพ็กเอากลับไปกินที่บ้านได้เลย

WP_20131025_15_02_15_Pro

ของที่ระลึกแบบ mix & match ครับ ลูฟี่กินถั่ว

WP_20131025_15_03_50_Pro

เซ็นไดเป็นบ้านของซามูไรตระกูลดาเตะ (Date) ถ้าใครเล่นเกมซามูไรญี่ปุ่นเยอะ ๆ น่าจะพอทราบว่าผู้นำตระกูล ดาเตะ มาซามุเนะ เป็นซามูไรตาเดียว ใส่ผ้าปิดตา ใส่ชุดสีดำ

สินค้าซามูไรจึงมีเยอะมาก (เคนชิโร่เกี่ยวอะไรเนี่ย)

WP_20131025_15_06_29_Pro

WP_20131025_08_30_10_Pro

เนื้อสัตว์เป็นสินค้าท้องถิ่น เขาถึงกับขึ้นบิลบอร์ดกันเลยเชียว

WP_20131025_15_11_16_Pro

สาลี่เซ็นได มีหน้าด้วย

WP_20131025_15_12_01_Pro

สินค้าของ JR เอง รถไฟเขียว-แดงก็มีสารพัดแบบครับ ถุงเท้ารถไฟนี่เป็นอะไรที่คนไทยจินตนาการได้ยากว่ามันจะมี แต่ดูจากตำแหน่งและจำนวนแล้วก็น่าจะขายดีในหมู่คนญี่ปุ่น?

WP_20131025_08_30_58_Pro

ชมวิวจากมุมสูงที่ห้าง AER

ผมนอนที่โรงแรม Toyoko Inn สาขาเซ็นได ห้องถือว่าใหญ่กว่า Toyoko สาขาอื่นมาก มีที่ไว้ของสบายเลย อยู่ใกล้สถานีด้วย แนะนำครับ

Toyoko Inn Sendai

เวลามีน้อย แถมฝนตกด้วย เดินเที่ยวแถบสถานีก็พอครับ เมื่อเก็บของในโรงแรมแล้ว ก็เดินลงมาที่ห้าง AER เพื่อดูวิว จากนั้นก็เดินสำรวจถนนคนเดิน Chuo-dori หน้าสถานี (ไฮไลท์สีเหลืองในภาพ) หาข้าวกินแถวนั้น พอละ

sendai station map

เริ่มจากเดินห้าง AER ตรงหน้าสถานีก่อนครับ ห้างจะอยู่ตรงสี่แยก (ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสถานี) เลย หาไม่ยาก

WP_20131024_18_04_01_Pro

เหตุที่มาเดินห้างนี้เพราะว่าเค้าเปิดให้ไปชมวิวบนยอดตึกได้ ถ้าเข้าประตูตรงแยกพอดี จะเจอป้ายแยกไปยัง Office กับ Shop ให้เราไปฝั่ง Office ครับ

WP_20131024_18_19_22_Pro

เป้าหมายปลายทางคือชั้น 31 Panorama Terrace ขึ้นลิฟต์ไปได้เลย ไม่ต้องแลกบัตรใดๆ

WP_20131024_18_18_50_Pro

วิวจากบนยอดตึก มืดๆ ฝนตก แถมไม่เคยมา มองแล้วดูไม่ออกว่าอะไรคืออะไร ฮา

WP_20131024_18_12_15_Pro

ห้าง AER ยังมีจุดขายอีกอย่างคือ Pokemon Center สาขาใหญ่ของภูมิภาคโทโฮคุครับ ผมไม่ใช่แฟน Pokemon สักเท่าไรแต่ไหนๆ มาแล้วก็ขอเดินเปิดหูเปิดตาดูหน่อย

WP_20131024_18_21_51_Pro

ชื่อร้านเขาคือ Pokemon Center Tohoku เลยนะ

WP_20131024_18_27_12_Pro

Pokemon ภาคใหม่ X&Y เพิ่งออกพอดี ที่นี่เลยเต็มไปด้วยมอนสเตอร์เบสิคของภาคนี้

WP_20131024_18_22_54_Pro

ไม่รู้จักสักตัว แหะๆ

WP_20131024_18_22_12_Pro

WP_20131024_18_23_59_Pro

สัตว์ตำนานของภาค X &Y ออกแบบเป็นตัว X และ Y ด้วย

WP_20131024_18_27_51_Pro

การมาเดินร้าน Pokemon ทำให้ผมเข้าใจว่า ตกลงแล้ว Pokemon มันเป็นเกมผู้หญิงครับ เพราะสาวๆ ญี่ปุ่นวัยสัก ม.ต้น ถือ 3DS เข้ามายืนเล่นในร้านไป ดูของไป เยอะมาก

WP_20131024_18_24_43_Pro

แอบถ่ายสาวญี่ปุ่นเล่น Pokemon

WP_20131024_18_30_12_Pro

นอกจากตุ๊กตาแล้วก็มีสารพัดสินค้าของ Pokemon เท่าที่สมองของมนุษยชาติจะคิดกันออก

WP_20131024_18_24_30_Pro

WP_20131024_18_24_10_Pro

WP_20131024_18_22_29_Pro

WP_20131024_18_31_32_Pro

ถนนคนเดิน Chuo-dori

ฝั่งตรงข้ามห้าง AER เป็นถนนคนเดินสายสำคัญที่ชื่อว่า Chuo-dori ครับ เป็นซอยเล็กๆ ที่ไม่ให้รถเข้า มีหลังคาคลุมอย่างดี ร้านค้าเรียงรายสองฝั่ง

WP_20131024_18_44_36_Pro

หน้าตามันจะเป็นแบบนี้ครับ

WP_20131024_19_47_07_Pro

ร้านที่มีเยอะมากๆ คือ เครนเกม (สอยตุ๊กตา) กับปาจิงโกะ

เครนเกมเมืองญี่ปุ่นนี่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เห็นของแต่ละอย่างแล้วเกิดกิเลสมากๆ ตัวอย่างเช่น ฟิกเกอร์ Z (Zetto) จากOne Piece Film Z

WP_20131024_18_48_41_Pro

ปาจิงโกะสารพัดคาแรกเตอร์ย้อนยุค

WP_20131024_19_35_11_Pro

ร้านขายขนม เครื่องสำอางค์ ยา ก็เยอะมาก มีหลายร้าน บางอย่างก็ขายถูกมาก

WP_20131024_19_52_06_Pro

ร้านกาแฟก็เพียบ

WP_20131024_20_03_47_Pro

ทีมเบสบอลของที่นี่ บริษัท Rakuten มาซื้อกิจการไปแล้ว (Tohoku Rakuten Golden Eagles)

WP_20131024_19_43_06_Pro

WP_20131024_20_20_14_Pro

กินลิ้นวัวเซ็นได

อาหารเลื่องชื่อของเซ็นไดคือ "ลิ้นวัวย่าง" (กิวตัง Gyutan) มีร้านชื่อดังให้เลือกกิน 2-3 ร้านครับ ส่วนใหญ่เป็นร้านเชนมีหลายสาขา เช่น Rikkyu, Kisuke

เรากินร้าน Rikkyu ที่อยู่ในถนน Chuo-dori นั่นล่ะครับ ง่ายดี เดินเข้าไปจากหัวถนน อยู่ฝั่งซ้ายมือ เข้าไปไม่ลึก หน้าตาดังภาพ

Rikkyu Sendai

บรรยากาศในร้านครับ คึกคักดีที่เดียว แต่ภายในร้านสูบบุหรี่ได้ และคนนั่งข้างเราดันสูบบุหรี่พอดี เลยกินไม่ค่อยได้บรรยากาศนัก

WP_20131024_18_58_55_Pro

ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษด้วย ไม่ต้องห่วงว่าจะสื่อสารไม่ได้

WP_20131024_18_57_56_Pro

WP_20131024_18_57_44_Pro

WP_20131024_18_59_19_Pro

มาถึงถิ่นแล้วก็กินแบบออริจินอลเลยดีกว่าครับ สั่งเป็น set dinner มาเลย ราคา 1,575 เยน

WP_20131024_18_57_32_Pro

เซ็ตประกอบด้วย ลิ้นวัวย่าง ข้าว ซุป และเครื่องเคียงเป็นถ้วยเล็กๆ (เข้าใจว่ามันคือหนังวัวเอาไปหมัก)

WP_20131024_19_01_40_Pro

ประสบการณ์กินลิ้นวัวครั้งแรกครับ กินแล้วมันจะแน่น เหนียว และเค็ม (แต่อร่อยนะ) เพียงแต่กินไปสักพักจะเริ่มเหนื่อยเพราะมันเหนียว และเลี่ยนด้วย (มันเยอะ) ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ได้ลองครับ

WP_20131024_19_01_52_Pro

สรุปว่าการแวะเที่ยวเซ็นไดแบบสั้นๆ ของผมก็จบลงแค่นี้ ผมมาจาก Geibikeiตอนบ่าย มาถึง Sendai ตอนเย็นที่ฟ้ามืดแล้ว นอนที่นี่หนึ่งคืน วันถัดมาแวะไปเที่ยว Yamadera ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายของทริปโทโฮคุครั้งนี้

หมายเหตุ: ไม่ไกลจากสถานีเซ็นไดนัก มีพิพิธภัณฑ์อันปังแมน (anpanman) คาแรกเตอร์ที่บ้านเราลืมกันไปแล้ว แต่ที่ญี่ปุ่นยังฮิตอยู่ ใครผ่านไปมีโอกาสมีเวลาก็น่าจะลองไปดูครับ

เรื่องสั้น: เปลี่ยนเส้นเอ็น ล้างไขกระดูก

$
0
0

roundhouse_kick

จอมยุทธเดินอยู่บนถนนอันแห้งแล้งของนครหลวงด้วยจิตใจอันหนักอึ้ง

เขากำลังเผชิญกับวิกฤตการเริ่มเข้าวัยกลางคนของตน

อดีตผู้กล้าดาวรุ่งเจ้าของฉายา "เซียะอู่"ที่เคยถูกกล่าวขวัญในกลุ่ม "ห้าคุณชายแห่งยุทธจักร"เมื่อสิบห้าปีก่อน สมัยที่เขารุ่งเรือง แค่เพียงเดินส่ายอาดๆ อยู่ในนครหลวง ก็มีสตรีจำนวนไม่น้อยชม้ายตามองให้ ในช่วงที่กำลังวังชายังมาต่อเนื่องไม่มีหมด แค่สะบัดกระบี่เบาๆ คู่ต่อสู้ก็ล้มหายตายจาก

เมื่อความอหังการของเขาพุ่งสูงถึงขีดสุด เขาเดินตามเส้นทางของเพื่อนในกลุ่มห้าคุณชายไปท้าสู้กับค่ายพรรคใหญ่แห่งยุทธจักร หลังจากเพื่อนบางคนในกลุ่มประสบความสำเร็จในวิชาบู๊ ท้าประลองกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุทธจักรและสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ จนสถานะทางสังคมของเพื่อนพวกนี้ไต่ขึ้นอย่างพรวดพราด เขาในฐานะน้องเล็กของกลุ่มก็อยากได้รับการยอมรับในระดับที่ทัดเทียมกัน

แต่อนิจจา ฝีมือที่แท้จริงของเขาด้อยกว่าชื่อเสียงที่คนภายนอกกล่าวขวัญมากนัก เขาถูก "สั่งสอน"แบบเละเทะไม่เหลือสภาพกงจื้อผู้กรุ้มกริ่ม มิหนำซ้ำ พลังฝีมือถูกทำลาย ถึงแม้จะไม่เสียชีวิตแต่ก็ต้องกลับมาพักรักษาตัวอย่างเงียบๆ ไม่กล้าออกสู่ยุทธจักรเป็นเวลาหลายปี

บัดนี้ ถึงแม้สุขภาพร่างกายของเขาจะฟื้นฟูกลับมาเดินเหินได้ดังเดิมแล้ว แต่ระดับพลังฝีมือกลับถดถอยลงจากในอดีต และเมื่ออายุมากขึ้นไปทุกวัน ยุทธจักรก็เต็มไปด้วยเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่สดกว่า ปราดเปรียวกว่า หลายคนเป็นเด็กข้างบ้านที่เขาเห็นมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ แต่ระยะหลังก็เริ่มพัฒนาตัวจนฝีมือแซงหน้าเขาไปแล้ว (ลึกๆ ในใจเขาอิจฉาและหวาดระแวงเด็กชายสวมงอบข้างบ้านว่าอาจมาแย่งความเป็นเจ้าซอยของเขาได้)

จอมยุทธ์ถอนหายใจ ทางเลือกของเขามีไม่มากนัก เพราะสิ่งที่เขาแบกรับอยู่ไม่ได้มีแต่ตัวเขาเองเพียงลำพัง แต่ยังมีชื่อเสียงและความอยู่รอดของวงศ์ตระกูลอยู่บนหลังด้วย ถึงแม้ตระกูลของเขาจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่แต่ก็มีประวัติเก่าแก่ บ้างก็ว่าตระกูลของเขามาจากเมืองต้าลี่ แต่ตำราบางเล่มก็ไปไกลถึงขนาดบอกว่าต้นตระกูลของเขาเดินทางมาจากทะเลทรายโกบี

หลังความพ่ายแพ้เชิงยุทธในครั้งนั้น ตระกูลของเขาใช้ทรัพย์สินเดิมขายเพื่อไถ่ถอนตัวเขาออกมาจากการคุมตัวของค่ายพรรคใหญ่ ทรัพย์เดิมของวงศ์ตระกูลหดหายไปมาก ขวัญกำลังใจของคนในตระกูลเสื่อมถอย ปัจจุบันคนในตระกูลแตกแยกและต่อสู้ชิงอำนาจกันตลอดเวลา จนเขาในฐานะผู้นำตระกูลรุ่นปัจจุบันเบื่อหน่ายและต้องออกมาเดินเล่นนอกอาณาบริเวณบ้านอยู่เรื่อย

เฉกเช่นเดียวกับครั้งนี้

ทันใดนั้น เขานึกถึงตำนานของผู้กล้าแห่งยุทธจักรในอดีต ในสมัยราชวงศ์หยวน มีผู้กล้าท่านหนึ่งตกเขาไปเจอถ้ำ ในถ้ำมีลิงยักษ์ และในท้องลิงมีคัมภีร์ ผู้กล้าท่านนี้ฝึกวิชาจากคัมภีร์โบราณจนสามารถ "เปลี่ยนเส้นเอ็น ล้างไขกระดูก"มีวิชาลมปราณมากขึ้นหลายเท่าตัว และสามารถใช้วิชาความรู้ที่มีผงาดขึ้นเป็นจอมคนแห่งยุค ขับไล่พวกตาดมองโกลออกไปจากดินแดนจงหยวนได้สำเร็จ

ถ้าเขามีคัมภีร์แบบเดียวกันบ้าง

ทำไมเราไม่หาซื้อคัมภีร์ล่ะ? ความคิดวาบขึ้นมาในสมอง ค่ายพรรคใหญ่หลายแห่งในยุทธจักรต่างก็หาศิษย์เข้าร่วมสำนักของตน หรือไม่ก็ขายคัมภีร์วิชากำลังภายในด้วยราคาสูงลิบลิ่ว คุณชายตระกูลใหญ่บางรายกัดฟันทุ่มเงินซื้อหามาทดสอบก็ประสบผลสำเร็จด้วยดี

ด้วยสถานะการเงินของตระกูลในปัจจุบัน ถ้าจะซื้อหาคัมภีร์เลื่องชื่อในยุทธจักรมาฝึกฝน อาจต้องขายสมบัติทั้งตระกูลออกไป แต่ด้วยเกียรติศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเขามาตลอดชีวิต ถ้าอยากกลับมายิ่งใหญ่ในยุทธจักรอีกครั้ง ทางเลือกของเขาก็มีไม่มากนัก

เขากลับบ้านและเปรยข้อเสนอนี้ต่อผู้ใหญ่บางคนในตระกูล ผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเขาอย่างกับบุตรในไส้ และได้รับเสียงตอบรับอย่างดี บางคนในตระกูลถึงกับอาสาให้เขายืมเงินเพื่อซื้อคัมภีร์ด้วยซ้ำ เมื่อระดมเงินได้ในระดับหนึ่ง เขียนตั๋วสัญญายืมเงินเป็นที่เรียบร้อย (แม้เขาจะโดนดุว่าตั๋วยืมเงินเขียนละเอียดน้อยไปบ้างก็ตาม) เขาก็ป่าวประกาศไปยังยุทธจักรว่าตระกูลของเรากำลังต้องการ "คัมภีร์บู๊ที่ดีที่สุด"

ปฏิกริยาตอบรับกลับดีผิดคาด ค่ายพรรคใหญ่น้อยในยุทธจักรเดินทางมาคารวะตระกูลของเขาถึงบ้าน พร้อมนำเสนอคัมภีร์มากมายให้เลือก ทั้งการโคจรพลัง กระบี่ ดาบ ทวน อาวุธลับให้เลือกสรร บ้างก็มีโปรโมชั่นแถมคอร์สฝึกวิชาในสำนักอีก 3-6 เดือน พร้อมข้อเสนอลองฝึกวิชาฟรีหนึ่งวันด้วยซ้ำ

"ตระกูลของเรากำลังจะยิ่งใหญ่อีกครั้ง"เขานึก และวาดภาพฝันหวานถึงวันที่พลังลมปราณของเขากลับคืนมา สำเร็จวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นล้างไขกระดูก ทำลายด่านชีพจรในร่างกาย เดินเหินโลดแล่นในยุทธจักร และกลับไปมองตาเพื่อนในกลุ่มสี่คุณชาย (ที่เปลี่ยนชื่อหลังจากเขาล้มเหลวเมื่อครั้งนั้น) ได้อย่างมีเกียรติเช่นเดิม

วันนี้เขาเดินกลับบ้านด้วยจิตใจที่เบิกบาน ถึงแม้คนที่บ้านจะยังทะเลาะกันอยู่บ้าง แต่อนาคตของตัวเขาเองนั้นสดใส เขาซ้อมชกลมและรำกระบี่ระหว่างทาง

เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน บรรยากาศเปลี่ยนไปจากเดิม บ้านเงียบสงัดผิดปกติ

เขาเดินไปที่ห้องโถงของบ้าน ห้าผู้เฒ่าของตระกูลนั่งเรียงรายอยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง ราวกับว่ากำลังรอคอยเขาอยู่เป็นเวลานานแล้ว

เมื่อเขาเดินเข้ามายืนอยู่หน้าห้าผู้เฒ่า ผู้เฒ่ารายหนึ่งก็พูดขึ้นว่า แผนการระดมทรัพย์สินของตระกูลเพื่อซื้อคัมภีร์มาฝึกวิชาต้องยกเลิกไป

เขายืนนิ่ง ตะลึงงัน ไม่นึกไม่ฝันว่าแผนการชีวิตจะล่มสลายในพริบตา ถึงแม้ว่าใจจะคัดค้านแค่ไหน แต่ตามธรรมเนียมของตระกูล การเถียงหรือฝ่าฝึนคำสั่งของผู้เฒ่าเหล่านี้มีความผิดอย่างร้ายแรง

ผู้เฒ่าทั้งหมดลุกจากเก้าอี้เตรียมกลับหอห้อง ผู้เฒ่ารายหนึ่งที่เห็นใจหันมามองเขาแล้วปลอบว่า

"ห่วงมาก กังวลมาก คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นยังไม่พร้อมสำหรับตระกูลเรา"

นี่คือเหตุผลที่ทำไมคนไทยต้องเท่ากัน

โทโฮคุดูใบไม้หลากสี (7): Yamadera ปีนเขาชมวัด

$
0
0

บล็อกตอนสุดท้ายในซีรีส์ Tohokuครับ คราวนี้จะพาไปเที่ยวเมือง "ยามาเดระ" Yamadera ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ในเทือกเขา แต่มีชื่อเสียงโด่งดังเนื่องจากมีวัดอยู่บนภูเขาแบบเท่ๆ นั่นเองครับ

WP_20131025_10_46_54_Pro

ภาพนี้เป็น "มุมมหาชน"ของยามาเดระ เป็นหอสำหรับบำเพ็ญสมาธิที่อยู่บนหน้าผา น่าเสียดายว่าเขามีซ่อมทางพอดีเลยติดอุปกรณ์ประกอบฉากมาด้วย ภาพไม่สวยเท่าที่ควร

รู้จัก Yamadera

ชื่อ Yama-dera แปลตรงตัวคือ "ภูเขา-วัด" (mountain-temple) เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างเมืองเซ็นได (Sendai) กับยามากาตะ (Yamagata) ถ้าไปจากเซ็นไดก็นั่งรถไฟเพียงต่อเดียว (JR Senzan Line) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีกระเป๋าเดินทาง สามารถฝากไว้ที่ล็อคเกอร์ในสถานี Sendai ได้

ระหว่างทางจากเซ็นไดไปยามาเดระเป็น "ภูเขา"และ "ป่า"ครับ มาช่วงใบไม้ร่วงสีสันสวยงามมาก เหมือนนั่งรถไฟทะลุช่องเขา มีลำธารหุบเหวน้ำตก พร้อมต้นไม้สีแดงเหลืองทองน้ำตาล (ถ่ายรูปไม่ทันสักรูปแถมฝนตกกระจกรถไฟเปื้อน จิ้นกันเองนะครับ)

sendai-yamadera

วัดของ Yamadera มีชื่อว่า Risshaku-ji เป็นวัดที่สร้างตั้งแต่สมัย ค.ศ. 860 และก็ต่อเติม ซ่อมแซมเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ค่าเข้าชม 300 เยน แน่นอนว่าต้องไต่บันไดระดับพันขั้น ต้องเตรียมร่างกายกันมาให้ดีสักหน่อย (แต่มันไม่เหนื่อยมากเพราะมีจุดแวะดูตลอดทาง ไม่เหมือนบันไดดอยสุเทพที่ขึ้นรวดเดียวไม่มีอะไรเลย)

ตัวเมือง Yamadera เล็กมาก เป็นเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำ ภูเขาอยู่ติดแม่น้ำ เมื่อออกจากสถานีมาก็เดินนิดเดียว ข้ามสะพาน ก็จะเจอถนนเส้นเดียวที่มีร้านอาหาร-ร้านขายของที่ระลึกสำหรับทัวริสต์ ซึ่งทางเดินขึ้นวัดก็อยู่ตรงนี้เองแหละ

yamadera

สถานี Yamadera

WP_20131025_09_45_23_Pro

ตารางรถไฟไปกลับระหว่างเซ็นไดกับยามากาตะ

WP_20131025_13_48_40_Pro

ลงรถไฟก็เห็นภูเขาแล้ว วัดก็อยู่บนเขานี่ล่ะ

WP_20131025_09_46_08_Pro

วันที่ไปฝนตกเล็กน้อย + หมอกลง ได้บรรยากาศแห่งจอมยุทธ์มากๆ ครับ

WP_20131025_09_47_11_Pro

ภายในสถานี เล็กนิดเดียว มีห้องน้ำอยู่ด้านหน้าสถานี

WP_20131025_09_48_04_Pro

แผนผังบอกจุดต่างๆ ของวัดบนเขาครับ จริงๆ ช่วงทางด้านล่างมันบังคับเดินอยู่แล้ว ข้างบนก็แยกเป็นสายนิดหน่อยไม่มีอะไรยาก

WP_20131025_09_47_01_Pro

หน้าตาสถานีครับ เป็นไม้คลาสสิค

WP_20131025_13_46_02_Pro

ออกจากสถานีก็เดินมาหน่อยนึง ตัวเมืองหลักก็ตรงนี้ล่ะ

WP_20131025_09_50_59_Pro

มีป้ายอิ๊คคิวซังบอกทางตลอด ไม่ต้องกลัวหลง

WP_20131025_09_51_59_Pro

จุดแวะพัก ร้าน Endo ในแผนที่ด้านบน เป็นร้านขายของที่ระลึก มี "ลูกชิ้นบุก" (Tamacon) ไม้ละ 100 เยน ต้มซีอิ๊วอุ่นๆ เอามากินแก้หนาว

Tamacon

เลยร้านมาหน่อยเป็นสะพานหลักของเมืองนี้ และเป็นอีกจุดถ่ายรูปสำคัญของเมือง

WP_20131025_09_55_05_Pro

แม่น้ำในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

WP_20131025_09_56_09_Pro

WP_20131025_09_56_32_Pro

ที่เห็นลิบๆ นั่นคือสะพานรถไฟนะครับ

WP_20131025_09_57_11_Pro

ข้ามสะพานเสร็จก็เดินไปทางขวามือ มีป้ายอิ๊คคิวซังบอกตลอดทาง

WP_20131025_09_57_30_Pro

ร้านขายของที่ระลึกก็มีตลอดทาง แถวนี้มีรถโค้ชรถตู้นักท่องเที่ยวจอดกันตรึม แต่เรารีบไปวัดกันก่อนดีกว่า

WP_20131025_09_58_29_Pro

ทางขึ้นวัดหน้าตาแบบนี้ครับ ตรงนี้ยังไม่ต้องจ่ายเงิน

WP_20131025_10_01_48_Pro

ก้าวแรกสู่สังเวียน

WP_20131025_10_02_07_Pro

ข้างล่างๆ ก็เป็นศาลเจ้าบูชาทั่วไป

WP_20131025_10_03_15_Pro

เค้าให้ชมข้างในได้แต่ต้องถอดรองเท้าและเสียเงินเข้า ก็เลยไม่ได้เข้า

WP_20131025_10_05_17_Pro

เดินต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็มีพระไม้พระหินมากมาย

WP_20131025_10_09_19_Pro

WP_20131025_10_09_45_Pro

WP_20131025_10_10_08_Pro

ผ่านประตูหินเข้าสู่โซนชั้นใน

WP_20131025_10_10_45_Pro

WP_20131025_10_11_54_Pro

อาคารพวกนี้ไม่ได้เข้าเลย เดินผ่านอย่างเดียว

WP_20131025_10_12_48_Pro

WP_20131025_10_13_17_Pro

ไอ้นี่เจ๋งมากครับ มันคือกาชาปองในวัด (เล่นพนันนี่หว่า) ยอดเงิน 200 เยน ได้ลูกเต๋ามา แกะแล้วจะเจอเครื่องรางนำโชครูปแบบต่างๆ แล้วแต่สวรรค์และบุญกรรมจะลิขิต

WP_20131025_10_13_54_Pro

กังหัน เชื่อกันว่าเอาไว้บูชาเณรหิน ให้เณรเล่นกระมัง

WP_20131025_10_14_58_Pro

สิ่งที่เจอเยอะมากเวลามาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวแนวๆ นี้คือ คุณลุงญี่ปุ่นพร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพครบมือ มากันเป็นแก๊ง

WP_20131025_10_15_12_Pro

ทางเข้าวัดครับ ตรงนี้ต้องจ่ายเงินละ

WP_20131025_10_16_02_Pro

ค่าเข้า 300 เยน

WP_20131025_10_18_06_Pro

เข้ามาก็เริ่มเจอบันได สุสานหินมากมาย ไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะนักท่องเที่ยวเดินกันเยอะไปหมด

WP_20131025_10_21_12_Pro

WP_20131025_10_35_16_Pro

บันไดกว้าง ระยะของขั้นสม่ำเสมอ มีราวบันไดช่วงพยุง (มีบางจุดเป็นทางแคบหรือชัน แต่ก็น้อยมาก)

WP_20131025_10_21_24_Pro

WP_20131025_10_25_27_Pro

WP_20131025_10_34_14_Pro

ระหว่างทางก็มีหินตะไคร่มอสเฟิร์น และพระหินเยอะมากๆ

WP_20131025_10_22_37_Pro

WP_20131025_12_01_10_Pro

บางจุดก็เป็นหน้าผาหิน สลักกันเข้าไปอย่างนี้เลย

WP_20131025_10_33_32_Pro

นักท่องเที่ยวก็หากิจกรรมโดยเอาเหรียญไปวางไว้ให้ได้ พยายามกันมาก

WP_20131025_10_34_45_Pro

ขึ้นมาสักพักก็เจอประตูครับ เข้าสู่โซนฝั่งสูงแล้ว

WP_20131025_10_37_49_Pro

จากประตูนี้ขึ้นไปยังหน้าผาไฮไลท์ก็อีกนิดเดียว

WP_20131025_10_40_11_Pro

บรรยากาศดีมาก

WP_20131025_10_43_14_Pro

ช่วงที่ไต่ขึ้นไปสูงๆ ฝนเริ่มตก ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์กันฝนมาให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก

WP_20131025_10_44_00_Pro

โซนชั้นบนๆ มีเส้นทางเดินได้หลายฝั่ง สวยงาม

WP_20131025_10_44_30_Pro

ถ้าผมเป็นเจ้าอาวาสจะสั่งให้เอาเสาไฟฟ้าต้นนี้ออกไป เสียมู้ดหมด

WP_20131025_10_44_46_Pro

หอน้อยอันนี้เป็นหอที่เอาไว้ให้พระมาปลีกวิเวกนั่งสมาธิครับ นั่งได้คนเดียวจะได้ไม่มีใครรบกวน ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังใช้งานอยู่หรือไม่

WP_20131025_10_45_44_Pro

วัดบนผาหิน ช่วงนี้ใบไม้กำลังสวย

WP_20131025_10_49_04_Pro

หมอกลง

WP_20131025_10_56_54_Pro

WP_20131025_11_02_30_Pro

เดินไปโซนฝั่งติดหน้าผา เข้าไปข้างในเขา เป็นวิหารใหญ่

WP_20131025_11_12_42_Pro

WP_20131025_11_14_08_Pro

WP_20131025_11_13_52_Pro

WP_20131025_11_11_11_Pro

WP_20131025_11_17_08_Pro

WP_20131025_11_15_30_Pro

นักเรียนญี่ปุ่นมาทัศนศึกษากันเพียบ

WP_20131025_11_17_40_Pro

WP_20131025_11_18_03_Pro

เสร็จแล้วเดินกลับไปทางหอน้อยที่อยู่ตรงผา ตรงนั้นขึ้นไปดูวิวได้อีกครับ

WP_20131025_11_24_37_Pro

ทางขวามือของภาพมีบันไดสำหรับขึ้นหอไปชมวิวที่สูงได้อีกระดับหนึ่ง

WP_20131025_11_29_17_Pro

หอคอยไม้ มองลงไปเห็นเมือง Yamadera

WP_20131025_11_44_10_Pro

Yamadera ในหุบเขาสายหมอก

WP_20131025_11_34_12_Pro

สถานีรถไฟและรางรถไฟ

WP_20131025_11_34_30_Pro

เจอวิวแบบนี้ต้องจัด panorama สักหน่อย

Yamadera Panorama

หมอกจัดมากครับ silent hill ชัดๆ

Yamadera Mountains

ดูเสร็จแล้วก็ลงครับ ต้นไม้สูงๆ ก็มีเพียบเลย

WP_20131025_11_46_53_Pro

WP_20131025_11_55_43_Pro

ลงมาด้านล่างก็เดินเลี้ยวขวา เพื่อลงบันไดอีกทางหนึ่ง

WP_20131025_12_07_22_Pro

เวลาอยู่บนวัดประมาณ 1.5-2 ชั่วโมงก็พอครับ

WP_20131025_12_08_04_Pro

ทางลงจะอยู่ซ้ายมือของสะพานแดง (ถ้ามองจากบนสะพานเข้ามา) ก่อนลงเราก็ชะโงกไปดูสะพานได้

WP_20131025_12_09_21_Pro

ลงมาก็หาของกิน ร้านชื่อ Mitoya Soba อยู่ทางขวามือของสะพานแดง เป็นร้านดังแถบนี้ หน้าตาดังภาพ ใช้ม่านสีเหลือง

WP_20131025_12_14_16_Pro

บรรยากาศในร้านดูอบอุ่นดี มีคนกินทั้งญี่ปุ่นและฝรั่ง

WP_20131025_12_19_10_Pro

ร้านนี้เขาขายอาหารตามฤดูกาล ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะขายโซบะที่ใช้เครื่องเป็นผักและเห็ดทั้งหมด และพวกผักทอดเห็ดทอดต่างๆ ข้อมูลร้านดูได้จาก Tabelog (หาวิธีแปลกันเอง)

WP_20131025_12_18_21_Pro

WP_20131025_12_18_32_Pro

WP_20131025_12_18_43_Pro

เนื่องจากว่าเรารู้จักสาวญี่ปุ่นที่บ้านเกิดอยู่เมือง Yamagata ที่ใกล้ๆ กัน เธอเลยแนะนำว่าคนแถบนี้เขากินดอกไม้กัน เลยถือโอกาสสั่งมาลอง มันเป็นดอกไม้ดองเปรี้ยวๆ เค็มๆ กินเหมือนสลัดผักราดน้ำสลัดญี่ปุ่น (แต่ไม่มีงา) ครับ

WP_20131025_12_20_23_Pro

อาหารเด่นของร้านนี้คือ โซบะเย็น กินกับเทมปุระดอกไม้ทอด ให้เส้นเยอะมากจนกินไม่หมด

WP_20131025_12_21_53_Pro

อีกจานเป็น โซบะร้อนใส่เห็ด น้ำจะข้นๆ คล้ายๆ ราดหน้า ให้เส้นเยอะมากเช่นกันกินไม่หมด (แถมค่อนข้างเลี่ยนด้วย)

WP_20131025_12_22_03_Pro

ของหวานเป็นอาหารขึ้นชื่อของเซ็นได เรียกว่า Zunda (ลิงก์อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ) มันคือโมจิข้าวเหนียว ที่ราดด้วยถั่วแระญี่ปุ่น (เอดามาเมะ) บด

WP_20131025_12_48_42_Pro

อารมณ์จะคล้ายๆ กินข้าวเหนียวสังขยาบ้านเรา เพียงแต่มันจะหวานพอปะแล่มๆ แล้วมีกลิ่นถั่วติดมาแทน แปลกดีเหมือนกัน

WP_20131025_12_49_49_Pro

ร้าน Mitoya บรรยากาศดีมาก นั่งกินไปชมแม่น้ำสะพานได้เลย

WP_20131025_12_46_11_Pro

กินเสร็จแล้วเดินเล่นเล็กน้อยครับ ของขายมากมาย

WP_20131025_13_24_41_Pro

แถบนี้เชอรี่ดัง คาแรกเตอร์ดังๆ เลยต้องคู่กับเชอรี่

WP_20131025_13_16_55_Pro

ร้านกระเป๋าแฮนด์เมดดูไฮโซแบบนี้ก็มี คือไม่ได้มีแต่สินค้า mass product สำหรับนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว

WP_20131025_13_28_48_Pro

ร้านนี้ขายร่ม เจ๋งตรงอุปกรณ์ทดสอบร่มโชว์หน้าร้าน

WP_20131025_13_23_55_Pro

นักเรียนญี่ปุ่นลงไปเปรี้ยวกันอยู่กลางแม่น้ำ

WP_20131025_13_30_09_Pro

อีกฟากของสะพาน ฟากนี้น้ำเชี่ยวสักหน่อย

WP_20131025_13_39_30_Pro

ทริป Yamadera ก็จบลงแค่นี้ หลังจากนั้นผมนั่งรถไฟกลับไปเซ็นได เพื่อขึ้นชินคันเซ็นกลับไปโตเกียว (เย็นวันนั้นไปกินร้าน Ore Noต่อ กินเยอะมากวันนั้น) ถือเป็นอันจบทริปโทโฮคุแบบ 5 วันครับ

สรุปการเดินทางทริปโทโฮคุ

แผนการเดินทางคร่าวๆ เผื่อใครจะดำเนินรอยตามนะครับ

  • วันที่หนึ่ง: (21 ต.ค. 56)
  • วันที่สอง:
  • วันที่สาม:
    • เช้า: Aomori -> Morioka ด้วยรถไฟความเร็วสูง -> Tazawako ด้วยรถไฟธรรมดา กินข้าวเที่ยงที่หน้าสถานี Tazawako
    • บ่าย: Tazawako -> Arupa ด้วยรถบัส ->เข้าออนเซ็นด้วยรถของรีสอร์ท
    • เย็น: แช่ออนเซ็นน้ำนม Nyuto Onsen
  • วันที่สี่:
    • เช้า: ออนเซ็น -> Arupa -> Tazawako -> Morioka -> Ichinoseki + กินอาหารเที่ยงเบาๆ
    • บ่าย: Ichinoseki ->Geibikei ล่องเรือ
    • เย็น: Geibikei -> Ichinoseki ->Sendai, นอน Sendai
  • วันที่ห้า:
    • เช้า: Sendai -> Yamadera
    • บ่าย: Yamadera -> Sendai -> Tokyo

สรุปว่าไปโทโฮคุก็ได้ความแปลกใหม่ ภูมิภาคที่คนไทยยังไม่ค่อยไปกัน (แต่ก็เจอคนไทยเรื่อยๆ ตลอดทริป) เน้นป่าไม้ลำธารธรรมชาติภูเขา แต่จะให้ดีต้องกะเวลาดีๆ ว่าจะเจอใบไม้เปลี่ยนสีหรือไม่ ซึ่งกรณีของผมโชคดีที่ไปเจอใบไม้เปลี่ยนสีจังๆ เข้าสองที่คือ Towada/Oirase และ Nyuto Onsen ทำให้ได้รับประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีมาก

ส่วนการเดินทางจะลำบากหน่อยเพราะรถไฟเข้าไม่ถึงตลอด และสถานีเล็กๆ หลายแห่งไม่มีที่ฝากกระเป๋า ดังนั้นต้องวางแผนการเดินทางของกระเป๋าให้ดีๆ ว่าจะฝากไว้ที่ไหนอย่างไรบ้าง รวมถึงจัดสัมภาระให้ไม่หนักและเยอะมากเกินไปจนเที่ยวไม่สนุกครับ

[13/10/14] Bangkok Shutdown - Latphrao Junction

$
0
0

Bangkok Shutdown: Latphrao Junction as 9.30am, 13 January 2014.

ออฟฟิศอยู่ใกล้ม็อบที่ห้าแยกลาดพร้าว เพื่อความรอบคอบ เมื่อเช้าเลยเดินไปสำรวจสถานการณ์บริเวณ 5 แยกหน่อยครับ (ประมาณ 9.30 น. ของวันที่ 13 ม.ค. 2557)

เริ่มจาก Union Mall ตอนเช้า ล้อมรั้วทุกกรณี ฝั่งลาดพร้าว ซ.1 มีลวดหนามด้วย

หน้ายูเนียนมอลล์ ยกกระถางต้นไม้มาปิดทางเข้า และเอารั้วเหล็กมาปิดตรงบันไดเข้าห้าง

หน้ายูเนียนมอลล์ รถเมล์จะวิ่งมาได้ถึงแค่สุดถนนลาดพร้าว แล้วยูเทิร์นกลับใต้สะพานก้นหอยลาดพร้าว คนต้องลงตรงนี้แล้วเดินหรือนั่ง MRT ต่อกันเอง

เดินมาบริเวณห้าแยก ฝั่งหน้าร้านปาเต๊ะ / โรงเรียนเซนต์จอห์นเดิม

มอเตอร์ไซด์ยังมีให้บริการ

พื้นที่ถนนด้านล่างปิดหมดแล้ว แต่สะพานรถข้ามยังใช้งานได้ มาจากดินแดงสามารถข้ามมาลาดพร้าวได้

เจอม็อบกำลังเคลื่อนขบวนไปกระทรวงแรงงานพอดี

บริเวณใต้สะพานข้ามแยกลาดพร้าว มุ่งหน้าไปจตุจักร โดนปิดสนิทครับ

แถวบริเวณใต้สะพาน ช่วงเช้าม็อบเพิ่งเริ่มมาจากที่ต่างๆ ครับ กลุ่มนี้มาจาก อ.ลำปลายมาศ

มุ่งหน้าจตุจักรครับ เห็นเวทีอยู่ลิบๆ บริเวณก่อนถึงธนาคาร TMB เล็กน้อย

หันไปมองฝั่งมุ่งหน้าดอนเมือง และเซ็นทรัลลาดพร้าว

เวทีหันหน้าเข้าเมืองไปทางฝั่งจตุจักรครับ (คือถนนพหลโยธินหน้าสวนจตุจักรนั่นแล) ก่อนเข้าเวทีต้องผ่านการตรวจกระเป๋าจากการ์ด ผมเข้าไปถึงแค่ตรงนี้

MRT ปรับเส้นทางการให้บริการ โดยจะวิ่งตามปกติถึงแค่สถานีสวนจตุจักร (Chatuchak Park) แล้ววนกลับ ถ้าจะไปต่อถึงบางซื่อจะต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีสวนจตุจักร

แถวออฟฟิศ (MRT ลาดพร้าว แยกรัชดา-ลาดพร้าว) มีจุดตรวจของตำรวจด้วย เฉพาะฝั่งลาดพร้าวขาออกเท่านั้น ฝั่งตรงข้ามไม่มี

Dual Power

$
0
0

พยายามอ่านบทวิเคราะห์การเมืองในช่วงๆ นี้ และพบว่าท่ามกลางบทวิเคราะห์มากมายสารพัดค่าย งานชิ้นที่อธิบายสถานการณ์ได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงที่สุด (ในความเห็นข้าพเจ้า) คือสเตตัสของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ช่วงวันที่ 9-10 ม.ค. ที่ผ่านมา

ประเด็นสำคัญของ อ.สมศักดิ์ เจียมฯ

  1. อ.สมศักดิ์ ใช้ทฤษฎีเรื่อง Hegemonyหรือ "อำนาจนำ"ของกรัมชี่ (ระบบการสถาปนา "คุณค่า"อะไรสักอย่างที่คนยึดถือ) มาอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองครั้งนี้
  2. ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน เป็นการต่อสู้กันของ "ระบบคุณค่า"สองระบบ คือ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ถือคุณค่าแบบดั้งเดิม-ขนบธรรมเนียมเดิม กับฝ่ายขั้วอำนาจใหม่ที่ถือคุณค่าเลือกการเลือกตั้งตามโลกาภิวัฒน์ ซึ่งแทบไม่เหลือ "คุณค่า"ที่ทั้งสองฝ่ายยึดถือร่วมกันแล้ว
  3. ขั้วอำนาจทั้งสองฝ่ายมีอำนาจพอๆ กัน และไม่สามารถเอาชนะกันได้เด็ดขาด ใครที่จัดตั้งรัฐบาลได้ก็ไม่สามารถบริหารงานได้ตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น
  4. เป็นไปได้สูงว่า ขั้วอำนาจทั้งสองฝ่ายจะสถาปนาอำนาจรัฐเฉพาะในส่วนที่ตัวเองคุมได้ และเกิดสภาวะ "รัฐบาลคู่"หรือ "อำนาจรัฐคู่" (Dual Power) (เช่น สภาประชาชนถูกตั้งขึ้นมาโดยที่สภาผู้แทนฯ ก็ยังไม่ล่มสลายไป อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามอำนาจของฝ่ายตรงข้าม)
  5. ในอดีตเราอาจเอาชนะกันด้วยอาวุธ (ตามแนวสงครามกลางเมืองในหลายๆ ประเทศ) แต่ในยุคปัจจุบัน การที่ฝ่ายใดจะสามารถเอาชนะกันได้แบบเด็ดขาด ต้องใช้วิธีชนะทางการเมือง (ในที่นี้หมายถึง "ชนะใจประชาชนหมู่มาก"ไม่ใช่ "ชนะการเลือกตั้ง") เท่านั้น

ส่วนจะเอาชนะกันทางการเมืองได้อย่างไร คงไป discuss กันต่อในบล็อกถัดๆ ไปครับ

เพื่อความอยู่ยงของข้อมูล ก็ขอคัดลอกสเตสัสมาไว้ในบล็อกครับ

ชิ้นแรก: Hegemony

Hegemony หรือ "อำนาจนำ ทางวัฒนธรรม และทางระบบคิดเชิงคุณค่า"

(กระทู้นี้มีลักษณะวิชาการหรือทฤษฎีอยู่บ้าง ขออภัยสำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคย)

The rule of one class or group over the rest of society does not depend on material power alone; in modern times, at least, the dominant class must establish its own moral, political and cultural values as conventional norms of practical behavior.

การปกครองของชนชั้นหรือกลุ่มการเมืองใด ต่อสังคมที่เหลือทั้งหมด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจทางวัตถุเท่านั้น แต่อย่างน้อยในยุคสมัยใหม่ ชนชั้นหรือกลุ่มปกครองจะต้องสามารถสถาปนาคุณค่าเชิงศีลธรรม เชิงการเมืองและวัฒนธรรมของตน ให้กลายเป็นแบบแผนพฤฒิกรรมในการปฏิบัติของทั้งสังคมได้ด้วย

.............

ข้างต้นนี้คือคำอธิบายไอเดียที่เป็น "แก่น"ของข้อเสนอเรื่อง Hegemony (หรือ "อำนาจนำ"ตามคำแปลของเกษียร) ของ อันโตนิโอ กรัมชี่ นักคิดมาร์กซิสต์ชาวอิตาเลียนที่ลือชื่อ (ผมเอามาจากหนังสือ Gramsci's Political Thought)

ถ้าจะอธิบายขยายความขึ้นอีกหน่อย คือ

การที่ชนชั้นหรือกลุ่มการเมืองใด จะสามารถเป็นผู้ปกครองของทั้งสังคมได้ จะต้องสามารถสถาปนา "ระบบคุณค่า"ของตน ให้กลายเป็นที่ยอมรับ กลายเป็นแบบแผนปฏิบัติปกติของทั้งสังคม ... ในกรณีประเทศตะวันตก ชนชั้นนายทุนได้ประสบความสำเร็จในการสถาปนา ไอเดียเรื่อง "สิทธิ""เสรีภาพ""ความเสมอภาค"ของปัจเจกบุคคล ที่เป็นระบบคิดเชิงคุณค่าของชนชั้นนายทุน ให้กลายเป็นไอเดียหรือวัฒนธรรมที่เป็น "ของทั้งสังคม"ได้

นักการเมืองชนชั้นกระฎุมพีไทย มีปัญหามาโดยตลอด ในการสร้างหรือสถาปนา วัฒนธรรม หรือระบบคุณค่า ที่เป็นของตัวเอง ที่จะเข้าแทนที่อุดมการณ์ หรือระบบคุณค่า แบบ "ศักดินา"หรือ กษัตริย์นิยม แบบเดิม ... ครั้งสุดท้าย (และครั้งแรก) ที่มีความพยายาม คือ กรณี จอมพล ป. ในทศวรรษ 2480 ที่พยายามสร้างอุดมการณ์แบบ "ชาตินิยม-รัฐนิยม"ขึ้นมา .. แต่ก็ล้มเหลวไปพร้อมกับความล้มเหลวของสงครามเอเชียบูรพา

อันที่จริง กล่าวได้ว่า - ยกเว้นกรณีที่เพิ่งกล่าวถึง (ชาตินิยม-รัฐนิยม ของจอมพล) ชนชั้นกระฎุมพีไทย ไม่เคยมีระบบคุณค่า หรือวัฒนธรรม ของตัวเอง โดยแท้จริงด้วยซ้ำ แต่มีลักษณะ "ยืม"หรือ อาศัย อุดมการณ์แบบเดิม ของเจ้า มาใช้ในการปกครองทั้งสังคมโดยตลอด .. เรียกว่า มีแต่ borrowed ideology (ระบบคิดที่ "ยืม"มา)

ชิ้นที่สอง Dual Power

Dual Power - อำนาจรัฐคู่

ผมมานึกๆดู เกรงว่า ประเทศไทย ได้มาถึงจุดที่

ไม่ว่าใคร ขั้วไหน ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล ปกครองประเทศไปอย่างปกติได้ ไม่ว่าจะขึ้นเป็นรัฐบาลด้วยวิธีอย่างไร

เราอยู่ในภาวะที่

- แบ่งเป็นสองขั้วอำนาจการเมืองชัดเจน (extreme political polarization)

- โดยที่ไม่มีจุด "กลาง" (ตั้งแต่กลไก เช่น วิธีขึ้นสู่อำนาจ ไปถึงศาล ไปถึง ไอเดีย การมองเชิงคุณค่าทางการเมือง) ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกันโดยแท้จริง

โดยที่แต่ละฝ่ายมีกำลังยึดครองที่มั่นหรือจุดแข็งของแต่ละฝ่ายแยกกันโดยชัดเจน ในลักษณะที่ก้ำกึ่ง พอๆกัน เช่น ฝ่ายนี้กุมเลือกตั้ง อีกฝ่ายกุมพวกองค์กรอิสระ ฯลฯ

มีภาวะคล้ายๆกับรัสเซียสมัยช่วงระหว่างปฏิวัติเดือนกุมภา กับ เดือนตุลา 1917 ที่เรียกว่า Dual Power หรือ "ทวิอำนาจ""อำนาจคู่"คือ เหมือนมีรัฐบาล หรืออำนาจรัฐ 2 ขั้วพร้อมๆกัน (ไม่ใช่แค่ ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายค้าน)*

ใครขึ้นจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่สามารถบริหารประเทศอย่างปกติ ตัวอย่างล่าสุด คือการที่ ฝ่าย "ศาล" (ที่ขั้วอำนาจหนึ่งยึดกุม) เข้ามาขัดขวางในระดับนโยบายบริหารประเทศเลย (รถไฟ ข้าว น้ำ ฯลฯ)

สมมุติว่า วิกฤตินี้ ลงเอยที่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ (ซึ่งโดยส่วนตัว ผมคิดว่า เป็นไปได้สูง) รัฐบาลที่อีกขั้วอำนาจจัดตั้งขึ้นใหม่ ก็ไม่มีทางปกครองปกติได้ (จะเจอกับคล้ายปี 52-53 แน่ๆ) ถ้าไม่มีการเปลี่ยน ฝ่ายนี้ "รอด"ได้ somehow ซึ่งตอนนี้ยังนึกไม่ออก - เลือกตั้งได้ ผมก็นึกไม่ออกว่า จะจัดตั้งรัฐบาลปกครองโดยปกติ โดยไม่มีพรรคฝ่ายค้านใหญ่ที่สุด ทีมีฐานเสียงเป็นสิบล้าน ในสภาได้เลย ได้ยังไง และผมไม่คิดว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใหม่ ต่อให้มี จะปกครองโดยปกติได้อย่างไร แค่ในแง่โครงการต่างๆ ก็ยากจะทำได้อีกแล้ว

ถ้าเราดูในแง่ "ตัวเลข"จะยิ่งเห็นชัดถึงภาวะที่ว่านี้

7 ปีที่ผ่านมา มีนายกฯถึง 4-5 คน ถ้าคิดแบบเฉลี่ยล้วนๆ คนนึง ก็อยู่ในอำนาจแค่ปีกว่า

มองให้ละเอียดลงไป อภิสิทธิ์ กับ ยิ่งลักษณ์ อยู่คนละประมาณ 2 ปีครึ่ง สมัคร-สมชาย (ถ้านับรวมกัน) กับ สุรยุทธ อยู่กันคนละ 1 ปี

และจะเห็นได้ว่า ในระหว่างนั้น ไม่ว่าฝ่ายไหน จัดตั้งรัฐบาล ก็แทบไม่มีช่วงของการปกครองโดยปกติเลย (สมชาย เป็นตัวอย่างชนิดสุดขั้วเลย คือ ไม่เคยเข้าทำงานในทำเนียบได้เลยด้วยซ้ำ)

(แน่นอน ภาวะที่กำลังกล่าวถึงนี้ ที่ไม่ว่า เพื่อไทย หรือ ปชป จัดตั้ง รัฐบาล ก็ไม่สามารถปกครองโดยปกติได้ .. ง่ายที่จะถูกใช้เป็นข้ออ้าง โดย วัง-ทหาร ในการจัดตั้งรัฐบาล ที่อ้างว่า ไม่อยู่ในทั้ง 2 ขั้ว - สุเทพ และ กปปส ก็กำลังอ้างว่า กำลังผลักดันให้เกิดขึ้น - แต่ถ้ามีรัฐบาลทีว่าจริงๆ ในความเป็นจริง ก็จะเป็นเพียง อีกปีกหนึ่งของขั้วอำนาจเดียวกับ ปชป เท่านั้น และก็จะเหมือนกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ คือ จะไม่สามารถปกครองได้เช่นกัน)

.................

* คำว่า Dual Power ที่ใช้ในรัสเซีย ระหว่าง กุมภา-ตุลา 1917 เพื่อบรรยายถึงการที่มีทั้ง "รัฐบาลชั่วคราว"ที่ขึ้นมาเป็น "รัฐบาลทางการ"ต่อจากรัฐบาลพระเจ้าซาร์ กับ มีทั้ง "สภาโซเวียต"ที่ก่อตั้งขึ้นมากันเองในหมู่มวลชนกรรมกร ทหาร ชาวนา - โดยที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างมีลักษณะเหมือนมีอำนาจรัฐทั้งคู่ เช่น ระดับมวลชน กรรมกร ไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาลชั่วคราว ฟังคำสั่งเฉพาะของสภาโซเวียต ในกองทัพ ผู้นำทัพก็ไม่สามารถบัญชาทหาร โดยไม่ได้รับความยินยอมจากสภาโซเวียตทหาร

ต้นคำในภาษารัสเซีย คือ dvoevlastie ซึ่งไม่มีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษที่ตรงจริงๆ คำว่า vlast หมายถึง sovereignty (อธิปไตย) หรือหมายถึง "อำนาจ"ก็ได้ และเป็นคำที่ใช้แทนคำว่า government (รัฐบาล) หรือ authorities (ราชการ) ก็ได้

ชิ้นที่สาม: การเอาชนะกันทางการเมือง

ความจริง มันมี "นัยยะ"อย่างหนึ่ง จากกระทู้ 2 อันข้างล่าง เรื่อง hegemony กับ dual power (กรุณาอ่าน 2 อันนั้นประกอบ) - สำหรับฝั่ง ทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง (หรือแม้แต่คนที่ดีเฟนด์การเลือกตั้งที่ไม่ใช่เชียร์ทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง)

นัยยะที่วานี้ (ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมคิดหนักมาสักระยะหนึ่ง) คือ

ถ้าฝ่ายทักษิณ-เพื่อไทย จะสามารถเป็นรัฐบาลปกครองได้โดยปกติจริงๆ (ปกครอง "ต่อทั้งสังคม" - rule over the rest of society)

จะต้องสามารถ "เอาชนะ"ไม่ใช่ในทาง "วัตถุ" (โครงการพัฒนาต่างๆ) หรือ ไม่ใช่ในทาง "รูปแบบทางการ" (formality) ของการได้มาซึ่งอำนาจ ("เลือกตั้ง เสียงส่วนใหญ่") หรือกระทั่ง แก้ รธน. ล้มองค์กรที่เป็นของอีกฝ่าย

แต่ต้อง "เอาชนะใจ"หรือ สามารถสถาปนาการยอมรับร่วมกัน ในแง่ค่านิยม-อุดมการณ์ และสิ่งที่เป็นแบบแผนการปฏิบัติทั่วไป (conventional norms of practical behavior)

ประเด็นสำคัญคือ คนในระดับ "ฐานมวลชน"ของอีกฝ่ายนั่นแหละ (ชนชั้นกลางในเมือง รวมถึงคนที่ฝั่งนี้ชอบเรียกว่า "สลิ่ม")

และ "กุญแจ"สำคัญอันหนึ่งของกระบวนการนี้คือ (ถ้าใช้คำที่กำลังนิยมในขณะนี้) - การ "ปฏิรูป"หรือเปลี่ยนแปลง ลักษณะ "การใช้อำนาจ"ของฝั่งทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง เอง (ไม่ว่าจะด้วยตัวเอง หรือถูกทำให้เปลี่ยน)

ผมคิดว่า มี "แก่น"บางอย่าง ของความกังวลใจ (anxiety) ของชนชั้นกลางในเมือง ที่เป็นความรู้สึก ที่หนุน หรือ อยาก ให้มี "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" (ผมกำลังพูดถึงระดับ "ความรู้สึก"คือ หมายถึง มันอาจจะเรียบเรียงออกมาเป็นคำได้ไม่ชัดเจนในหมู่พวกเขา แต่เป็นความรู้สึกลึกๆ)

คือ เรื่องว่า "เลือกตั้งยังไง ทักษิณก็ชนะ"และ (ที่ต่อเนื่องกัน) "ไม่มีกลไกในการถ่วงดุลย์การใช้อำนาจเสียงข้างมาก ที่ชนะเลือกตั้ง ได้จริงๆ"

anxiety หรือ ความรู้สึกกังวลใจ 2 เรื่องนี้ (ผมเคยเขียนมาก่อน) "มีประเด็น"หรือ "มีน้ำหนัก"อยู่

การที่พรรคใด "ผูกขาดชนะเลือกตั้ง"เป็นอะไรที่ไม่ healthy ต่อประชาธิปไตย แต่คำอธิบาย มันไมใช่อย่างที่ กปปส หรือ ผู้สนับสนุน เข้าใจ ("ซื้อเสียง") - และปัญหาก็กว้างกว่า ที่อีสาน เช่น กรณีชัดๆ ที่ภาคใต้ การที่ ปชป "ผูกขาดชนะเลือกตั้ง"ก็เป็นอะไรที่ไม่ healthy เช่นกัน - เหมือนกับการที่มีแนวโน้มว่า ทักษิณจะ "ผูกขาดชนะเลือกตั้ง"ที่อีสาน (ประเด็นที่ทำให้ฝ่ายนั้นไม่พอใจคือ การ "ผูกขาดชนะเลือกตั้ง"ที่ใต้ ของพวกเขา ได้ "จำนวน"มาไม่มากเท่า "การผูกขาดชนะเลือกตั้ง"ของอีกฝ่ายทึ่อีสาน)

และปัญหานี้ ทำให้มีลักษณะหนักหนาขึ้นไปอีก ในกรณีประเทศไทย ที่ใช้ระบบสภา "แบบอังกฤษ"ที่ไม่มีการถ่วงดุลย์แท้จริง เรื่องนี้ ยิ่งลักษณ์ หรือ เพื่อไทย พูดผิดมากๆ เสมอ เรื่อง "รัฐสภา กับรัฐบาลแยกจากกัน"ความจริง ผมเห็นว่า เป็นการพูดที่แย่ที่สุดอันหนึ่งของยิ่งลักษณ์ในทางการเมือง เพราะมันผิด ในแง่การอธิบาย หรือความเข้าใจระบบที่เราใช้อยู่ - สภาแบบนี้ มีปัญหาจริงๆ ในแง่ที่ว่า รัฐบาลมาจากเสียงข้างมากในสภา ดังนั้น ไมมีทางที่สภา จะสามารถ "เช็ค แอนด์ บาล้านซ์"รัฐบาลได้จริงๆ กรณีบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย หรืออังกฤษ พอจะมี "สภาสูง"ทำหน้าที่ได้นิดหน่อย แต่กรณีไทย ความจริงคือ ฝ่ายทักษิณ-เพื่อไทย สามารถคุมสภาสูงได้ด้วย เพราะใช้ระบบเลือกตั้งมาแบบเดียวกัน

แน่นอน "ทางออก"ที่ว่า ถ้างั้น หา "องค์กรอิสระ"พวก ศาล ต่างๆมาทำหน้าที่ถ่วงดุลย์ ที่อีกฝ่ายกำลังใช้หรือหวังจะใช้ ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะ "องค์กรอิสระ"หรือ "อำนาจอิสระ"ที่จะมาคอย "เช็ค แอนด์ บาล้านซ์"เอง ไม่มีใครสามารถ "เช็ค แอนด์ บาล้านซ์"พวกเขาได้ (เพราะในที่สุด อำนาจพวกเขา "ผูก"อยู่กับอำนาจสถาบันกษัตริย์)


คุยกับคนขายชานมไข่มุก

$
0
0

วันนี้ไปธุระแถวพหลโยธิน ซ.8 คุยงานเสร็จแล้วหิวน้ำ อ้าวนั่นไง มีซุ้มขายชานมไข่มุกอยู่พอดี

"ชานมเฉยๆ แก้วนึง ไม่ใส่อย่างอื่น"

ระหว่างรอ ชวนคุยกับคนขายด้วยความสงสัยมานาน คือผมเป็นคนที่ไม่ชอบกิน "ไข่มุก"ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าขี้เกียจเคี้ยว (คือจะกินน้ำ) แต่เห็นคนส่วนใหญ่จะเน้นไข่มุกกัน เลยถามคนขายดีกว่าเพื่อความชัวร์

ผม: ปกติชาแบบใส่ไข่มุกกับไม่ใส่นี่ อย่างไหนดีกว่ากัน

พอๆ กันพี่

ผม: มันต้องมีสักอย่างที่ขายดีกว่าสิ

ไข่มุกเยอะกว่านะ บางคนเค้าชอบเคี้ยว บางคนนี่ถ้าไม่มีไข่มุกนี่ไม่กินเลย ชามันหวานเค้าเลยชอบกินไข่มุขมาตัดหวานด้วย

ผม: แล้วชารสไหนขายดีที่สุด

ปกติก็ชานม ชาแอปเปิ้ล น้ำผึ้งมะนาว (อีกรสนึงผมจำไม่ได้) สี่รสนี้จะขายดีที่สุด

(ชงชาเสร็จแล้ว จ่ายเงิน พนักงานเอาบัตรสะสมแต้มให้)

ผม: ไม่เอาดีกว่า ไม่ค่อยได้มาแถวนี้ เอาไปก็ทิ้ง

พนักงานทำหน้างงๆ ไปนิดนึง แล้วก็บอกว่า พี่เอาไปแหละดีแล้ว เผื่อไปใช้สาขาอื่นได้ (คะแนน service เต็มร้อย)

ผมเดินออกจากร้านด้วยความปลาบปลื้ม

สวนกับลูกค้าคนใหม่ที่เดินเข้ามาสั่งว่า

"เอาชานมไข่มุกแก้วนึง กับน้ำผึ้งมะนาวอีกแก้ว"

Untitled

Keyword: 

How to Sell Your Company

$
0
0

เคยเขียนบล็อกตอน When to Sell Your Companyไปทีหนึ่ง เมื่อเช้าไปเจอลิงก์น่าสนใจบน Techmeme กดเข้าไปอ่านก็ยาวเลยครับ (เวลาว่างยามเช้าของตู)

Exitround: The 3 Major Steps To A Term Sheet

บทความนี้อธิบายกระบวนการ (how) ของการขายบริษัท (ในบริบทของ startup ในอเมริกา) โดยพิจารณาจากมุมมองของฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (corporate development หรือบางที่เรียก business development) ในบริษัทไอทีใหญ่ๆ อย่าง Twitter/Yahoo/Google ว่าในฐานะคนที่ทำหน้าที่ซื้อกิจการโดยตรง มองหาอะไรหรืออยากได้อะไร จากบริษัทที่สนใจจะซื้อ

ข้อมูลพวกนี้มักเป็นข้อมูลปิดลับเพราะถือเป็นเรื่อง sensitive ดังนั้น know-how ด้านนี้ก็มีไม่เยอะนักเมื่อเทียบกับ know-how ด้านอื่นๆ

มองหาอะไร

เนื่องจากบริษัทไอทีที่ยกมาเป็นบริษัทไอทีชั้นนำ เรื่องตังไม่ใช่ประเด็นนัก คำตอบที่ได้เลยหล่อๆ หน่อย

  • Twitter มองหา passion ของทีมที่จะเข้าไปซื้อกิจการว่าตื่นเต้นกับเรื่องอะไรจนลาออกจากงานประจำมาเปิดบริษัทเอง และเรื่องที่ว่านั้นตรงกับความต้องการของ Twitter หรือไม่
  • Yahoo มองหา "สิ่งที่คุณภูมิใจ"ในการรัน startup เพื่อจะดูว่าคุณให้คุณค่ากับเรื่องอะไร (และตรงกับคุณค่าของ Yahoo หรือไม่)
  • Google มองหา "passion ในการทำงานกับกูเกิล"เพราะซื้อมาแล้วก็ต้องอยู่ใต้ร่มกูเกิล จะมาติสต์ๆ ทำตัวอิสระแบบแต่ก่อนก็ไม่ได้แล้ว

3 Meetings

ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (ในบริบทของบริษัทไอทีอเมริกัน) มักจะนัดพบกับตัวแทนของบริษัทเป้าหมายประมาณ 3 ครั้ง ก่อนเริ่มการเจรจาอย่างเป็นทางการ

ครั้งแรกฝ่ายพัฒนาธุรกิจจะนัดพบเพื่อดูว่า ทีมที่จะซื้อมีความสนใจตรงกับแนวทางของบริษัทตัวเองหรือไม่ (ตามประเด็นข้างต้น)

ถ้าเวิร์ค ฝ่ายพัฒนาธุรกิจจะกลับไปมองหา "เจ้าภาพ" (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า sponsor) ภายในบริษัท ว่าบริษัทที่ซื้อมาจะไปอยู่ใต้การดูแลของใคร และเขาคนนั้นจะกลายเป็น champion ที่คอยผลักดันให้ผู้บริหารตัดสินใจซื้อบริษัทเป้าหมาย ("เจ้าภาพ"มักเป็นหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมหรือฝ่ายผลิตภัณฑ์)

ครั้งที่สองฝ่ายพัฒนาธุรกิจจะพา "เจ้าภาพ"ภายในบริษัทไปเจอทีมเป้าหมายเพื่อทำความรู้จักกันก่อน

ครั้งที่สามคราวนี้ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจมักจะเชิญ "ทีมเป้าหมาย"มาดูลู่ทางของบริษัทตัวเองบ้าง โดยมักอยู่ในรูปของการจัด tech talk เพื่อให้บุคคลากรเป้าหมายได้มีโอกาส "โชว์กึ๋น"ทางเทคนิคให้คนในบริษัทได้เห็น (ด้วยบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการนัก คือไม่ใช่การรีวิวฝีมือทางเทคนิคโดยตรง)

meeting ทั้งสามครั้งนี้ไม่ควรใช้เวลารวมกันนานเกิน 1 เดือน ถ้าบริษัทใด (ในบริบทของอเมริกา) เจอสถานการณ์นี้และพบว่านานเกินนี้ ก็แปลว่ามีโอกาสสูงที่ดีลจะล่มแล้ว

ขั้นตอนต่อไป

เมื่อผ่านกระบวนการ 3 meetings นี้ไปได้ บริษัทผู้ซื้อจะเริ่มทำ "เอกสารเงื่อนไขการเจรจา" (term sheet) ที่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง โดยคำแนะนำของบริษัทไอทีชื่อดัง ระบุว่าให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาทำข้อตกลงในประเด็นใหญ่ๆ กันก่อน แล้วค่อยไปเก็บประเด็นเล็กๆ ในรายละเอียดทีหลัง (ก่อนเจรจาควรเซ็น exclusivity of negotiations คือการันตีว่าจะเจรจากับบริษัทที่ว่าเพียงรายเดียว เพื่อแสดงความจริงใจและจริงจังในการเจรจา และเพื่อให้การเจรจามีเงื่อนไขให้ต้องเดินหน้าต่อไปจากทั้งสองฝั่ง)

สำหรับในบริษัทผู้ซื้อเอง ฝ่ายพัฒนาธุรกิจต้องแสดงภาพให้ผู้บริหาร (ที่เป็นคนตัดสินใจซื้อ) มองเห็นประโยชน์ของการซื้อกิจการครั้งนั้นให้จงได้ เอกสารนี้เรียกว่า deal thesis และต้องทำงานร่วมกันกับ "เจ้าภาพภายใน"เพื่อสร้างข้อเสนอที่ตรงกับเป้าหมายหรือความต้องการของบริษัทในภาพรวมด้วย

เทคนิคสุดท้ายในบทความคือ ถ้าดีลไหนมาจากผู้บริหารของบริษัทโดยตรง ("บริษัทนี้น่าสนใจนะ ไปดูรายละเอียดมาหน่อยซิ") มักมีโอกาสผ่านสูงเพราะผู้บริหารลงมาเล่นเอง ดังนั้น startup ก็ควรไปสร้างสัมพันธ์กับผู้บริหารของ "ว่าที่ผู้ซื้อ"เอาไว้บ้างตามงานต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในอนาคต

เทคนิคจาก Quora

คอมเมนต์ท้ายบทความยังแนะนำ กระทู้ใน Quoraซึ่งก็ให้อีกมุมมองที่น่าสนใจ และมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นในบางจุด

  • ฝั่ง startup มักเสียเปรียบบริษัทใหญ่เพราะไม่มีประสบการณ์ในการเจรจามาก่อน ในขณะที่ฝั่งบริษัทใหญ่มีคนที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ ประสบการ์ณโชกโชน เวลาเจรจาอาจกดขี่ข่มเหงได้มาก
  • ฝั่ง startup ควรเรียกหา "เงินค่าคุย"หรือ "มัดจำ" (earnest money) เพื่อให้ผู้ซื้อมีความจริงจังในการเจรจา (ไม่ใช่ "เจรจาไปเรื่อย""คุยเผื่อไว้ไม่เสียหลาย"ซึ่งเปลือง resource ของฝั่งผู้ขาย)
  • อาจใช้การเจรจาสามฝ่าย ในกรณีที่มีนักลงทุนอยู่ในบริษัทด้วย (simultaneous close arrangement) ข้อดีคือมีคนช่วยเจรจาให้ฝ่ายเรา และการันตีราคาขั้นต่ำได้ในระดับหนึ่ง
  • เทคนิคอีกข้อที่น่าสนใจคือ ไปขอให้คนสนิทฝ่ายเราที่รวยมากๆ ช่วยดูเงื่อนไขการเจรจา (หลัก "คนนอกมองเห็นชัดกว่า") แถมมีเงินเยอะอยู่แล้วก็ไม่ตื่นเต้นไปกับตัวเลขมากนัก มองข้อเสนอตามสภาพความเป็นจริงของธุรกิจ
  • เพิ่มเงื่อนไขการซื้อคืน (clawback clause) ถ้าทำได้ เพราะมีโอกาสสูงที่บริษัทใหญ่ซื้อไปทำเละ และมักจะขายคืนในราคาถูกๆ นอกจากนี้ยังช่วยการันตีในกรณีเรื่องการซื้อด้วยหุ้นของบริษัทใหญ่ ปรากฏว่าหุ้นตกหรือไม่แพงอย่างที่ควรจะเป็นด้วย
  • "เงินสด"เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในฝั่งของคนขายกิจการ ("เงินของจริง หุ้นน่ะขายฝัน"หรือ "กำขี้ดีกว่ากำตด") ดังนั้นให้มองที่เงินสดที่จะได้มาเป็นหลัก ส่วนอย่างอื่นน่ะของแถม ได้ก็ดี ไม่ได้อย่างที่ฝันก็จะได้ไม่เสียใจมาก

Keyword: 

What If - Two Years Later

$
0
0

สงสัยครับ ใครก็ได้ตอบผมที

สมมติว่าให้ กปปส. ปฏิรูปประเทศไทยจริงๆ เป็นเวลา 18 เดือน (ซึ่งผมเริ่มจะเอนเอียงมาทางนี้บ้างละนะ)

  1. ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการณ์ (ขอชื่อเลยนะครับ ไม่เอาคำตอบว่า "ใครก็ได้")
  2. ปฏิรูปประเทศไทยเสร็จ เลือกตั้งใหม่ เกิดความเป็นไปได้ (scenario) 2 แนวทางใหญ่ๆ
    • เพื่อไทยชนะ ยิ่งลักษณ์ (หรือนอมินีคนอื่น) เป็นนายก ได้ ครม. น่าจะชุดเดิม
    • ประชาธิปัตย์ชนะ อภิสิทธิ์เป็นนายก ได้ ครม. น่าจะชุดเดียวกับปี 51 (อาจลบ 8-9 คนที่ลาออกไปเป็น กปปส. ถ้าทำตามที่พูดจริงว่าจะไม่เล่นการเมืองอีก)

มันเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจากวันนี้ยังไงบ้างอะครับ อยากเห็น "ภาพอนาคต"ของวันหน้า (จะเป็นภาพฝันก็ได้นะ ไม่เป็นไร)

หรือว่าจะมีตัวละครลับ นักการเมืองขั้นเทพ ซ่อนตัวอยู่แล้วออกมาโผล่ทีเดียวในอีก 2 ปีข้างหน้า เลือกตั้งแล้วน็อคเลย

หรือว่ามี scenario ประเภทบรรหาร หรือภูมิใจไทย ชนะการเลือกตั้ง?

Keyword: 

Founders Salary: เงินเดือนผู้ก่อตั้ง Startup ควรเป็นเท่าไร

$
0
0

ช่วงนี้มีข่าว/บทความด้าน startup ที่น่าสนใจหลายเรื่อง (มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย) ประเด็นล่าสุดที่โลกไอทีฝรั่งกำลังคุยกันคือ "เงินเดือนของผู้ก่อตั้งบริษัท startup ควรจะเป็นเท่าไร"

คำถามนี้สำคัญ แถมไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด โดยคนที่เคยจุดประเด็นเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2008 คือ Peter Thiel ผู้ก่อตั้ง PayPal และนักลงทุนรายใหญ่ของซิลิคอนวัลเลย์ (คนให้ทุน Mark Zuckerberg เป็นรายแรกๆ ลองไปดูในหนัง The Social Networkได้)

ปี 2008 Peter Thiel ไปพูดที่งานของ TechCrunchแล้วเอ่ย "วรรคทอง"จากการสังเกตของเขาในฐานะนักลงทุนระดับป๋าว่า "ยิ่งซีอีโอตั้งเงินเดือนตัวเองน้อย โอกาสที่บริษัทจะประสบความสำเร็จยิ่งมีสูง"

The lower the CEO salary, the more likely it is to succeed.

มันดูสั้นๆ ไม่มีอะไรแต่จริงๆ แล้วลึกซึ้ง โดยเหตุผลสนับสนุนของ Thiel คือ

  • เงินเดือนของ CEO เป็น "เพดานขั้นสูงสุด"ของเงินเดือนคนในองค์กร ถ้าตั้งไว้สูงเกินไป เงินทุนก็จะหมดไปกับค่าจ้างคนเร็วกว่าที่ควร
  • การตั้งเงินเดือนของ CEO เป็นการพิสูจน์ความตั้งใจของผู้ก่อตั้งว่า ตกลงเมิงมาทำบริษัทเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือมาเพื่อเงินกันแน่

Thiel บอกกับ "ว่าที่นักลงทุน"ว่าถ้าหากมีโอกาสได้ถามคำถามกับบริษัทที่เราจะไปลงทุนเพียงคำถามเดียว ก็ขอให้ถามคำถามนี้แหละ (ซีอีโอเงินเดือนเท่าไร) ซึ่งเขาให้เรตที่ควรจะเป็นว่าควรอยู่ระดับ 100,000-125,000 ดอลลาร์ต่อปี (ฝรั่งนับเงินปี ไม่นับเงินเดือน)

หลังจาก Thiel จุดประเด็นนี้ขึ้นมา เรื่องนี้ก็ถูกพูดถึงและถกเถียงกันอีกหลายต่อหลายครั้งในวงการ startup ต่างประเทศ

[เว็บไซต์ OnStartups โดยนักลงทุนอีกคนชื่อ Chris Sheehan](http://onstartups.com/tabid/3339/bid/88227/How-Much-Should-A-Startup-Founder-CEO-Pay-Herself.aspx เขียน "ข้อสังเกต"ของเขาไว้แยกเป็นประเด็นดังนี้

  1. เงินเดือนแตกต่างได้ตาม "สถานะ"ของผู้ก่อตั้ง เช่น ยังหนุ่ม ไม่มีลูก ไม่มีหนี้ธนาคารกู้บ้าน ก็ตั้งเงินเดือนต่ำๆ ได้ แต่ถ้าแก่มาสักหน่อยเริ่มมีภาระก็อาจตั้งเงินเดือนสูงขึ้นได้ตามสภาพ
  2. ในกรณีที่ระดมทุนมาทำบริษัท ก็ขึ้นกับว่าระดมทุนได้มากแค่ไหน ถ้าเก่งพอระดมทุนได้เยอะ ก็อาจตั้งเงินเดือนให้สูงขึ้นได้อีกหน่อย
  3. สัดส่วนหุ้นที่ซีอีโอครอบครองอยู่หลังระดมทุน (seed funding) แล้ว อาจมีผลทางใจต่อการตั้งเงินเดือน
  4. บางบริษัทอาจมีช่วงตั้งไข่ก่อนเริ่มทำบริษัท (bootstrap) ที่ผู้ก่อตั้งไม่มีรายได้ใดๆ อยู่พักหนึ่ง ดังนั้นผู้ก่อตั้งอาจตั้งเงินเดือนตัวเองชดเชยช่วงนี้ได้
  5. ในกรณีที่ระดมทุนเพิ่มเติมได้อีก (เช่น จาก Seed > Series A) ก็อาจปรับขึ้นเงินเดือนได้ตามความเหมาะสม
  6. เมื่อบริษัทเติบโตได้ระยะหนึ่ง ก็ควรมีคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทน (เป็นคณะกรรมการย่อยของบอร์ด) ที่จะมากำหนดหลักเกณฑ์แบบ formal ให้บริษัท

สำหรับระยะตั้งต้นบริษัท Sheehan แนะนำว่าเงินเดือนควรอยู่ที่ 60,000-150,000 ดอลลาร์ต่อปี (ส่วนใหญ่ควรเป็น 90,000-110,000 ดอลลาร์ถ้าประเมินให้แคบลง) ซึ่งเขาเองก็ระบุว่ามันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องหรอก ต้องเดาๆ กันไป

Business Insiderไปเก็บกระทู้ใน Quoraทีมีคนมาถามว่า ระดมทุนได้ 500,000 ดอลลาร์ แต่หุ้นส่วนบอกว่าถ้าจะลาออกมาทำเต็มตัว ต้องได้เงินอย่างน้อย 100,000 ดอลลาร์ต่อปี แบบนี้แพงไปรึเปล่า

คำตอบส่วนใหญ่มองว่าแพงไป (คิดเป็น 1/5 ของเงินที่ระดมทุนมาได้) และเป็นปัญหาเรื่อง mindset ของหุ้นส่วนที่ไม่เหมาะกับการทำ startup ด้วย เพราะโมเดลค่าตอบแทนของผู้ก่อตั้ง startup คือทำเงินจากหุ้นของบริษัทเมื่อประสบความสำเร็จในอนาคต (แน่นอนว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่ได้) ไม่ใช่การหากินจากเงินเดือนราคาแพง เรตเดียวกับการทำงานตำแหน่งเดียวกันในบริษัทใหญ่

นักลงทุนรายหนึ่งบอกว่า 50,000 ดอลลาร์ต่อปีก็ถือว่าเยอะพอสมควรแล้วถ้ากินอยู่ประหยัดๆ ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินไป บางครอบครัวมีหลายปากแต่มีรายได้แค่ 50,000 ดอลลาร์ยังอยู่ได้เลย ความเห็นของนักลงทุนคนอื่นๆ ก็คล้ายๆ กัน เช่น อยู่ระหว่าง 50,000-75,000 หรือทำยังไงก็ได้ให้ต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์จนกว่าจะมีกำไร

เว็บไซต์ Compassไปทำการสำรวจเรื่องนี้โดยขอให้ startup ทั่วโลก 11,000 รายให้ข้อมูลเงินเดือนผู้ก่อตั้ง และมุมมองว่าบริษัทประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ผลที่ได้ออกมาเป็นกราฟ (startup ส่วนใหญ่ตั้งเงินเดือนต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์ต่อปี)

โดยสรุปก็คือ ตัวเลขเป็นดอลลาร์อาจอ้างอิงยากสำหรับกรณีของเมืองไทยที่อัตราค่าแรงหรือค่าครองชีพต่างจากฝรั่งมาก แต่ไอเดียน่าจะใช้ได้นะครับ คือตั้งเงินเดือนผู้ก่อตั้งในระดับที่ "พออยู่ได้"ไม่เหนียมจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ ถือว่าเงินเดือนเป็น "กรอบ"อันหนึ่งของทั้งตัวเอง (บีบให้ต้องทำให้สำเร็จ) และบริษัท (กรอบเรื่อง HR) ดีกว่า ถ้าอยากรวยก็รอมีกำไรเอาปันผลอะไรแบบนั้นแทนดีกว่า

Keyword: 

Tsunahachi Tempura Shinjuku

$
0
0

พาไปกินเทมปุระร้านดังที่ย่านชินจูกุครับ ร้านชื่อ Tsunahachi (สึนะฮะจิ) อยู่กลางเมืองไปกันได้ง่ายๆ เลย

Tsunahachi Tempura Shinjuku

ร้านนี้เปิดตั้งแต่ปี 1923 มีชื่อเสียงมานาน เว็บไซต์ร้าน ภาษาญี่ปุ่น, เว็บไซต์ร้าน ภาษาอังกฤษเห็นว่าคนไทยก็มากินที่นี่กันเยอะครับ

วิธีเดินทางก็ไม่ยากครับ สถานี Shinjuku ใหญ่โตโอฬาร ออกประตูฝั่ง East ฝั่งที่มีห้าง Gap (หรือถ้ามารถใต้ดิน ออกสถานี Shinjuku Sanchome ก็ได้ใกล้กว่า)

WP_20131026_17_35_02_Pro

ร้านก็ตามแผนที่ เดินเข้าถนนย่อยไปนิดนึง

tempura

ป้ายร้าน

WP_20131026_17_40_56_Pro

เมนูแปะหน้าร้าน ที่นี่เขาจะเสิร์ฟเป็น course menu ด้วย เราไปนั่งเคาเตอร์แล้วดูเชฟทอดทีละชิ้นๆ

WP_20131026_17_41_14_Pro

ร้านนี้คนจะเยอะ ควรไปเร็วหน่อยครับ (ผมไปตั้งกะ 5 โมงเย็นกว่าๆ ยังต้องรอคิวนิดนึงเลย แบบว่ายืนรอหน้าร้านนึกว่าเข้าไปจะได้ทานเลย ปรากฏว่าต้องนั่งรอในร้านต่ออีกหน่อยด้วย) คนกินส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นแต่ก็มีต่างชาติด้วยครับ

เมนู อย่างที่บอกคือมีแบบคอร์สด้วย กินแบบคอร์สเบสิคครับ Tempura Zen 1,995 เยนต่อหัว มีน้ำชาให้ในชุด

WP_20131026_17_55_16_Pro

คนทอดเป็นเชฟคุณลุงหน้าตาดูทอดกันมาคนละหลายสิบปี มายืนทอดทีละชิ้นให้เราดูหน้าเคาเตอร์เลย (ผมเกรงใจเลยถ่ายมาแต่รูปอาหารนะ ไม่มีรูปภายในร้าน) เค้าทำงานเป็นระบบมาก เชฟทุกคนใส่สูทผูกไท แล้วคลุมด้วยชุดกันเปื้อนอีกที มีปากกาคอยจดลำดับการเสิร์ฟของลูกค้าแต่ละคนด้วย

การเสิร์ฟจะมาทีละชุดครับ เริ่มจากกุ้งทอด กรอบไม่อมน้ำมัน ค่อยๆ ละเลียดไปทีละตัว

WP_20131026_18_05_54_Pro

ตามด้วยผักทอด (เป็นเห็ด)

WP_20131026_18_11_07_Pro

และปลาทอด (ปลาไหลทะเล sea eel)

WP_20131026_18_20_20_Pro

กุ้งเล็กเป็นแพ ชุบแป้งทอด (kakiage)

WP_20131026_18_30_23_Pro

ในชุดยังมีข้าว ซุป ผักดอง น้ำชา ครบสูตร

WP_20131026_18_14_09_Pro

เพื่อให้ได้บรรยากาศ ผมสั่งสาเกมาเพิ่มด้วย

WP_20131026_17_58_59_Pro

อิ่มอร่อยสมราคาคุยครับ ตอนกินเสร็จออกมาจากร้าน คนรอกันเพียบเลย (แอบได้ยินเสียงชาวไทยกลุ่มใหญ่หน้าร้าน) ใครอยากกินต้องมากันไวๆ ครับ

WP_20131026_18_44_49_Pro

หน้าที่ 14 อย่างของ Startup CEO

$
0
0

หัวข้อเดียวกับ The Tasks of CEOแต่เอามาจากเว็บ OnStartups: 14 Ways To Be A Great Startup CEOบางอย่างก็คล้ายๆ กันแต่ละเอียดกว่า

14 Ways To Be A Great Startup CEO

  1. CEO ต้องเป็น "ผู้รักษา"วิสัยทัศน์ขององค์กรในระยะยาว (ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นสิบปีกว่าจะทำได้สำเร็จ) ดูว่าโครงการระยะสั้นนั้นสอดรับกับเป้าหมายในระยะยาวหรือไม่
  2. CEO ต้องเป็นผู้แบกรับความเจ็บปวด ความกดดัน ความเครียด ของทั้งทีมไว้แบกรับเรื่องยากๆ ไว้เพื่อให้ทีมสามารถโฟกัสเรื่องงานได้อย่างเต็มที่ และต้องพยายามทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร (แต่ก็ไม่โกหกหรือซ่อนปัญหา)
  3. เฟ้นหามือดีและคนที่เก่งที่สุดในสายงานนั้นๆ มาร่วมทีม CEO ต้องสามารถขายฝันให้คนเก่งๆ เหล่านี้ทิ้งอาชีพที่มั่นคงและเงินเดือนที่ดีกว่าในบริษัทใหญ่ มาร่วมงานกับเรา
  4. ทำหน้าที่ประสานสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับนักลงทุนคอยรายงานความคืบหน้าให้นักลงทุนทราบเป็นระยะ และถ้ามีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือจากนักลงทุนก็ต้องแจ้งให้ทราบ
  5. ทำหน้าที่ประสานสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับผลิตภัณฑ์ซีอีโอควรเป็นคนคุมผลิตภัณฑ์ของบริษัทว่าสอดรับกับวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของบริษัท (ที่ซีอีโอเองก็เป็นคนคิดนั่นแหละ) รึเปล่า Facebook ใช้ยุทธศาสตร์นี้โดยมอบให้ Zuckerberg ไปคุมงานด้านผลิตภัณฑ์เป็นหลัก แล้วหา COO และทีมบริหารมือดีมาช่วยดูแลธุรกิจทั่วไปของบริษัท
  6. ต้องสามารถเรียนรู้หน้างาน (Learn On The Job) CEO ส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำบริษัทมาก่อน ไม่มีประสบการณ์ ก็ต้องอาศัยมวยวัดเรียนรู้หน้างานให้ได้ เทคนิคที่ใช้กันคือหาที่ปรึกษาเจ๋ง ๆ ไว้รับฟังมุมมองก่อนตัดสินใจ (sounding board)
  7. ไม่ควรมีประสบการณ์ด้านการทำบริษัทผู้เขียนมองว่าหลักสูตรการศึกษาต่างๆ สอนคนให้เป็น CEO หรือผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ แต่มักไม่ค่อยเวิร์คสำหรับการทำ startup เพราะวิธีคิดไม่ตรงกัน ดังนั้นมาแบบหัวว่างๆ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
  8. มีความสามารถในการปฏิเสธทุกคนรายล้อมเราจะขอให้เราทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีวันทำได้ครบ ดังนั้นต้องรู้จักปฏิเสธว่าจะไม่ทำอะไร เพื่อรักษาทิศทางในภาพรวมของบริษัทไว้ไม่ให้เป๋ไปทางอื่น
  9. มีทักษะด้านไอทีติดตัว CEO บริษัทไอทีต้องรู้เรื่องเทคนิค เขียนโค้ดได้บ้าง เพื่อให้เข้าใจสภาพแวดล้อมการทำงานของลูกน้องว่าจริงๆ แล้วในแง่เทคนิคอะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ อะไรยากอะไรง่าย
  10. ย่อยงานเป็นวิสัยทัศน์ตามข้อ 1) อาจเข้าใจยาก ดังนั้น CEO ต้องสามารถย่อยงานเป็นส่วนๆ แยกเป็น milestone เพื่อให้ลูกน้องเข้าใจว่าเราจะทำอะไร เรากำลังทำอะไรอยู่ ความยากอยู่ที่การแบ่งงานและจัดลำดับความสำคัญอย่างมียุทธศาสตร์ เช่น ทำ A ก่อนเพื่อทำ B ด้วยเหตุผลอะไร
  11. มีทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าการทำ startup จะเต็มไปด้วยปัญหายิบย่อยมากมาย เช่น เซิร์ฟเวอร์พัง ลูกน้องลาออก ฯลฯ CEO ต้องสามารถรับมือกับปัญหาฉุกเฉินได้แบบเฉพาะหน้า
  12. สร้างกำลังใจให้กับทีมในยามลำบากคนนอกองค์กรมักชอบพูดถึงเราในช่วงเวลาเลวร้าย หรือกระพือข่าวลือ (ความทุกข์ของคนอื่นคืองานของเรา!) CEO ต้องสามารถจัดการกับปัญหาลักษณะนี้ เพื่อให้ทีมก้าวข้ามช่วงเวลาที่โดนคนนอกถล่ม และเดินหน้าต่อไปได้ รูปแบบอาจใช้วิธีส่งเมลถึงทุกคน หรือจัดมีตติ้งเล็กๆ เพื่อตอบคำถามเรื่องนี้กับคนในองค์กร
  13. มีทักษะในการสื่อสาร CEO ต้องบอกเล่าวิสัยทัศน์ ความฝัน ความหวังให้กับทุกคน (ทั้งในและนอกองค์กร) อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นต้องมีทักษะการเล่าเรื่องให้คนทั่วไปเข้าใจและเห็นภาพตามได้ง่าย ถกเถียงและหาเหตุผลสนับสนุนจุดยืนของตัวเองได้
  14. เน้นผลงาน ไม่ใช่ชื่อเสียงหน้าที่หลักของ CEO คือทำให้งานเกิด ไม่ใช่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ดังนั้นถ้าต้องเลือกระหว่างการให้สัมภาษณ์สื่อ/การไปฟังสัมมนา กับ การเจรจาทางธุรกิจ ก็ต้องเลือกอย่างหลังก่อน

Keyword: 

Disable Backspace in Browsers

$
0
0

ฟีเจอร์ที่น่ารำคาญที่สุดอย่างหนึ่งของเว็บเบราว์เซอร์ (โดยเฉพาะคนที่ต้องพิมพ์ใน textbox เยอะๆ แบบผม) คือการกดปุ่ม Backspace เพื่อย้อนกลับไปหน้าเดิม

สถานการณ์ที่มักพบบ่อยคือกำลังพิมพ์ๆ ใน textbox อยู่ แล้วเกิดอะไรบางอย่างทำให้ textbox นั้นหลุดโฟกัสไป จากนั้นเรากด Backspace เพื่อลบข้อความที่ต้องการ ผลกลับกลายเป็นการ Back กลับไปยังเพจก่อนหน้า (ยังดีเบราว์เซอร์สมัยนี้ยังสามารถจำสิ่งที่เคยพิมพ์ไปได้บ้าง)

ปัญหานี้คนเป็นกันเยอะ แต่ผู้สร้างเบราว์เซอร์ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนพฤติกรรมอันนี้ (ที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่สมัยเบราว์เซอร์ยุคแรกๆ) ทางออกจึงต้องหาวิธีกันเองครับ

โชคดีที่เว็บไซต์ Laptop Magมีบทความเรื่องนี้พอดีเป๊ะ ลอกมาเลย

  • Firefoxเข้า about:config แล้วหาคำว่า backspace เปลี่ยนค่าจากของเดิม 0 เป็น 2 (ให้ปุ่ม Backspace = Stop ซึ่งไม่มีอันตรายใดๆ)
  • Chromeลงส่วนเสริมชื่อ BackStopทีเดียวอยู่ ไม่ต้องคอนฟิกอะไรเพิ่มเติม

Escape Bangkok

$
0
0

บล็อกพยายามมองโลกในแง่ดีครับ

IMG_3405

ปัญหาเรื่องประเทศไทยรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพ เป็นสิ่งที่พูดกันมาเยอะแล้ว (หัวโตตัวลีบ - ดูแผนภาพประกอบจาก whereisthailand.info) ส่วนแนวทางเรื่องการกระจายอำนาจ แม้จะพูดกันมาเยอะแต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นจริงด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง (ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์)

อธิบายง่ายๆ คือ "พลังทางนโยบาย"ในการกระจายอำนาจ ยังไม่สามารถต่อกรกับ "พลังถ่วง"ซึ่งเกิดจากโมเมนตัมหรือความเฉื่อยสะสมของการรวมศูนย์ได้ (ผมมองในแง่ collective ทางประวัติศาสตร์เลยนะครับ ไม่ใช่ความพยายามของมือมืดสักคนตามแนว conspiracy ที่ชอบๆ กัน)

แต่ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในรอบหลายปีมานี้ก็คือ กรุงเทพกำลังถูกโจมตี (Attack of Bangkok!) อย่างต่อเนื่องเกือบทุกปี มาตั้งแต่ปี 49

  • 2549 รัฐประหาร - ผลกระทบในทางการเมืองแรง แต่ในทางความเป็นอยู่ไม่แรง
  • 2551 การประท้วงของพันธมิตร (กรณีน้องโบว์) - ผลกระทบในทางการเมืองแรง ล้มรัฐบาลสมัครได้ แต่ในทางความเป็นอยู่ไม่แรง
  • 2552 การประท้วงของคนเสื้อแดงที่ดินแดง - ผลกระทบทางการเมืองไม่แรง แต่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของคนแถบดินแดง (พื้นที่ค่อนข้างจำกัด)
  • 2553 การประท้วงของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ - ผลกระทบทางการเมืองแรง ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของกรุงเทพชั้นในมาก (คนอยู่กลางเมืองต้องอพยพออก)
  • 2554 น้ำท่วมใหญ่ - การเมืองแทบไม่กระทบ แต่ความเป็นอยู่ของกรุงเทพกระทบรุนแรงมาก
  • 2556/2557 การประท้วงของ กปปส. - ผลกระทบทางการเมืองยังฟันธงได้ยากเพราะยังไม่จบ แต่การตั้งเวทีปิด 7 จุดกรุงเทพ หรือเวทีที่ศูนย์ราชการ กระทบกับสภาพความเป็นอยู่ของคนมาก (น้อยกว่าปี 54 แต่วัดในแง่พื้นที่แล้วเยอะกว่าปี 53 แน่นอน)

ส่วนตัวผมเองที่ถือว่าอาศัยอยู่ในกรุงเทพ "เกือบชั้นใน"ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปี 53/54 จนต้องย้ายออก และมีความลำบาก "อยู่บ้าง"จากเหตุการณ์ปี 56/57 (ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวแทนของสภาพการณ์ที่คนกลุ่มหนึ่งต้องเจอแบบเดียวกันได้ในระดับหนึ่ง)

ถ้าตัดเรื่องการเมืองออกไป แล้วดูในแง่การพัฒนาเมืองเพียงอย่างเดียว เราสามารถมองว่ามันเป็น shock therapy ของสภาวะ "หัวโตตัวลีบ"ได้หรือไม่?

เท่าที่มีข่าวออกมาคือภาคธุรกิจขนาดใหญ่เริ่มมองหา "ทางเลือก"ของการออกจากกรุงเทพ (และ/หรือ) ประเทศไทยบ้างแล้ว (ขึ้นกับขนาดและสภาพขององค์กร) เท่าที่นึกออกคงแยกได้เป็น

  • องค์กรต่างชาติขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนในไทย (เช่น โตโยต้า) อาจมองเรื่องการลดการลงทุนในไทย (ในภาพรวม) ไปเลย
  • องค์กรธุรกิจขนาดเล็ก (SME) การมีตัวตนอยู่ในกรุงเทพชั้นใน อาจสร้างต้นทุนความเสี่ยงทางธุรกิจ (ในแง่ความปลอดภัย การเดินทาง สภาพจิตใจพนักงาน ความไม่ต่อเนื่องของธุรกิจ ประกันภัย ฯลฯ) จนเริ่มไม่คุ้มค่าที่จะมีตัวตนอยู่ในกรุงเทพแล้ว

สำหรับกรณีหลัง ถ้าเป็นธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ถ้าบวกกับปัจจัยด้านการทำงานระยะไกลที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ก็เกิดคำถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หน่วยงานเหล่านี้จะย้ายฐานออกจากกรุงเทพ (อาจย้ายบางส่วน เช่น หน่วยพัฒนาซอฟต์แวร์ โรงงานผลิต call center ฯลฯ) โดยอาจยังรักษาหน้าร้านหรือสำนักงานเฉพาะส่วนของการติดต่อทางเอกสาร-ลูกค้าไว้เท่านั้น

คำถามต่อมาคือ ย้ายออกจากกรุงเทพแล้วไปไหน? คำตอบคงชัดเจนว่าเป็นหัวเมืองใหญ่ทั่วเมืองไทย ที่สามารถตอบโจทย์ในเชิง facility พื้นฐาน และ human resource (เพื่อตอบโจทย์ด้านแรงงานที่จะมาป้อนให้ธุรกิจได้) ซึ่งก็น่าจะต้องพึ่งพิงมหาวิทยาลัยเป็นหลัก (และในความเป็นจริงแล้ว หัวเมืองใหญ่ทั่วเมืองไทยก็น่าจะมีมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว)

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกเหมือนกัน เราเห็นหน่วยงานธุรกิจแบบ blue collar (ที่ไม่ต้องพึ่งพิงโรงงานขนาดใหญ่ที่อยู่นอกกรุงเทพแต่แรกอยู่แล้ว) จำนวนมากย้ายออกหรือเลือกจะตั้งฐานในหัวเมืองใหญ่ (เชียงใหม่เป็นกรณีศึกษาที่โดดเด่น) กันมาพอสมควรแล้ว แต่กรณีเหล่านั้นน่าจะมาจากการขยับตัวของผู้ประกอบการภาคเอกชนเป็นหลัก

ถ้าเราสามารถฉวยวิกฤตกรุงเทพชุดนี้ให้เป็น "โอกาสสำหรับหัวเมือง"โดยวางแผนการย้ายออกอย่างเป็นระบบ จะต้องทำอย่างไร? ต้องเตรียมอะไรกันบ้าง

รถไฟความเร็วสูงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยยกระดับด้านการคมนาคม, สนามบินและสายการบินโลว์คอสต์ก็คงใช่, อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, จำนวนบ้านและที่อยู่อาศัย (housing) ที่เหลืออาจต้องมีการรวม cluster สำหรับธุรกิจรูปแบบเดียวกันเพื่อสร้าง ecosystem ให้เกิดขึ้นให้ได้

คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ (และผมเองก็ยังไม่ตกผลึกมากนัก) แต่ผมคิดว่าเป็นคำถามสำคัญที่ "ควรถาม"ในฐานะนโยบายด้านการพัฒนาเมืองและการกระจายอำนาจต่อไป

หมายเหตุ:ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง "เมือง"แต่ประเด็นด้านการปิดกรุงเทพกับผลกระทบต่อ "เมือง"แนะนำให้อ่านบทความ ทำไมกรุงเทพฯไม่แพ้สุเทพฯของ อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ที่จบด้านการพัฒนาเมืองมาโดยตรง (เผอิญรู้จักกันเป็นส่วนตัว) โดยบทความนี้ได้อ้างทฤษฎีด้านการพัฒนาเมืองหลายประการ และเสนอว่า การปิดกรุงเทพฯไม่ได้ทำให้ "เมืองล้มเหลว" (failed city)

Keyword: 

Kurogo เนื้อย่างเกรด 5A ที่ Ikebukuro

$
0
0

บล็อกเก็บตกร้านอาหารในโตเกียวที่เจ้าถิ่นพาไปชิมครับ รอบนี้เป็น "เนื้อย่างพรีเมียม"เกรด 5A (เกรดสูงสุดแล้ว) ชื่อร้านว่า Kurogo (Kuro+Go = ดำห้า) อยู่ย่านสถานีอิเคะบุคุโระ Ikebukuro ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโตเกียว (เว็บไซต์ร้าน, Tabelog, Google Maps)

Kurogo

ถ้าจำข้อมูลไม่ผิด ร้านนี้มีหลายสาขาครับ ส่วนสาขานี้ตัวร้านจะอยู่ชั้นสอง ต้องเดินขึ้นไปนิดนึง

ร้านนี้ดังและคนเยอะมาก เพื่อนที่พาไปเลยต้องจองล่วงหน้าและไปเร็วสักหน่อย ไปถึงร้านเพิ่งเปิดรอบเย็น ยังไม่มีคนเลย (เห็นว่างแบบนี้ แป๊บๆ คนเต็มร้าน)

P1010418

P1010416

P1010419

จุดเด่นของร้านก็คือเนื้อนั่นแหละครับ อร่อยจริงเรื่องปิ้งย่าง

P1010421

มีสารคดีความรู้เกี่ยวกับเนื้อด้วย อ่านไม่ออกสักตัว ให้เจ้าภาพสั่งให้หมดเลย

P1010415

น้ำจิ้มและเครื่องเคียงครับ ลืมหมดแล้วว่าอันไหนรสชาติเป็นไงนะ ขออภัย

P1010420

ข้าวกับสลัดครับ ข้าวถ้วยจัมโบ้มาก สั่งถ้วยเดียวมากินแบ่งกันได้ 4 คน ส่วนสลัดนี่โคตรแห่งความอร่อยเลยครับ เอาผักกรอบๆ มาราดน้ำมันงา เค็มนิดๆ เอาไว้กินดับคาวดับเลี่ยนของเนื้อได้ยอดเยี่ยมมาก สรุปว่าต้องขอสลัดเพิ่มกันในภายหลัง

P1010428

เนื้อครับเนื้อ กระเบื้องลายหินอ่อน (เนื่องจากไม่ได้สั่งเองเลยไม่สามารถบรรยายได้ว่าอะไรคืออะไร)

WP_20131019_17_41_17_Pro

จุดเด่นของร้านนี้คือ เค้าไม่ให้เราปิ้งกันเอง! อารมณ์ประมาณว่าเนื้อเทพนะเว้ย พวกเอ็งปิ้งกันไม่เป็นเสียของหมด ข้าปิ้งให้แทนจะได้จบๆ

P1010445

เลยได้แต่นั่งเฉยๆ ดูพนักงานสาวคนนี้ปิ้งเนื้อให้กินครับ เพื่อนผมพูดญี่ปุ่นได้คล่องๆ ก็คุยกับเจ๊แกไปเรื่อย ไอ้เอาก็นั่งดูอย่างเดียว

P1010422

P1010423

P1010424

P1010429

เสร็จแล้วครับ เนื้อบางชุดต้องเอามาวางบนเนยให้ความร้อนจากเนื้อไปละลายเนยด้วย ลึกซึ้ง

P1010431

ชุดที่สองเป็นเนื้อสไดล์ แผ่นบางครับ

P1010435

P1010437

ชุดนี้เป็นเนื้อกับต้นหอมซอยครับ

P1010432

ปิ้งกันทั้งต้นหอมแบบนี้ล่ะ

P1010434

ปิ้งเสร็จจะต้องม้วนกับต้นหอมด้วย

P1010440

ชุดสุดท้ายนี่ของแปลก เป็นเนื้อหั่นลูกเต๋า

P1010442

เค้าจะต้องไปคลุกกับซอสในถ้วยที่เห็น แล้วค่อยๆ ย่างไปทีละด้าน คลุกซอสใหม่เรื่อยๆ ให้ซอสมันซึมเข้าเนื้อตลอดเวลา (เห็นแล้วสงสารคนปิ้งเหมือนกันนะ)

P1010448

หน้าตาเวอร์ชันไฟนอลมันจะดำๆ แบบนี้ครับ

P1010450

สรุปคือ เนื้ออร่อยมากสมราคาคุย สลัดอร่อยขั้นเทพชนิดไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ แต่ปัญหาคือถ้าไม่รู้ภาษานี่ไม่มีทางไปเองได้ครับ ถ้าใครมีลู่ทาง (เช่น พูดได้อ่านได้อยู่แล้ว หรือ มีคนสามารถนำพาท่านไปได้) ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

WP_20131019_17_13_07_Pro

Startup CEO กับการจ้างงาน

$
0
0

กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ครับ Startup CEO: A Field Guide to Scaling Up Your Businessของ Matt Blumberg ซื้อจาก Kindle มาตั้งแต่ปีใหม่ แต่อ่านๆ หยุดๆ (บางบทมันน่าเบื่อด้วยแหละ) พอมาเจอบทที่ตรงกับความสนใจก็มาจารึกไว้บนบล็อกสักหน่อยครับ

Startup CEO: A Field Guide to Scaling Up Your Business

หนังสือเล่มนี้เขียนจากประสบการณ์ตรงของ Matt Blumberg ในฐานะผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท Return Path ซึ่งเป็นบริษัท startup ด้านอีเมลที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1999 (และรอดพ้น dotcom bust มาได้) เขามาเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อบอกว่า "เป็นซีอีโอ startup ต้องเจออะไรบ้าง"เพราะ "ตอนตูเป็นไม่มีหนังสือแบบนี้ ชีวิตเลยยากลำบาก"

รีวิวแบบสั้นๆ เวอร์ชันยังอ่านไม่จบ: เนื้อหาในเล่มดีมาก แต่ใช้วิธีเล่าแบบกึ่งๆ ตำราเรียน (คือมันไม่ใช่ storytelling แต่เป็น howto แบบเรียงบทเลยว่า บทนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร) บางช่วงบางตอนมันก็จะฝืดๆ น่าเบื่ออยู่บ้าง โดยเฉพาะช่วงแรกที่เริ่มต้นกันตั้งแต่ยังไม่ตั้งบริษัท

บทที่อยากเขียนถึงในวันนี้คือบทที่ 10 เรื่องการจ้างงาน (The Hiring Challenge) ครับ ปัญหาเรื่อง "คน"เป็นเรื่องใหญ่ขององค์กร และคนที่เริ่มเปิด startup เป็นครั้งแรก (ผมก็ด้วย) มักไม่เคยมีประสบการณ์เรื่อง HR มาก่อน ดังนั้นแทบทุกบริษัทก็มักจะ "เจ็บปวด"กับเรื่องคนกันหมด

เอกลักษณ์ของการจ้างงาน startup

สิ่งที่รูปแบบการจ้างงานของ startup ต่างจากบริษัทใหญ่ทั่วไปคือ

  • หน้าที่และตำแหน่งงานมักเปลี่ยนไปตามพัฒนาการของบริษัท ดังนั้นต้องกำหนดขอบเขตและนิยามของตำแหน่งงานนั้นๆ ให้ดี พิจารณาว่ามันเป็นงาน generalist หรือ specialist
  • บริษัทขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีตัง มักจะพยายามเลี่ยงการหาคนมาเพิ่มในทีม จนกระทั่งจวนตัวแล้วจริงๆ ค่อยทำ ทำให้กระบวนการคัดคนเข้าทำงานเร่งรีบและไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร
  • การคัดเลือกคนเป็นแค่ครึ่งทางของกระบวนการจ้างงานทั้งหมด วันแรกที่พนักงานใหม่เข้าทำงานถือเป็นจุดครึ่งทาง ที่เหลืออีกครึ่งทางคือกระบวนการช่วยปรับตัวให้เข้ากับบริษัท (orientation) จนกระทั่งเสร็จสิ้นใน 90 วันหลังเข้าทำงาน (ภาษาบ้านเราก็เรียก "พ้นโปร")

การจ้างเพื่อนหรือญาติเข้าทำงาน

  • ถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยง เพราะถ้าเข้ามาแล้วมีปัญหา การไล่เพื่อนหรือญาติออกจะกลายเป็นเรื่องยากกว่าไล่พนักงานทั่วไปออกหลายเท่า
  • ถ้าจำเป็นจริงๆ ต้องทำกระบวนการให้โปร่งใสที่สุดกับพนักงานคนอื่นๆ โดยต้องประกาศตัวให้ชัดว่าเราจะปฏิบัติกับเพื่อนหรือญาติ เฉกเช่นเดียวกับพนักงานคนอื่นๆ

บทบาทของซีอีโอกับการจ้างงาน

แนวทางของ Return Path คือ CEO จะเข้าร่วมการสัมภาษณ์งานทั้งหมด (ทุกตำแหน่ง) โดยบทบาทที่ CEO ควรทำในกระบวนการจ้างงานมี 3 มิติ

  1. CEO ต้องเป็นโฆษกหรือภาพลักษณ์ขององค์กรต่อคนนอก ผ่านบล็อกหรือ social media เพื่อดึงดูดให้ยอดฝีมือ (talent) สนใจบริษัทของเรา และสามารถทำความเข้าใจว่าบริษัทของเราคืออะไร ทำอะไร
  2. ลงมาสัมภาษณ์ผู้สมัครด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าทีเป็นไปได้ โดย CEO ของ Return Path สัมภาษณ์ทุกคนทุกตำแหน่งด้วยตัวเอง (เป็นคนสัมภาษณ์คนสุดท้าย) จนกระทั่งบริษัทมีพนักงานขนาด 300 คน ทำเองหมดไม่ไหวแล้ว
  3. ตรวจสอบ reference ของผู้สมัคร โดยใช้เครือข่าย CEO ที่มีกับ CEO ของบริษัทอื่นๆ ในวงการ เช็คว่าผู้สมัครคนนี้ดีแย่แค่ไหนอย่างไร

บทบาทของ CEO ในการหา "ว่าที่พนักงาน"

Matt ใช้คำว่า Staying In-Market หรือการทำตัวไปอยู่ในตลาดแรงงานตลอดเวลา ถ้ามีคนรู้จักแนะนำ "คนที่น่าสนใจ"เขาจะไม่ลังเลที่จะเข้าไป "คุยไว้ก่อน"แม้ว่าจะไม่ต้องการคนเข้ามาทำงานในด้านนั้นๆ ในตอนนั้น (ถ้าไม่ว่างก็จะส่งลูกน้องไปคุยแทน) เพื่อว่าถ้าในอนาคต มีความจำเป็นจะต้องจ้างงานตำแหน่งนั้น เขาจะได้มีตัวเลือกที่สามารถคุยต่อได้ทันที

หาคนเข้าทำงานอย่างไรดี

5 วิธีการในการหาคนเก่งเข้ามาทำงานกับเรา

  1. เริ่มจากคุณค่าขององค์กรถ้าองค์กรเรามี "คุณค่า" (value) ที่ตรงกับผู้สมัครคนนั้น มันจะกลายเป็นเรื่องง่ายมาก และผู้สมัครมักจะเดินเข้ามาหาเราเอง เราได้คน ผู้สมัครได้ทำงานกับองค์กรที่ยึดถือคุณค่าแบบเดียวกัน
  2. ที่ทำงานเก่าของทั้งตัว CEO เองและคนในทีม มีข้อดีเพราะเป็นคนที่เรารู้จักอยู่แล้วว่าดีแย่แค่ไหน ไม่ต้องเสี่ยงกับคนที่ไม่รู้จักว่าเป็นอย่างไรบ้าง
  3. พนักงานของเราเองถ้าองค์กรของเราดี มีวัฒนธรรมในการทำงานดี งานออกมาประสบความสำเร็จ พนักงานของเราจะพยายามดึงคนเก่งๆ ที่รู้จักเข้ามาทำงานด้วยกัน โดยสถิติของ Return Path บอกว่าประมาณ 40-50% ของพนักงานมาจากการดึงกันเข้ามาเอง วิธีนี้ช่วยลดต้นทุนการ recruit และยกระดับมาตรฐานของพนักงานให้สูงขึ้นด้วย (Return Path มีการจ่ายโบนัสให้พนักงานที่ดึงเพื่อนเข้ามาด้วย)
  4. ชื่อเสียงขององค์กรถ้าชื่อเสียงขององค์กรเราดี คนเก่งๆ จะเข้ามาสมัครเองโดยไม่ต้องทำอะไร (กูเกิลโมเดล)
  5. ทักษะการชวนเชื่อของซีอีโอการชวนคนมาทำงานเป็นทักษะเดียวกับงานขาย ขายฝัน ดังนั้นถ้าซีอีโอมีทักษะในการชักจูงคนให้มา "ใช้ชีวิตร่วมกัน"ก็จะสามารถดึงคนเก่งๆ เข้ามาได้ง่ายขึ้น (สตีฟจ็อบส์โมเดล)

การคัดกรองผู้สมัคร (Filtering Potential Candidates)

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้สมัครคนนี้ เก่งจริงหรือไม่ คำตอบมี 2 ทาง

  • เช็คจาก reference ของผู้สมัคร (จากทั้งที่ผู้สมัครระบุไว้ในใบสมัคร และหาข้อมูลเอง)
  • ถามผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ

คำถามสำคัญในการสัมภาษณ์งาน ควรถาม 3 ประเด็นสำคัญ

  1. "คุณคิดว่าวงการที่เราอยู่นี้เป็นอย่างไร" (what do you think of our business) วัดว่าผู้สมัครทำการบ้านมาดีแค่ไหน มีมุมมองอย่างไรกับธุรกิจนี้ และมีกระบวนการคิดอย่างไร
  2. "คุณคิดว่าบริษัทของเราเป็นอย่างไร" (what do you think of our company) วัดว่าผู้สมัครใส่ใจกับบริษัทเรามากแค่ไหน ที่ผ่านมาคุยกับใครในบริษัทมาระหว่างกระบวนการสัมภาษณ์บ้าง คิดว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นอย่างไร
  3. "กระบวนการพัฒนาตัวเองของคุณตอนอยู่ที่ทำงานเก่าเป็นอย่างไร"คำถามนี้ดีกว่าคำถามเบสิคว่า "อะไรคือจุดอ่อนที่สุดของคุณ"เพราะเจาะจงกว่า และกระตุ้นให้ผู้สมัครต้องคิดก่อนตอบเยอะกว่า

CEO ควรสัมภาษณ์ใครบ้าง

Matt บอกว่าเขาสัมภาษณ์ทุกคนแม้กระทั่งเด็กฝึกงาน โดยเบื้องต้นให้ใช้การสัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์หรือ Skype ประมาณ 15-30 นาที แล้วค่อยไปเจอคนที่คิดว่าจะรับเข้าทำงานจริงๆ แบบตัวต่อตัว (เพื่อตรวจสอบกระบวนการคัดเลือกของลูกน้องของเขาด้ววย)

Matt บอกว่าการสัมภาษณ์งานด้วยตัวเอง เป็นโอกาสอันดีในการ

  • เก็บข้อมูลว่าคนนอกมองเราอย่างไร
  • สร้างความประทับใจแก่ผู้สมัคร (ผู้สมัครเจ๋งๆ มักประทับใจที่ซีอีโอมาสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง ให้ความสนใจกับเขา)
  • เป็นโอกาสในการทำความรู้จักพนักงานใหม่ๆ ให้ทั่วองค์กร

Onboarding - 90 วันแรกของการทำงาน

ถึงแม้ว่าจะได้คนที่เหมาะสมเข้ามาทำงาน แต่ถ้าช่วงแรกๆ ไม่จัดการให้ดี ผลอาจออกมาแย่ได้ ให้ลองนึกถึงวันที่เราไปทำงานวันแรกว่าเรามีปัญหาอะไร (ไม่มีคนสนใจ ไม่มีโต๊ะนั่ง ไม่มีคอมใช้ ไม่มีคนกินข้าวด้วย ฯลฯ) และหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้

Return Path มีพนักงานระดับผู้จัดการที่ทำเรื่องการเตรียมคนเข้าทำงาน (onboarding) ในช่วง 90 วันแรกโดยเฉพาะ (เขาแนะนำว่าถ้าบริษัทยังมีคนน้อยกว่า 100 คนก็ยังไม่ต้องมีตำแหน่งนี้) โดยมีเทคนิคแนะนำดังนี้

  • ก่อนพนักงานมาทำงานวันแรก จะขอให้พนักงานคนนั้นส่งประวัติของตัวเอง 1 หน้า (พร้อมรูป) เอามาแปะให้พนักงานคนอื่นๆ รับทราบ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้พนักงานคนนี้มีส่วนร่วมกับองค์กรก่อนเริ่มงานด้วย
  • เตรียมอุปกรณ์ในการทำงานของพนักงานใหม่ให้พร้อม ทั้งโต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ป้ายชื่อ ทุกอย่างต้องพร้อมเพื่อสร้างความประทับใจกับพนักงานใหม่ (Return Path แถมแชมเปญหนึ่งขวด และโน้ตจากซีอีโอที่เขียนด้วยลายมือ ต้อนรับเข้าทำงานให้ด้วย)
  • เตรียมเอกสารแนะนำข้อมูลพื้นฐานของบริษัทสำหรับวันแรก โดยจะเป็นการแนะนำข้อมูลแบบตัวต่อตัว หรือจะแนะนำเป็นกลุ่มพร้อมกันก็ได้
  • กำหนดเป้าหมายระยะสั้น 90 วันแรกให้พนักงานว่าควรทำอะไร และปรับความเข้าใจว่าหน้าที่คืออะไร (jobs description) ควรพาไปรู้จักใครบ้าง และช่วง 90 วันแรกจะให้ทำอะไร
  • หลังผ่านไป 90 วันก็ต้องมารีวิวดูว่า ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เข้ากับงานที่นี่ได้ไหม มีปัญหาอะไรบ้าง

Namja Town สวนสนุกในร่มที่ Sunshine City, Ikebukuro

$
0
0

ยังอยู่กันที่ Ikebukuro ครับ (ตอนที่แล้ว) เนื่องจากว่ามีเพื่อนเป็นสาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่แถวนี้ เลยนัดเจอกันที่นี่ เธอมีลูกแล้วเลยตั้งใจว่าจะพาลูกไปเล่นที่ Namja Townสวนสนุกของค่าย Namco ที่อยู่ในห้าง Sunshine City ซึ่งก็เป็นห้างใหญ่ที่อยู่ข้างสถานี Ikebukuro นั่นเอง

Sunshine City

ห้าง Sunshine City เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ละแวกสถานี Ikebukuro ในโตเกียวครับ ห้างนี้จะไม่อยู่ติดสถานีซะทีเดียว ต้องเดินจากสถานีไปนิดหน่อยประมาณ 5 นาที (ถ้าไปจากสถานีจะต้องเดินลอดใต้ไฮเวย์ แล้วเข้าห้างจากทางลอดใต้ดินได้เลย) จากภาพข้างบนเป็นทางเข้า ห้างจากทางลอดใต้ดิน

Namja Town จะอยู่ชั้น 2 ของห้าง Sunshine ครับ หน้าตาทางเข้าก็ตามรูป (ตรงนั้นมันไม่มีอย่างอื่นเลย มีแต่ Namja เนี่ยแหละ)

Namja Town

ซื้อตั๋วเข้าจากข้างหน้าได้เลย ถ้าตั๋วแบบเบสิค เข้าได้อย่างเดียวราคา 500 เยน อยากเล่นอะไรในนั้นต้องจ่ายเพิ่มเอง นอกจากนี้ก็มีตั๋วเหมารวมค่าเครื่องเล่นด้วย 2,900 เยน

มาสค็อตของ Namja ก็เป็นรูปแมวแบบในภาพล่ะครับ

Namja Town

Namja Town เป็นสวนสนุกแบบ theme park ที่ตกแต่งเป็นโซนต่างๆ เน้นมาเดินขำๆ มากกว่าเล่นเครื่องเล่นจริงจัง (ของกินเยอะกว่าเครื่องเล่น)

เริ่มจากโซนญี่ปุ่นโบราณ ก็จะตกแต่งเป็นญี่ปุ่นยุคหลังสงครามโลก (แนวๆ หนังเรื่อง Always) ของเก่า บ้านเก่า

P1010457

ไม่ได้มีแต่ของโชว์อย่างเดียว มีโต๊ะนั่งสำหรับซื้อขนมพวกเค้กหรือไอศกรีมมากินได้ด้วย

P1010458

P1010464

P1010469

P1010470

เครื่องเล่นง่ายๆ แบบนี้ก็มีครับ กบอะไรสักอย่าง (ดูไม่ออกและฟังไม่ออก)

P1010459

โซนขายขนม อยู่ติดกัน ก็จะมีร้านขนมน่ารักๆ ให้สาวๆ ญี่ปุ่นมานั่งกินขนมกันคิกๆ คักๆ จำนวนหนึ่ง

P1010460

P1010462

P1010463

P1010454

โซนของกิน จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ราเม็งแลนด์ และเกี๊ยวซ่าแลนด์ครับ เนื่องจากว่ากินราเม็งกันมาเยอะแล้ว (แถมรอบนี้มีเด็กญี่ปุ่นมาด้วย) เราเลยสนใจเกี๊ยวซ่าแลนด์กันแทน

P1010471

P1010472

ที่เกี๊ยวซ่าแลนด์นี้ เค้าจะรวมร้านเกี๊ยวจากทั่วญี่ปุ่นมาไว้รวมกัน เราต้องเดินไปซื้อที่ร้าน (ตอนเที่ยงคิวยาวมากครับ) แล้วนำไปนั่งกินบริเวณที่จัดไว้ให้

P1010473

P1010499

เกี๊ยวซ่ามีทุกแบบ เกี๊ยวต้มก็มี เกี๊ยวผัก เกี๊ยวเผ็ด ส่วนใหญ่จะจานเล็กๆ มีเกี๊ยว 3-4 ชิ้น ช่วยให้เราได้กินหลายๆ ร้าน

P1010498

P1010500

P1010501

บางร้านก็มีข้าวผัดให้กินเสริมด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นเกี๊ยวซ่าทั้งหมด

P1010488

P1010489

กินกันหลายแบบมาก จำไม่ค่อยได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรครับ

P1010491

หน้าตาเหมือนขนมถังแตกบ้านเราก็มี

P1010490

เป็นก้อนกลมๆ ก็มี

P1010493

โซนแฟนตาซีครับ มีเกมให้เล่นเป็นเกมหาไข่ เค้าจะให้ไข่ยักษ์เรามาแล้วเอาไปเข้าตู้ที่กระจายตามที่ต่างๆ เพื่อหาไอเทม (เท่าที่ดูจากเด็กญี่ปุ่นเค้าเล่นกันนะ)

P1010480

P1010478

P1010477

ขายของที่ระลึก ก็เป็นรูปแมวตามสูตร (Namco Bandai ขายของเก่งอยู่แล้ว)

P1010475

หูแมว Necomimi ก็มีนะ

P1010476

สรุปว่า Namja Town ก็แปลกๆ ดีครับ เป็น theme park ในร่มขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีอะไรสนุกๆ ให้ทำอยู่พอสมควร (ส่วนใหญ่เน้นเด็ก) ถ้ามีโอกาสก็ลองแวะมากินเกี๊ยวซ่าแล้วเดินๆ ดูบ้างก็ไม่เสียหลาย

จากนั้นเราก็เดินเล่นในห้าง Sunshine City กันต่อครับ เนื่องจากว่ามากับเด็กอายุสามขวบกว่า ทำให้ได้มาดูห้องเปลี่ยนผ้าอ้อมของคุณแม่ญี่ปุ่นที่อยู่ในห้างด้วย อลังการมาก

P1010503

ขนมและนมล่อเด็กครับ เปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จก็ร้องจะกินนม คุณแม่เสียตังให้ตู้นี้เรียบร้อย

P1010504

ในห้างมี Toy 'R' Us ก็เลยดูของเล่นตามเด็กญี่ปุ่นครับ อันปังแมนที่นี่ยังมีขายกันอยู่เยอะเลย

P1010509

P1010508

ของเล่นรถไฟสารพัด

P1010511

P1010507

โอตาคุของแท้ต้องเล่นกันพลาสิ

P1010513

WP_20131020_12_46_59_Pro

Pokemon X&Y เพิ่งออก เค้าก็ขยันโปรโมทกันสุดๆ

WP_20131020_12_36_10_Pro

ไอเทมสุดเจ๋งประจำทริปนี้คือ คีย์บอร์ด Dragon Quest X (ภาคเกมออนไลน์) ที่ผลิตโดยบริษัท Hori ผู้ผลิตจอยเกมชื่อดัง เท่มากๆ มีสไลม์ตรงปุ่ม F ด้วย

WP_20131020_12_55_58_Pro

ร้านขายของที่ระลึกรวมหลายแบรนด์ครับ โดยสินค้าของ Ghibli จะมีขายที่ร้านนี้ (ของเยอะกว่า Ghibli Museum ซะอีกนะ)

P1010522

หน้าร้านเขาเปิดการ์ตูน Ghibli วนลูป เด็กญี่ปุ่นยืนดูกันเพียบ

P1010521

P1010520

ป้ายรถเมล์โทโทโร่อยู่ข้างร้าน

P1010514

สารพัดสินค้าและของที่ระลึก Ghibli

P1010515

P1010516

P1010517

P1010518

อันนี้เจ๋งมากครับ กระถางต้นไม้เป็นดักแด้ยักษ์จากเรื่อง Nausicaa น่าจะขายพร้อมเมล็ดพืช

P1010523

รถเมล์แมวไม้ น่ารักเชียว

P1010524

ในห้างนี้ยังมี J-World เป็นธีมปาร์คของค่าย Shonen Jump แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีอะไรเลยไม่ได้เข้า (แพงด้วย)

P1010405

คาเฟ่ของ J-World

P1010406

ช่วงที่ไปมีนิทรรศการอันนี้พอดี Attack on Titan แต่ไม่ได้เข้าไปดู (ต้องเสียค่าเข้าชม)

WP_20131020_10_32_03_Pro

ลานอเนกประสงค์ของห้างมีแจกลายเซ็นไอดอล

P1010408

วงอะไรก็ไม่รู้ฮะ ไม่ทราบได้

P1010407

ระหว่างทางไป Sunshine City ยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ เช่น ร้าน Sega ตามภาพ แต่ไม่ได้เข้าไปดูนะครับเพราะวันนั้นฝนตกพอดีเลยรีบกลับไปสถานีกัน

P1010409

จบแล้วครับ ใครเบื่อโตเกียวสายมาตรฐานพวกชิบูยะ ชินจูกุ ก็ลองมาเดิน Ikebukuro ก็ได้ครับ มันเป็นย่านการค้าสุดๆ อีกย่านหนึ่งเหมือนกัน

กินข้าวต้มปลาดิบที่นาริตะ

$
0
0

บล็อกตอนสุดท้ายของซีรีส์การท่องเที่ยวญี่ปุ่นในปี 2013 ครับ (เขียนกันข้ามปี) อาหารมื้อสุดท้ายที่ผมได้กินบนแผ่นดินญี่ปุ่นคือ "ข้าวต้ม"ที่สนามบินนาริตะ ฟังดูแปลกๆ แต่มันไม่ธรรมดาเพราะเป็น "ข้าวต้มปลาดิบ"ครับ

Narita Airport

ร้านนี้ชื่อว่า Dashichazuke-en มีหลายสาขาในโตเกียว แต่ร้านที่สนามบินนาริตะอยู่ที่ Terminal 1 ชั้น 4 (ใกล้กับเคาเตอร์ผู้โดยสารขาออก) โดยจะอยู่โซนตรงกลางที่เป็นแหล่งขายของ (T1 นาริตะมีสองปีก อันนี้อยู่ตรงกลางเลยครับ) หน้าตาร้านดังภาพ

ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ มีที่นั่งไม่ถึงสิบที่ คนเยอะตลอดอาจต้องรอหน่อยครับ (แถมเป็นร้านในสนามบิน ทุกคนที่กินก็จะต้องหอบกระเป๋าเข้าไปนั่งกินด้วย แออัดสุดๆ)

เมนูก็ตามนี้ครับ จานละ 700-900 เยน ชามไม่ใหญ่มาก กินได้พอรองท้อง

Narita Airport

ในชุดจะประกอบด้วย ข้าวต้ม เครื่องเคียง และน้ำซุบครับ เวลาเสิร์ฟเค้าจะเอาข้าวโปะหน้าปลาดิบมาพร้อมกับน้ำซุบหนึ่งกา

Narita Airport

Narita Airport

พร้อมกินแล้วก็ราดเลยครับ เอาซุปราดให้น้ำท่วมข้าว ราดลงไปที่ตัวเนื้อปลาเลย

Narita Airport

Narita Airport

กินแล้วพบว่าอร่อยโฮกครับ ความอร่อยอยู่ที่น้ำซุบที่กลมกล่อม และเนื้อปลาที่สดแต่ยังไม่สุก (แต่ก็ไม่ดิบ) ใครผ่านไปแล้วมีเวลา เริ่มหิวนิดหน่อย ยังมีเงินเยนเหลือ ก็สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะรองท้องก่อนขึ้นเครื่อง

กินเสร็จแล้วก็เดินเล่นในนาริตะกันสักหน่อยครับ เจอกับร้านนี้ Tax Free Akihabara

Narita Airport

ของเล่นเด็กผู้ชาย (ไม่มีกันพลา)

Narita Airport

สินค้าขวัญใจคนไทยทั้งหลาย

Narita Airport

Narita Airport

ไอ้นี่เจ๋งที่สุดตั้งแต่เคยเจอในสนามบินครับ โถส้วมไฮเทคของญี่ปุ่น o_O

Narita Airport

จบซีรีส์ญี่ปุ่นแค่นี้ครับ ขอบคุณที่ติดตาม (อ่านตอนเก่าๆ ในแท็ก Japan)

Viewing all 557 articles
Browse latest View live




Latest Images