Quantcast
Channel: Isriya Paireepairit blogs
Viewing all 557 articles
Browse latest View live

Grand Central Terminal

$
0
0

Grand Central Terminal

สถานีรถไฟ Grand Central Terminal เป็นสถานีหลักของนครนิวยอร์ก ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรม และตัวสถานีเองก็สร้างมาครบ 100 ปีในปีนี้พอดี (สร้างปี 1913) กระจกหน้าต่างเลยมีเลข 100 พอดี

สถานีแห่งนี้ปรากฏในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง แถมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงด้วย พอมีโอกาสก็เลยแวะไปเยี่ยมชมดูสักหน่อยครับ

Grand Central Terminal

Grand Central Terminal

หน้าสถานี (เข้าได้หลายทางนะ)

Grand Central Terminal

Grand Central Terminal

Grand Central Terminal

ช่องขายตั๋ว คลาสสิกซะ

Grand Central Terminal

Grand Central Terminal

ตัวเลข 100 โดดเด่นมาก ตรงใต้เลข 0 อันกลางเป็นร้าน Apple Store สาขา Grand Central ด้วยครับ

Grand Central Terminal

ตัวชานชาลาอยู่ชั้นใต้ดินลงไปนะครับ (ผมไม่ได้ลงไป เพราะคนเยอะ เดี๋ยวหลงกับทีมที่ไปด้วยกันแล้วมันจะยุ่ง)

Grand Central Terminal

ตัวอาคาร Grand Central Terminal จะติดกับอาคารของบริษัท MetLife เดินทะลุไปได้

Grand Central Terminal

ธงชาติอเมริกา

Grand Central Terminal

โคมไฟ

Grand Central Terminal

Grand Central Terminal

นาฬิกาไอคอนกลางสถานี (ใครที่เคยดูคลิป Frozen Grand Centralเค้าก็มายืนกันตรงนี้)

Grand Central Terminal

บริการนักท่องเที่ยว

Grand Central Terminal

หลังคา

Grand Central Terminal

จบแล้วครับ

Keyword:


Big Businesses in New York

$
0
0

อย่างที่เคยเขียนไปแล้วว่า นิวยอร์กเป็นศูนย์กลางของโลกธุรกิจฝรั่ง ดังนั้นบริษัทฝรั่ง (โดยเฉพาะอเมริกัน) ขนาดใหญ่จึงมักมีสำนักงานใหญ่ หรืออย่างน้อยๆ ก็มีสำนักงานอยู่กลางแมนฮัตตัน เรียกว่าเดินไปแถวไหนมันน่าจะเจอสักสองสามบริษัทอยู่เรื่อยไป (ธุรกิจสายที่ศูนย์กลางอยู่ที่นิวยอร์กเลย นอกจากพวกการเงินในย่านวอลล์สตรีทแล้ว ก็มีสายสื่อและโฆษณา)

เอาเท่าที่ผมเดินมั่วๆ หรือนั่งรถผ่าน ก็เจอประมาณนี้ครับ

New York Times

The New York Times อยู่ใกล้โรงแรมที่พักนิดเดียว

CNN

CNN อยู่ใกล้กับ Central Park

P3159729

Colgate-Palmolive

NetApp

NetApp รูปนี้เบลอไปหน่อย ถ่ายจากบนรถ

FedEx Office

FedEx เข้าใจว่าอันนี้เป็นแค่สาขา

Conde Nast

Conde Nast ชื่อบริษัทอาจไม่เป็นที่รู้จักทั่วไป แต่นี่คือเจ้าพ่อสิ่งพิมพ์รายใหญ่ของโลก เจ้าของ Vogue และ GQ ถ้าสายไอทีก็เป็นเจ้าของ Wired และ Ars Technica

News Corp

News Corporation

McGraw Hill

McGraw-Hill สำนักพิมพ์รายใหญ่

CBS

CBS สถานีทีวี

TimesSquare

อันนี้ป้ายมันดูยากนิดนึงเพราะย้อนแสง สำนักงานของ Ernst & Young แถวๆ ไทม์สแควร์

Wasabi

ของแถม: Wasabi ร้านญี่ปุ่นชื่อดังจากลอนดอน กำลังจะมาเปิดที่นิวยอร์กแล้วจ้า

Keyword:

Surface Computing

$
0
0

ช่วงหลังๆ มีคนมาคุยด้วยเรื่อง Surface บ่อยเหมือนกัน บันทึกความเห็นไว้สั้นๆ ตรงนี้สักหน่อย

  • ผมว่า concept ของ Surface (hybrid/convertable tablet) น่ะมาถูกทางแล้ว ที่เหลือคือ execution ที่ดีพอจะครองใจตลาดได้
  • ที่ว่า concept ถูกต้องก็คือ สุดท้ายแล้วตลาด tablet/laptop มันคือตลาดเดียวกัน อุปกรณ์จะหลอมรวมกันเหมือน PDA/phone ในอดีต คนควรถืออุปกรณ์ตัวเดียว (ด้วยปัจจัยเรื่องน้ำหนัก) และเลือกใช้ได้ตามต้องการ
  • ไอเดียเรื่อง Desktop UI = สำหรับงานคอมพิวเตอร์แบบเดิม, Metro UI = สำหรับงานสัมผัส อันนี้ไมโครซอฟท์มาถูกทางแล้วอีกเหมือนกัน คือมันเป็น superset ของ desktop computing แบบเดิม ไม่ได้ทิ้งของเก่า ไม่ได้มาท้าชนของเก่าแบบ iOS/Android
  • execution ที่ยังมีปัญหาอยู่คือ
    • software = Metro App ยังห่วยอยู่มาก และไมโครซอฟท์ทำช้าเหลือเกิน (ต้องรอ Office เป็น Metro ทั้งชุดก่อนกระมัง)
    • hardware = ตอนนี้ Surface ยังไม่สมบูรณ์ เราต้องการแท็บเล็ตที่มีขนาดและอายุแบตเท่า Surface RT (ด้วยมาตรฐานที่ iPad ทำไว้) และประสิทธิภาพและการรองรับแอพเท่ากับ Surface Pro (ด้วยมาตรฐานที่โน้ตบุ๊กทั่วไปวางไว้) ตรงนี้ Haswell น่าจะพอทำให้เป็นจริงได้ (แม้จะไม่ทั้งหมด) ก็ตาม

Rockefeller Center

$
0
0

Rockefeller Center เป็น "หมู่ตึก"หรือ complex ของอาคารสำนักงานใจกลางแมนฮัตตัน อยู่ตรงกลางระหว่างเซ็นทรัลพาร์คกับย่านวอลล์สตรีท กินพื้นที่ประมาณสามสี่บล็อคถนน

ชื่อก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าสร้างโดยตระกูล Rockefeller อดีตมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกในยุคหนึ่ง (แถมเป็นตระกูลผู้มีอิทธิพลของนิวยอร์กมายาวนาน) ตามประวัติบอกว่าเริ่มสร้างปี 1930 ปัจจุบันมีตึกทั้งหมด 19 หลัง ผู้เช่าก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา เช่น GE, Deloitte, Bank of America เป็นต้น ปัจจุบันเจ้าของเป็นคนอื่นแล้ว ไม่ใช่ของตระกูล Rockefeller อีกต่อไป

Rockefeller Center

ใจกลางของ Rockefeller Center เป็นลานสเก๊ตน้ำแข็ง ซึ่งปรากฏในภาพยนตร์ดังๆ อีกหลายเรื่องเช่นกัน (ของจริงนี่ลานมันเล็กมากเลยนะครับ แต่ทำเลและบรรยากาศดีมากๆ เลยแหละ)

Rockefeller Center

รูปปั้นที่อยู่กลางลานนี้คือ Prometheus เทพบุตรผู้นำไฟมาสู่มนุษยชาติตามตำนานกรีก

Rockefeller Center

รูปปั้นเงือกหน้าลานสเก๊ต

Rockefeller Center

Rockefeller Center ถือเป็นอาคารสำคัญทางประวัติศาสตร์ (National Historic Landmark) ของอเมริกาด้วย

Rockefeller Center

รูปนี้เคยลงไปทีหนึ่งแล้ว เป็นศิลปะร่วมสมัยของ Zeus ที่อยู่หลังลานสเก๊ตน้ำแข็งนั่นแล

Rockefeller Center

อุปกรณ์ตกแต่ง Rockefeller ที่สำคัญคือ "ธงชาติ"แสดงความเป็นนานาชาติกระมัง

Lego Land Rockefeller

Lego Land Rockefeller

ใกล้ๆ กันนั้นมีร้าน LEGO ซึ่งมีฉากจำลองของ Rockefeller Center ด้วย เจ๋งซะไม่มี (แถวๆ นั้นยังมีร้านของ NBC ขายของที่เกี่ยวข้องกับรายการโทรทัศน์ด้วย ไม่ได้ถ่ายภาพมาครับ)

Radio City

หนึ่งในอาคารสำคัญของ Rockefeller Center คือ Radio City Music Hall โรงละคร-สถานที่จัดการแสดงขนาด 6,000 ที่นั่ง (เคยใหญ่ที่สุดในโลกอยู่พักหนึ่ง) ซึ่งงานเปิดตัว Galaxy S4 ก็จัดที่นี่แหละครับ สมศักดิ์ศรี

Radio City - Galaxy S4 Event

Tablet Market in 2013

$
0
0

เคยเขียนเรื่อง Tablet for the Massไปทีนึงแล้ว เวลาผ่านไป สถานการณ์เปลี่ยน ก็มาบันทึกความคิดไว้อีกสักรอบ

ผมมานั่งคิดๆ ดูแล้ว ปี 2012 เป็นปีที่เราเห็น "ความเคลื่อนไหว"ของวงการแท็บเล็ต (ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2010 จาก iPad 1) อย่างคึกคักมาก ในรอบปีเราเห็น:

  • iPad 3/4 ในปีเดียวกัน และ iPad Mini
  • Nexus 7 ของกูเกิลที่พลิกตลาดแท็บเล็ต 7 นิ้วได้สำเร็จ
  • Surface ไมโครซอฟท์ลงมาทำฮาร์ดแวร์เอง
  • Galaxy Note 10.1 แท็บเล็ตจอใหญ่มีปากกา (แม้ว่าจะขายไม่ดีเท่าไรนักก็ตาม แต่ในแง่ความใหม่น่ะได้)

ในแง่ตลาด high end ของปี 2013 คงไม่มีนวัตกรรมเยอะแบบปี 2012 อีกแล้ว

ทิศทางของปี 2013 ที่น่าจะชัดคือตลาดแท็บเล็ตราคาถูกจะแข่งกันดุมากขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแบรนด์ระดับ Acer/ASUS เริ่มลงมาลุยตลาดแท็บเล็ตต่ำกว่า 5,000 แข่งกับแบรนด์ที่ระดับรองๆ ลงไปแล้ว (แถมขายดีเสียด้วย)

ดังนั้นสรุปว่าในแง่เทคโนโลยีคงมีแต่ evolution ทั่วๆ ไป ไม่มีนวัตกรรมฉีกแนวมากนัก แต่จะกลายเป็น "นวัตกรรมราคา"ที่ช่วยดันให้แท็บเล็ตกระจายตัวถึงคนหมู่มากๆ (ที่อาจไม่มีเงินซื้อแท็บเล็ตราคาแพง) ได้เร็วขึ้นแทน

ข่าวประกอบ Acer ตั้งเป้าทำยอดขายแท็บเล็ตปีนี้ 5-10 ล้านเครื่อง

Gundam Unicorn

$
0
0

ตั้งใจว่าจะรอให้จบ 7 ตอนครบชุดก่อนแล้วค่อยเขียนถึง แต่ดูตอนที่ 6 จบแล้วคันมือ อดใจไม่ไหว เขียนเลยดีกว่า

แบบสรุป ๆ รวบรัดเลย Gundam Unicorn คือกันดัมภาค 5 ในจักรวาล UC ที่ทำออกมาในรูป OVA แทนทีวีซีรีส์นั่นเอง

ผมนับภาคหลักตามจักรวาล UC ช่วง 100 ปีแรก ตามนี้นะครับ

  1. 0079 - Gundam (Origin)
  2. 0087 - Z Gundam
  3. 0088 - ZZ Gundam
  4. 0093 - Char's Counter Attack
  5. 0096 - Unicorn

จากนั้นถึงไปนับต่อเป็นจักรวาล UC หลัง 100 ปีแรก พวก F91, V, Crossbone อะไรแบบนั้นต่อไป

ส่วน OVA ภาคอื่นๆ อย่าง 0080, 0083, 08th น่าจะถือเป็น sidestory ได้เต็มปาก เพราะอย่างกรณีของ 0080 หรือ 08th ถือเป็นเนื้อเรื่องใน One Year War แค่จากมุมมองอื่นที่ไม่ใช่ภาคหลักภาคแรก ส่วน 0083 อาจจะเป็นบทนำของ Z Gundam อะไรประมาณนั้น

แต่กรณีของ Unicorn นั้นต่างออกไป เพราะ

  • เป็น story continuity ของภาคหลักที่นับต่อจากภาค CCA โดยตรง นั่นคือ อามุโร่และชาร์หายไปแล้ว โลกเป็นอย่างไรต่อ ฝ่ายซีออนที่เหลืออยู่ทำอย่างไร (คำตอบง่ายๆ คือทำสงคราม) ส่วนฝ่ายพันธมิตรโลกทำอย่างไร (คำตอบง่ายๆ คือปราบซีออน) แต่รายละเอียดมันเยอะกว่านั้น
  • การเขียนเรื่องที่น่าสนใจมากคือคนที่เชื่อมร้อย Gundam UC ทั้ง 5 ภาคเข้าด้วยกันคือ กัปตันไบร์ท โนอา ในฐานะผู้ฟูมฟักนักบินกันดั้มทั้ง 4 คน (อามุโร่, คามิว, จูโด้ และบานาเกอร์ของภาค Unicorn)
  • แต่ Unicorn ไปไกลกว่าความเป็นภาคต่อเฉยๆ มาก เพราะ Unicorn จับประเด็นเรื่องจุดกำเนิดของจักรวาล UC (ชื่อภาค Unicorn ก็มาจากชื่อปี UC นั่นล่ะครับ) ที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน เอามาเป็นปมขัดแย้งหลักของภาคนี้ และมันจะส่งผลถึง "ความหมาย"ของสงครามที่โลกกับซีออนรบกันมาตลอดด้วย

สิ่งที่ Unicorn ทำดีมากๆ มีหลายประเด็น

  • ภาพ สวยงามและละเอียดมาก ชนิดว่า 08th ภาพสวยมากๆ แล้ว มาเจอ Unicorn เข้าไปก็กลายเป็นรอง (แต่สไตล์ของ Unicorn จะไม่ realistic เท่ากับ 08th)
  • บทและการดำเนินเรื่อง ที่ผมชอบมากคือ "ความพร่าเลือน"ของฝักฝ่ายในสงคราม จาก Gundam ภาคเดิมๆ ที่แยกชัดระหว่างฝ่ายโลกกับซีออน ตั้งหน้าประจัญบานกันแบบง่ายๆ ตรงไปตรงมา กลายเป็นว่าในภาคนี้ บทบาทของฝ่ายโลกบางส่วน และซีออนบางส่วนกลับไม่ชัดเจนว่า เฮ้ย ตกลงเราเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ เพราะเนื้อเรื่องเขียนออกมาให้ทั้งสองฝ่ายมีความจำเป็นต้องจับมือกันในบางงาน (แม้ว่าใจจะไม่อยากก็ตาม)
  • สิ่งที่ Unicorn เด่นมากคือ political economy ของฝักฝ่ายทางการเมืองในจักรวาล UC ซึ่งจะมีฝ่ายที่สามอย่าง Anaheim Electronics เข้ามามีบทบาทเด่นชัดมากในภาคนี้ รวมถึง "ฝ่ายที่สี่"ที่เพิ่งโผล่เข้ามาในภาคนี้อย่าง Vist Foundation อีกด้วย
  • ในแง่ของ "ตระกูลการเมือง"ก็สำคัญ เพราะ Unicorn เป็นการชิงชัยกันของ 4 ตระกูลใหญ่ในโลกของ UC (คนที่เขียนบทระดับนี้ได้ต้องไม่ธรรมดา) ทั้ง 4 ตระกูลได้แก่
    • ตระกูล Carbine ที่เป็นเจ้าของ Anaheim Electronics และมีสายสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับตระกูล Vist
    • ตระกูล Vist ในฐานะผู้ครอบครองไอเทมพลิกโลก Laplace Box ที่เป็นจุดศูนย์กลางของภาค Unicorn
    • ตระกูล Marcenas ตระกูลนักการเมืองใหญ่ที่สืบทอดเจตนารมณ์จากประธานาธิบดีโลกคนแรก (ใน UC1)
    • ตระกูล Zabi ในฐานะ "ราชวงศ์"แห่งซีออน
  • ในขณะเดียวกันก็ยังยึดธรรมเนียมปฏิบัติของกันดั้มภาคหลักบางส่วนอยู่ เช่น เส้นทางการเดินทาง อวกาศ-โลก-อวกาศ หรือ ตัวละครแบบ Char's Clone ที่เป็นธรรมเนียมว่าต้องมี (แต่ก็ไม่ใช่มีเพื่อสักแต่ว่ามี เพราะใน Unicorn ก็ตั้งคำถามถึงตัวตนและไอเดียของ Char's Clone กับ Char ต้นฉบับที่ควรจะเป็นด้วย)

สิ่งที่รัศมีหมองลงไปในภาค Unicorn กลับเป็น "หุ่น"ซึ่งผมมองว่า Gundam Unicorn ไม่โดดเด่นมากนัก ทั้งดีไซน์ของมันเองที่ดูจะไม่เน้นบู๊เท่าที่ควร ออกจะเป็นหุ่นเชื่อมสันติภาพมากกว่า (ใช้อาวุธหลักเป็นไซโคเฟรมเพื่อความเข้าใจระหว่างกันของมนุษย์ ตามรอยทางของ Nu Gundam มากกว่าใช้ปืน)

ที่เหลือไว้รอดูตอนที่ 7 (ปี 2014) แล้วค่อยมาเขียนถึงใหม่ละกันครับ

Keyword:

MoMA - Museum of Modern Art

$
0
0

บล็อกตอนสุดท้ายของซีรีส์นิวยอร์กครับ ปกติแล้วเวลาไปเมืองหลวงของประเทศที่เราพออ่านภาษาของเขาได้ ผมมักจะไปเดินพิพิธภัณฑ์เพื่อดูโน่นนี่ แต่กรณีของนิวยอร์กนี่มีเวลาค่อนข้างน้อย แถมไปเป็นหมู่คณะด้วย ทำให้โอกาสไปเดินพิพิธภัณฑ์ยาวๆ มีน้อยสักหน่อย

แต่สุดท้ายก็หาเวลาว่างไปเดินจนได้ เป้าหมายปลางทางคือ พิพิธภัณฑ์ที่ดังที่สุดของนิวยอร์ก Museum of Modern Art หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อ MoMA มากกว่าชื่อจริงเสียอีก

MoMa

MoMA เป็นพิพิธภัณฑ์ที่บริหารโดยเอกชน (ไม่ใช่ของเมืองนิวยอร์ก) สถานที่ตั้งอยู่กลางเมืองบนถนน Fifth Avenue เดินทางสะดวกสบาย ส่วนสิ่งของหรืองานศิลปะที่มาจัดแสดงก็ตามชื่อพิพิธภัณฑ์นั่นคือ "ศิลปะสมัยใหม่" (modern art) ซึ่งแยกแยะกันจริงๆ แล้วก็หลากหลายมาก

ตัวอาคารหลักของ MoMA มีราวๆ 5-6 ชั้น แยกเป็นสองปีก (เดินทะลุกันได้) สิ่งที่ต้องคาดหวังคือนักท่องเที่ยวที่เยอะมาก ๆ และในวันที่อากาศเหน็บหนาว (วันที่ผมไปหิมะตกด้วย) จุดแออัดย่อมเป็นห้องฝากเสื้อโค้ก (cloak room) ที่คนต่อคิวฝากของ-รับของกันเป็นกิโล

จุดแรกที่แวะเข้าไปชมคือส่วนของงาน interactive หรือ digital art ก็มีพวกเกมและงาน visualization มาจัดแสดง ทางพิพิธภัณฑ์ใช้คำว่า Applied Design

P1019905

เริ่มจาก Sim City 2000

P1019897

แผนที่การเคลื่อนตัวของ "ลม"ในอเมริกา

P1019899

อันนี้ถ้าจำไม่ผิดคือ "ขนาด"ของอินเทอร์เน็ต แยกตาม node

P1019903

Flight Maps แสดง visualization ของเที่ยวบินที่บินเข้า-ออกสหรัฐ

P1019907

นอกจากงานดิจิทัลแล้วก็มีแสดงงานออกแบบเครื่องใช้ไม้สอย เฟอร์นิเจอร์ และ Industrial Design อื่นๆ (ตรงนี้จะคล้ายกับ Design Museum ที่ลอนดอน หรือ TCDC ของบ้านเรา)

P1019909

งานดิสเพลย์อื่นๆ

P1019900

งานจาก 007 ภาค Goldfinger เน้นไปที่ไตเติลเปิดเรื่องที่เป็น "สาวชุบทอง"

P1019910

นิทรรศการที่จัดแสดงได้แก่ 9+1 Ways of Being Political หรือการออกแบบกับการแสดงออกด้านการเมือง 10 แนวทาง

9+1 Ways of Being Political

ตัวอย่างงานการเมืองในสิ่งพิมพ์

9+1 Ways of Being Political

งานของฝั่งเยอรมัน

P1019914

อันนี้ลืมแล้วว่าอะไรแฮะ

P1019915

งานแสดงออกด้านการเมืองของ อ้ายเหว่ยเหว่ย (Ai Weiwei) ศิลปินจีนคนดังที่มีปัญหากับรัฐบาล เขาแสดงออกทางการเมืองด้วยการ "ชูนิ้วกลาง"ใส่สถานที่สำคัญทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นทำเนียบขาวหรือเทียนอันเหมิน (แสดงออกถึงการต่อต้านรัฐ)

P1019916

แผงวงจรซีพียูของอินเทล ก็เอามาเป็นงานศิลปะจัดแสดงได้

P1019925

สิ่งที่ทำให้ MoMA มีชื่อเสียงมากคือ "ภาพเขียน"ของศิลปินดังของโลกในรุ่นหลังๆ เช่น ปิกัสโซ โมเนต์

เอาชุดของปิกัสโซก่อนนะครับ เริ่มจาก Three Musiciansหนึ่งในงานชุด "เหลี่ยม" (Cubism) ของปิกัสโซ

Picasso - Three Musicians

ต่อมาคือ Les Demoiselles d'Avignonงานชุดหน้ากากอาฟริกาของปิกัสโซ

Picasso - Les Demoiselles d'Avignon

งานของโมเนต์จะเน้นแนวภาพธรรมชาติ โดยใช้สไตล์ impressionist คือไม่ต้องเหมือนจริง เน้นฝีแปรงเป็นหลัก

Monet

งานขนาดใหญ่ของโมเนต์

Monet

อีกภาพ

Monet

งานเขียนที่ดังที่สุดของ MoMA คงเป็นภาพนี้ The Starry Nightของแวนโก๊ะ คนรุมตลอดเวลา

The Starry Night

ภาพมันก็เล็กนิดเดียวอะนะ

The Starry Night

อีกงานหนึ่งที่เราเห็นบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยรู้จักว่าใครวาด (ผมก็มารู้จักที่นี่แหละ) คือ The Screamของ Edvard Munch ที่มีหลายเวอร์ชันมาก (เวอร์ชันของ "อ่าน")

เช็คดูจาก Wikipedia แล้วงานนี้เป็นงานยืมมาแสดงที่ MoMA พอดี นับว่าโชคดีมากที่มาเจอครับ

Scream

เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านงานศิลปะทั้งที องค์ประกอบอื่นๆ นอกจากตัวงานจะปล่อยทิ้งไว้ให้ว่างเปล่าได้อย่างไรกัน? คาเฟ่ของ MoMA จึงเป็นรูปซุปกระป๋อง Campbells งานคลาสสิคของ industrial design สมัยใหม่ (คนเยอะมาก ไม่ได้ไปกินครับ แถวๆ หน้า MoMA มีร้านอาหารไทยเล็กๆ อยู่เลยไปกินร้านนั้นแทน)

P1019936

ชั้นบนสุดของ MoMA เป็นนิทรรศการเวียน คราวนี้ไปเจอเรื่อง "abstraction" (ซึ่งดูไม่ค่อยรู้เรื่อง ฮา) เพียงแต่ห้ามถ่ายรูปในนิทรรศการเวียน

Inventing Abstraction

แผนภาพแสดงอิทธิพลของศิลปินสาย abstract ที่มีต่อกันและกัน

Inventing Abstraction

บรรยากาศภายนอก MoMA

P1019917

โดยสรุปแล้ว MoMA เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มี "ของ"เยอะมาก เพียงแต่ผู้ชมเองก็ต้องเตรียมตัวไปพอสมควร และมีความรู้ด้านงานศิลปะอยู่บ้างจึงได้รับชมได้อรรถรส (ผมไม่ค่อยมีก็ไปมั่วๆ เอาหน้างานเลยไม่ค่อยคุ้มเท่าไร) ถ้ามีโอกาสก็ควรไปเยือนครับ

P1019948

Smartphone Market Share in Thailand 2012

$
0
0

ข้อมูลส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลรวมของทั้งโลก หรือไม่ก็ประเทศใหญ่ๆ บางประเทศอย่างอเมริกา อังกฤษ จีน แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลของประเทศเล็กๆ อย่างบ้านเรา เท่าที่ผมทราบคือบริษัทพวก IDC มีข้อมูลพวกนี้ (แต่ต้องซื้อ)

จากข่าว ผลสำรวจวัยรุ่นอเมริกัน 48% เลือกใช้ iPhoneที่หลายคอมเมนต์มาแชร์กันว่ารอบตัวมีคนใช้ iPhone มากน้อยแค่ไหน ทำให้ผมสงสัยขึ้นมาอีกครั้งว่าส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในไทย นับกันเป็นยอดขายเครื่องจริงๆ ในเชิงสถิติ (ไม่ใช่จากส่วนแบ่งคนเข้าเว็บหรือโฆษณา) เป็นเท่าไรกันแน่

Smartphone Market Share Thailand 2012

ลองค้นกูเกิลดูก็พบว่ามีบริษัท GfK Retail and Technology (Thailand) เก็บข้อมูลในส่วนนี้อยู่เหมือนกัน (ผมไม่แน่ใจ methodology) เข้าใจว่าเป็นข้อมูลที่เอาไว้ขาย แต่ด้วยธรรมเนียมปฏิบัติ ข้อมูลบางส่วนก็เผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ซึ่งกรณีนี้ได้มาจาก Bangkok Postก็ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

ตัวเลขส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนไทย ปี 2012 คือ Android 70%, iOS 20% และระบบอื่นๆ (Windows Phone + BlackBerry) รวมกัน 10% ซึ่งในปี 2013 ทาง GfK คาดว่าจะกลายเป็น 68%, 18%, 14% ตามลำดับครับ


On the Table

$
0
0

เห็นร้านนี้ปรากฏตัวตามทำเลทองในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ มาได้พักหนึ่งแล้ว (แต่ไม่เคยกินสักที) บวกกับเคยอ่านบทสัมภาษณ์เจ้าของร้านแบบผ่านๆ ในหนังสือพิมพ์สักฉบับ พบว่าเน้นอาหารฟิวชั่นญี่ปุ่น มีแนวคิดน่าสนใจไม่น้อย เมื่อมีโอกาสผ่านไปเจอ (สาขา Crystal Park) ก็ทดลองดูหน่อยแล้วกัน

เข้าไปแล้วพบว่า On the Table เป็นร้านอาหารแบบ "สาวออฟฟิศญี่ปุ่น"โดยแท้ คือเป็นคาเฟ่ตกแต่งด้วยสีเอิร์ธโทน เน้นบรรยากาศหรูนิดๆ คิกขุหน่อยๆ เอาไว้ให้สาวออฟฟิศ (หรือแม่บ้าน) ญี่ปุ่นที่พ้นวัยคิกขุเต็มที่ ก้าวสู่ชีวิตการทำงานแล้ว แต่ยังมีใจกุ๊กกิ๊กอยู่บ้างบางส่วนได้มานั่งกินข้าวกัน (ในเมนูของร้านก็ระบุไว้ในหน้าแรกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากคาเฟ่แห่งหนึ่งในญี่ปุ่นนั่นล่ะครับ)

On the Table

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้แปลว่า กลุ่มเป้าหมายอื่นๆ จะเข้าไปกินไม่ได้นะครับ ครอบครัวก็ไปกินได้แต่ผมรู้สึกว่า ด้วยโทนการตกแต่งแล้วมันจะต้องมี "ผู้หญิงวัย 20-35"เป็นแกนหลักในการชวนคนมากินข้าวร้านนี้อยู่เยอะเลยแหละ

เก้าอี้ในร้านเป็นโซฟานุ่ม ดูใหม่ เรียบ สะอาด แต่เตี้ยไปหน่อยนั่งแล้วเมื่อยไปนิด

On the Table

ชุดจานชามภายในร้าน

On the Table

ความเจ๋งอย่างหนึ่งของร้านนี้คือ "เมนู"ครับ ถือเป็นร้านที่ทำเมนูได้อลัง (ทั้งในแง่ภาพถ่ายและเลย์เอาท์) ร้านหนึ่งที่เคยเจอมาเลยล่ะ

On the Table

อาหารส่วนใหญ่ก็ตามภาพ จะเป็นฟิวชั่นญี่ปุ่นผสมฝรั่ง เช่น ข้าวแกงกะหรี่อบชีส พาสต้าแปลกๆ

On the Table

On the Table

ราคาอาหารก็แพงเอาเรื่องอยู่ จานหลักพวกข้าว-พาสต้าที่ใช้เนื้อสัตว์ธรรมดา (หมู) อยู่ที่ประมาณ 200 กว่าบาท ถ้าใช้เนื้อสัตว์พิเศษหน่อย เช่น กุ้ง วัว ปลาหิมะ ราคาจะอัพไปถึงระดับ 300-400 บาท ส่วนของทานเล่นราว 100-200 และของหวานจานละ 100+ เช่นกัน

On the Table

On the Table

On the Table

จบส่วนเกริ่นแล้วก็มาลุยกันเลยครับ เริ่มจากปลาหมึกชุบแป้งทอด calamari ราคา 140 บาท ทอดใหม่ๆ กรอบอร่อย (ทิ้งไว้นานมันก็เหนียวเป็นธรรมดาอะนะ) ซอสเข้มข้นจนต้องขออีกถ้วย ถือว่าผ่าน (ผมให้อยู่ในระดับเดียวกับปลาหมึกทอดของร้าน Greyhound นะ)

On the Table

ข้าวกับปลาแซลมอนย่าง และเห็ด จานละ 270 มั้งถ้าจำไม่ผิด ข้าวผัดเนยนิดๆ เห็ดผัดโอเค แซลมอนดีตามมาตรฐาน แต่โดยรวมแล้วยังไม่โดดเด่นคือรสชาติมันธรรมดาไปนิดนึง

On the Table

สเต๊ก Pork Chop จานละ 320 บาท ทำออกมาได้ดีเกินคาดมากๆ หมูนุ่มมากและชิ้นใหญ่สมราคา ซอสอร่อย มันฝรั่งทอดก็ทำดี กรอบนอกนุ่มใน

On the Table

ของหวานแนะนำของร้าน Tokyo Cake เป็นเค้กคล้ายๆ ขนมฝรั่งบ้านเรา จืดๆ หน่อย แต่เมื่อกินกับครีมสดและซอสสตรอว์เบอรี่ที่เปรี้ยวๆ แล้วมันจะเข้ากันดีครับ ราคา 100 กลางๆ

On the Table

โดยสรุปแล้วร้านนี้ทำอาหารได้อร่อยเกินคาดมากๆ เพียงแต่ราคาอาหารออกจะแพงไปหน่อยสำหรับการไปกินบ่อยๆ (คืออยู่ในระดับที่แพงจนเริ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจ สำหรับการไปกินสองคนเกือบพัน)

Keyword:

ยูนิเวอร์เศร้า

$
0
0

ผมรู้จักแชมป์ @tpagon มานานเพราะเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย แต่ถ้าตัดปัจจัยเรื่องการรู้จักกันเป็นส่วนตัว เราสามารถพูดได้เต็มปากแบบไม่อวยว่าเขาเป็นยอดฝีมือดาวรุ่งคนหนึ่งแห่งวงการนักเขียนรุ่นใหม่ที่น่าจับตา

แชมป์มีผลงานเป็นเล่มออกมาหลายเล่มแล้ว (นี่ยังไม่รวมงานเป็นชิ้นอีกเยอะมาก หนึ่งในนั้นมีโปสการ์ดของ Blognone ด้วย ไอเทมลับที่อยากได้ต้องตามหากันเอง) ผมก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ซึ่งผลงานล่าสุดคือเล่มนี้ "ยูนิเวอร์เศร้า"

ยูนิเวอร์เศร้า

ยูนิเวอร์เศร้าเป็นหนังสือภาพประกอบ สไตล์คล้ายๆ กับเจ้าชายน้อยอันโด่งดัง (ที่ผมดันอ่านไม่รู้เรื่อง) เนื้อหาพูดถึงเด็กชายผู้เฉยเมยคนหนึ่งที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ กับโลก ต้องเดินทางเพียงลำพังไปยังอวกาศอันเวิ้งว้าง และพบเจอกับเรื่องราวแปลกๆ ของคนแปลกๆ บนดวงดาวต่างๆ ในจักรวาล

เนื้อเรื่องจะคล้ายๆ กับ Galaxy Express 999 (ซึ่งคุณบอย ตรัย ก็เปรียบเทียบแบบนี้ไว้ในคำนิยม) เพียงแต่เรื่องนี้ไม่มีเมเทลเท่านั้นเอง

ยูนิเวอร์เศร้าเป็นหนังสือที่ผมตีความ (เอาเอง) ว่าจับตลาดกลุ่มคนอายุ coming of age (ซึ่งแชมป์ถนัดอยู่แล้ว) ลักษณะเดียวกับเจ้าชายน้อย แต่แฝงปรัชญาและคำถามปลายเปิดเอาไว้ให้ขบคิดด้วย (ซึ่งคงไม่สปอยล์ตรงนี้) อันนี้เดาเองล้วนๆ จากเนื้อหาและท่าทาง โดยไม่ได้สอบถามคนเขียนเลยนะครับ

อ่านจบแล้วได้ข้อสรุปว่า "ยูนิเวอร์เศร้า"ดีแต่ยังไปไม่ "ถึง"เป้าหมายที่คนเขียนน่าจะตั้งใจเอาไว้ (ปมของเรื่องมันดูจงใจไปหน่อย) แต่ด้วยแนวทางแบบนี้ ศักยภาพแต่เดิม และอัตราความก้าวหน้าในการพัฒนาตนขนาดนี้ เราจะได้เห็นผลงานระดับ "คลาสสิค"จากเขาแน่นอนครับ

Keyword:

The Hobbit: An Unexpected Journey

$
0
0

เป็นแฟนโทลคีน แต่ไม่ได้ไปดู The Hobbit: An Unexpected Journey ในโรงด้วยเหตุผลเรื่องเวลา ความสะดวก และราคา ดังนั้นก็ต้องตามมาดูหนังแผ่นในภายหลังแบบนี้

The Hobbit เป็นหนังสือ "ภาคต้น"ของไตรภาค Lord of the Rings และเขียนก่อนกันเกือบยี่สิบปี เนื้อหาใน The Hobbit ถูกออกแบบเพื่อเป็นหนังสือเด็ก ความซับซ้อน ซีเรียส หม่นหมองจึงน้อยกว่า LotR มาก (แต่เรื่องฉบับหนังสือสนุกมากนะครับ คือมันครบเครื่องและจบในตัวในความหนาที่ไม่เยอะมากแบบ LotR)

พอมาทำเป็นหนังผมก็ยังงงๆ ว่ามันยาวถึงขนาดแตกเป็น 3 ภาคได้ยังไง (ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปอีก 2 ปีกว่าจะจบในปี 2014) แต่ถ้าเอาเฉพาะภาคแรก An Unexpected Journey เนื้อหาก็เหมือนกับ The Fellowship of the Ring คือเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของฮอบบิทคนหนึ่ง (Bilbo/Frodo) ร่วมกับคณะนักรบ (คนแคระ/มนุษย์) ออกจากเขตแดน Shire ไปทางทิศตะวันตก ข้ามเทือกเขา Misty Mountain ไปสู่แผ่นดินอื่น ระหว่างทางก็ต้องสู้รบกับศัตรูเผ่าอื่นๆ (ยักษ์/ก็อบบลิน) เรื่อยไป

ปมหลักของเรื่องส่วนภาคแรกคงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชาวคณะผู้เดินทาง ไม่ว่าจะเป็นคณะคนแคระหรือคณะผู้ถือแหวน และค่อยๆ สร้างความเชื่อใจระหว่างกันก่อนจะไปดำเนินภารกิจอันท้าทายในภาคหลังๆ

หนัง The Hobbit ภาคแรกเพิ่มเนื้อหาจากหนังสืออีกบางส่วน เช่น การปรากฏตัวของกาลาเดรียลและซารูมานในเรื่อง รวมถึงจุดสำคัญคือพ่อมดน้ำตาล ราดากัสต์ ที่มีบทน้อยมากใน LotR และไม่ถูกพูดถึงเลยใน The Hobbit กลับกลายมาเป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง (ซึ่งก็ทำได้ค่อนข้างสมเหตุสมผลดี)

ในแง่โปรดักชันของหนังคงไม่ต่างอะไรจาก LotR ภาคหนังมาก ในขณะที่เนื้อเรื่องมีความซับซ้อนน้อยลงกว่าเดิม ความสนุกคงไม่ถึงขนาด LotR แต่หนังก็คงตอบโจทย์อย่างมากในแง่รายได้ที่ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว

Korean Air - Business Class Experience

$
0
0

นั่งเครื่องบินมาก็เยอะแต่เพิ่งเคยได้บิน Business Class เป็นครั้งแรก แถมยังเป็นไฟลท์ยาว เดินทางกันครึ่งโลกด้วย ก็เลยมาบันทึกลงบล็อกไว้สักหน่อยครับ

Incheon Airport

เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2013 ผมได้รับคำเชิญจากซัมซุงไปร่วมงานเปิดตัว Galaxy S4 ที่นิวยอร์กซึ่งแน่นอนว่าซัมซุงออกค่าเครื่องบินและที่พักให้ ผมไม่แน่ใจเรื่องนโยบายด้านนี้ของซัมซุงเท่าไร แต่สรุปว่าทริปนี้สื่อไทยทุกรายได้นั่ง Business Class ของสายการบิน Korean Air (ชื่อการค้าที่ Korean Air เรียกคือ Prestige Class) ดังนั้นเรื่องราคาคงไม่ทราบเพราะว่าบินฟรี ที่บอกได้คงมีแค่ประสบการณ์ว่านั่งแล้วเป็นอย่างไร

เส้นทาง

เนื่องจากเป็นการเดินทางไกลเลยต้องแวะพักกลางทางที่สนามบินอินชอนด้วย ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ได้นั่งเครื่องบินทั้งหมด 4 ไฟล์ท (ไป-กลับ) คือ กรุงเทพ-อินชอน, อินชอน-นิวยอร์ก, นิวยอร์ก-อินชอน, อินชอน-กรุงเทพ

ไฟล์ทระหว่างอินชอนกับนิวยอร์กให้บริการด้วย Airbus A380 ด้วย ส่วนไฟล์ทกรุงเทพ-อินชอน เป็นโบอิ้ง (จำรุ่นไม่ได้) อย่างไรก็ตามสายการบิน Korean Air ออกแบบที่นั่งของ Prestige Class ให้เหมือนกันอยู่แล้ว ประสบการณ์โดยรวมจึงแทบไม่ต่างกันมากนัก (ยกเว้นดีเทลเล็กๆ น้อยที่อาจต่างกันในแต่ละรุ่นเครื่องบิน)

ที่นั่งและห้องโดยสาร

ในฐานะที่เดินทางมาเยอะ ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าการนั่งเครื่องบินนานๆ มันจะมี pain point ที่สำคัญคือ "เก้าอี้"นั่นเองครับ ทั้งในประเด็นว่า

  • ต้องนั่งเบียดกับคนข้างๆ วางแขนไม่ถนัด (ถ้าเจอข้างๆ ว่างก็คือว่าโชคดีมาก)
  • ที่นั่งเอนได้น้อย นั่งเฉยๆ น่ะโอเคแต่ให้นอนนี่ลำบากมาก
  • ระยะห่างของช่วงวางขา (leg room) น้อย วางขาไม่สบาย นั่งแล้วเมื่อย
  • คนข้างหน้าเอนที่นั่งเยอะ มาเบียดเรา กินข้าว-ดูหนังลำบาก

ในเรื่องบริการอื่นๆ ผมคิดว่าไม่ซีเรียสมากเท่ากับเก้าอี้ คือถ้ามีเก้าอี้ดี ต่อให้กินอาหารไม่ดี เครื่องดื่มน้อย แอร์น้อย คนเยอะ หนังไม่สนุก มันก็ยังพอทนได้ แต่ถ้าเก้าอี้แย่ก็เป็นประสบการณ์แย่ๆ ไปตลอดการเดินทางนับสิบชั่วโมงเลย

Prestige Class ของ Korean Air ออกแบบที่นั่งโดยสารที่แก้ปัญหาข้างต้นได้ทั้งหมดครับ หน้าตาประมาณรูปด้านล่าง (ภาพจากเว็บ Korean Air)

Prestige class Seat

ของจริงหน้าตามันจะประมาณนี้ครับ

IMG_1504

A380 Korea Airline Seating

เจ้าเก้าอี้แบบนี้มันสามารถปรับได้ 3 ระดับคือ นั่งตรง (สำหรับทานข้าว) เอียงประมาณ 45 องศา (เวลาปกติ) และนอนราบ! ย้ำว่านอนราบ 180 องศาสมบูรณ์แบบ ให้ประสบการณ์นอนบนเครื่องที่ไม่มีวันลืมจริงๆ (แค่นี้ก็พอละ) หน้าตาปุ่มปรับระดับความเอียงเป็นตามรูป

A380 Korea Airline Seating

เนื่องจากมันเป็นแค่ Business Class ไม่ใช่ First Class ดังนั้นความเป็นส่วนตัวอาจไม่เยอะนัก คือไม่ได้เป็นคอกส่วนตัวแบบ First Class ของสายการบินทั่วไป เราจะมีคนมานั่งข้างๆ แชร์ที่วางแขน-ที่วางแก้วด้วย (แต่ก็จะไม่ชิดกันนัก) ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าไม่ใช่สาระสำคัญ คือจะมีคนแปลกหน้ามานั่งด้วยหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับประสบการณ์นอนราบ 180 องศานั่นล่ะครับ

A380 Business Class Seating

ออพชั่นเสริมของเก้าอี้ Business Class ได้แก่หนวดมนุษย์ต่างดาว (จริงๆ มันคือไฟอ่านหนังสือ) ช่องเสียบ USB ที่ชาร์จได้ในตัว และสามารถเอาเพลงใน mobile device ไปเปิดฟังกับระบบ in-flight entertainment ได้ด้วย

A380 Business Class Seating

นอกจากนี้ยังมีปลั๊กไฟที่ข้างขา ชาร์จโน้ตบุ๊กได้สบายๆ

A380 Korea Airline Seating

ระยะห่างระหว่างที่นั่งของเรากับคนข้างหน้า สุดเหยียดครับ!

A380 Korea Airline Seating

ด้านหน้ามีช่องเสียบรองเท้าเฉพาะตัว มีรองเท้าแตะให้ใส่เวลาเดินอยู่บนเครื่องด้วย

A380 Business Class Seating

จอภาพของ in-flight entertainment จะใหญ่กว่า Economy Class เยอะอยู่ และคุณภาพของสีดีกว่า มุมมองกว้างกว่ามาก (มันก็ไม่ดีถึงขนาดจอทีวีแต่ดีกว่าจอ Economy Class ที่มองผิดมุมก็ไม่เห็นแล้วแน่ๆ) จุดด้อยคงมีแค่ที่ใส่ของด้านหน้ามันเล็กไปนิด

A380 Business Class Seating

โต๊ะกินข้าวจะถูกพับเก็บในที่วางแขนด้านข้าง

A380 Business Class Seating

ยกโต๊ะขึ้นมา พับได้สองระดับ อันนี้โต๊ะกินขนมกินพื้นที่ครึ่งเดียว ถ้ากางออกเต็มๆ ก็เป็นโต๊ะกินข้าวปกติ

A380 Business Class Seating

รีโมทควบคุมระบบ in-flight entertainment ไม่มีอะไรพิเศษ หลักๆ ก็เน้นเลื่อนเคอร์เซอร์แล้วกดโอเค (จอภาพมันเป็นจอสัมผัสนะครับแต่มันจะอยู่ไกลมากจนแทบไม่ได้สัมผัสเลย)

A380 Business Class Seating

สำหรับเครื่องที่เป็น A380 จะมีเลาจ์เล็กๆ อยู่ท้ายเครื่องด้วย (A380 จะให้ Business Class นั่งชั้นบน ส่วน First กับ Economy นั่งชั้นล่าง) นั่งได้ประมาณ 3 คน จะมีแอร์คอยชงเครื่องดื่มให้ (แต่ผมไม่ได้กินหรอกนะ แค่กินอาหารตามปกติก็อิ่มโคตรละ)

IMG_1499

มีทีวีให้ดู นิตยสารให้อ่านเล็กน้อย เอาไว้มานั่งแก้เบื่อมากกว่ามาเสพย์อะไรจริงจัง (ไฟล์ทหนึ่งที่เป็น A380 มีสาวเกาหลีแม่ลูกอ่อน เอาลูกมาเลี้ยงตรงนี้ให้ลูกได้เดินเล่น มีแอร์สาวๆ เกาหลีช่วยกันเลี้ยงก็น่ารักดีครับ)

IMG_1502

ทางลงไปชั้น 1 ที่ท้ายเครื่องครับ เค้ากั้นไว้ไม่ให้ลง

IMG_1500

ห้องน้ำของ Business Class ไม่ต่างอะไรจากห้องน้ำปกติของ Economy Class ครับ (แต่จะมีห้องหนึ่งใหญ่พิเศษ เข้าใจว่าให้คนพิการหรือแม่ลูกอ่อนใช้เนี่ยแหละ) ที่แปลกหน่อยคงมีแค่แจกมีดโกนหนวดในห้องน้ำเลย

IMG_1497

ชุดคิตเดินทาง

ไฟล์ทระยะไกลๆ ส่วนใหญ่จะมีแจกชุดคิตสำหรับเดินทาง เช่น ผ้าปิดตา ถุงเท้า ฯลฯ ซึ่งของ Korean Air ก็แจกมาหนึ่งถุงเป็นของแบรนด์ Davi ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นของอเมริกา แต่มาผูกสัญญากับ Korean Air

Davi Travel Kit

Davi Travel Kit

อุปกรณ์ข้างในถุงก็หลากหลาย มีทั้งลิปมัน ครีมทาหน้า เจลต่างๆ แปรงสีฟัน เป็นต้น

Davi Travel Kit

ขากลับได้มาอีกถุง คนละสี ของข้างในเหมือนกันหมด

Davi Travel Kit

อาหาร

ผมใช้เวลาเดินทางอยู่บนเครื่องทั้งหมดเกิน 48 ชั่วโมง แปลว่าได้กินหลายมื้อมาก อาหารมื้อใหญ่จะเสิร์ฟเป็น full course เมนูกินกันจนล้น และมีอาหารมื้อเล็กแทรกเป็นระยะ

รูปแบบการกินจะมีเมนูมาแจกก่อนตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่อง แล้วแอร์จะนำมาเสิร์ฟทีละจานในภายหลังครับ

เริ่มจากเมนูอาหารเที่ยงก่อน

Lunch Menu

อาหารว่างเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มก่อนเข้ามื้ออาหาร เป็นหอยเชลล์ (scallop) กับซอสพริก paprika บด เป็นอาหารจานเย็น (cold dish) กินพอขำๆ ซอสรสชาติเฉยๆ ไม่เข้มข้นนัก

IMG_1488

อาหารเรียกน้ำย่อย แซลมอนรมควันกับผักสลัดครับ ที่เห็นถ้วยเหลืองๆ คือ olive oil เพิ่งกินเป็นก็งานนี้ โคตรอร่อยเลย

IMG_1490

บินกับเกาหลีทั้งที ก็ต้องมีอาหาร signature dish ที่เค้าภูมิใจนำเสนออย่าง Bibimbap ที่มีเสิร์ฟบนเครื่องด้วย จริงจังถึงขนาดมีคู่มือสอนกิน Bibimbap ด้วยนะ

Bibimbap menu

ถ้าเราเลือก main dish เป็น Bibimbap จะได้อาหารหน้าตาแบบนี้ ได้แก่ ข้าวสวย ผัก+เนื้อ ซุป เครื่องเคียง และซอสพริกหลอด

IMG_1496

ซอสพริกหน้าตาจริงจังมากครับ

IMG_1492

เครื่องเคียงเป็นกิมจิต่างๆ

IMG_1491

ผมไม่ได้ถ่ายภาพตอนคลุกเสร็จมาด้วยเพราะเอาแต่กิน แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่อร่อยเท่ากับ Bibimbap ในชามหินแบบที่เรากินตามร้านเกาหลีหรอก (มีให้กินบนเครื่องก็อเมซิ่งแล้ว) แต่ก็เป็นประสบการณ์การกิน Bibimbap ที่สนุกดี ซอสพริกไม่เผ็ดมาก (ผมต้องขอ 2 หลอดแน่ะ) และให้ผักมาเยอะมากเมื่อเทียบกับข้าว

อาหารหนักในชุดยังมีชีส (กินไม่เป็น) และขนมปัง (อิ่มแล้ว) เครื่องดื่มมีไวน์ เหล้า ชากาแฟ ชาเขียว ส่วนของหวานจริงๆ เลือกได้ว่าจะเอาเค้กหรือไอศกรีม

เลือกไอศกรีมเพราะอิ่มมาก มาเจอ Haagen-Dazs เป็นถ้วยแถมเพิ่งออกมาจากฟรีซ แข็งปั๊ก!

IMG_1505

มื้อต่อมาที่เจอเป็น Light Meal หรืออาหารเบาๆ ก่อนลงเครื่อง เลือกได้ 3 แบบ ผมเน้นของแปลกคือ Dongchimi บะหมี่เย็นของเกาหลี

Light Meal Menu

เกิดมาเพิ่งเคยกิน Dongchimi ก็เป็นประสบการณ์แปลกๆ ไปอีกแบบ แต่มันไม่ค่อยซาบซึ้งนักเพราะบนเครื่องบินมันหนาว มาเจอบะหมี่เย็นใส่น้ำแข็งเข้าไปอีกนี่หนาวจนน้ำตาไหล

IMG_1508

มื้อใหญ่มื้อถัดไปครับ อาหารเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มเป็นพริกย่าง (ถ้าจำไม่ผิดนะ)

IMG_1731

เรียกน้ำย่อยคือกุ้งกับหอยเชลล์ย่างพร้อมสลัด (อีกแล้ว) น้ำสลัดอร่อยมาก (อีกแล้ว)

IMG_1733

ขวดเกลือและพริกไทยน่ารักมากมาย

IMG_1735

เปลี่ยนเมนคอร์สมากินแบบฝรั่งบ้าง เป็นสเต๊กเนื้อซอสเห็ด อร่อยมากครับจานนี้ เนื้อนุ่ม มันฝรั่งทอดอร่อย แต่กินหมดแล้วจุกเลยแหละ

IMG_1736

มื้อใหญ่มื้อที่สามครับ ผักย่าง (ข้างใต้มันคือเห็ด) พร้อมน้ำมันมะกอก Balsamic Vinegar

IMG_1744

สลัดและชีส อร่อยอีกละ

IMG_1747

ผมมาซาบซึ้งกับการกินน้ำมันมะกอกกับ Balsamic Vinegar ก็งานนี้แหละ

IMG_1751

เมนรอบนี้เป็นข้าวผัดกับซีฟู้ดผัดน้ำมันหอย จานนี้เฉยๆ ไม่ถึงกับอร่อยมาก

IMG_1753

จานนี้มื้อไหนไม่รู้จำไม่ได้แล้ว เป็นสลัดพร้อมชีส อร่อยอีกเหมือนกัน (สลัดเค้าอร่อยทุกจานเลย)

IMG_1738

จานสุดท้ายแล้ว เป็นข้าวกับเนื้อผัด อร่อยอยู่

IMG_1740

เลาจ์

นอกจากบริการบนเครื่องแล้ว การบิน Business Class ยังมีข้อดีอีกประการคือได้นั่งเลาจ์ในสนามบิน มีขนมให้กิน มีเน็ตให้ใช้ มีห้องน้ำให้อาบ (ถ้ามีเวลาและอยากอาบนะครับ) ถือเป็นประโยชน์ต่อประสบการณ์เดินทางในภาพรวม

เริ่มจากที่สุวรรณภูมิก่อนนะครับ ถ้าบิน Business เราจะได้ตั๋ว Premium Lane สำหรับตรวจหนังสือเดินทางขาออกแบบรวดเร็ว (แยกจากช่องปกติอันแสนแออัด)

Premium Lane

ช่องตรวจหนังสือเดินทาง Premium Lane จะอยู่ด้านล่าง (ช่องปกติที่ทำใหม่จะต้องเดินขึ้นไปข้างบนก่อน 1 รอบ) ใครมีโอกาสก็เดินตามป้ายไปละกันครับ

Premium Lane at Suvarnabhumi

มาถึงส่วนของเลาจ์ Korean Air ไม่มีเลาจ์ของตัวเองที่สุวรรณภูมิ แต่ทำข้อตกลงให้ใช้เลาจ์ของ Air France ซึ่งจะอยู่ชั้น 3 ของผู้โดยสารขาออก (ต้องเดินลงไป 1 ชั้น) หน้าตาก็เก่าๆ นิดหน่อยแต่ไม่มีปัญหาอะไรในการให้บริการนะ มีคอมตั้งโต๊ะให้เล่นเน็ตด้วย

AirFrance Lounge at Bangkok Airport

AirFrance Lounge at Bangkok Airport

อาหารในเลาจ์ของ Air France ก็เน้นแปะแต่ภาพละกันนะครับคงไม่ต้องบรรยายอะไรเยอะ เริ่มจากขนม ไวน์ เครื่องดื่ม

AirFrance Lounge at Bangkok Airport

น้ำขวดและเครื่องกระป๋อง

AirFrance Lounge at Bangkok Airport

ชากาแฟ

AirFrance Lounge at Bangkok Airport

เบเกอรี่ มีให้เลือกประมาณหนึ่ง

AirFrance Lounge at Bangkok Airport

อาหารหนัก ซุป แซนด์วิช

AirFrance Lounge at Bangkok AirportAirFrance Lounge at Bangkok AirportAirFrance Lounge at Bangkok AirportAirFrance Lounge at Bangkok Airport

ซูชิ

AirFrance Lounge at Bangkok Airport

ติ่มซำ มาม่าคัพ

AirFrance Lounge at Bangkok Airport

ส่วนที่สนามบินอินชอน ฐานหลักของ Korean Air ย่อมมีเลาจ์อลังการรอเราอยู่ เลาจ์ของ Prestige จะแยกขาดจาก First และอยู่คนละจุดกันนะครับ ต้องเดินขึ้นไปข้างบนอีกชั้นตามป้าย

KAL Prestige Lounge

สายการบินอื่นๆ ที่มาขอใช้เลาจ์อันเดียวกันนี้ด้วย

KAL Prestige Lounge

เลาจ์ที่อินชอนบรรยากาศดีมาก ติดกระจกมองเห็นเครื่องบิน

KAL Prestige Lounge

มีโต๊ะสำหรับนั่งทำงาน+ใช้โน้ตบุ๊ก ที่ชาร์จไฟพร้อมสรรพ

KAL Prestige Lounge

โซนโซฟา หนังสือพิมพ์มีแต่ภาษาเกาหลีเกือบหมด

KAL Prestige Lounge

เคาเตอร์อาหารครับ หน้าตาดูโรงแรมมาก เพราะเอาท์ซอร์สให้โรงแรมมาทำ (เท่าที่อ่านจากป้าย)

KAL Prestige Lounge

เนื่องจากว่าไปสองทีก็เอาภาพอาหารของทั้งสองรอบมารวมกันเลย เริ่มจากมันอบ

KAL Prestige Lounge

เบคอน

KAL Prestige Lounge

ผักและสลัด

KAL Prestige Lounge

ซีเรียลและเบเกอรี่

KAL Prestige Lounge

Korea Lounge at JFK

ซุปงาดำ แปลกดี

KAL Prestige Lounge

ซุ้มเครื่องดื่ม อันนี้ก็มาตรฐาน ชากาแฟ

Korea Lounge at JFK

ตู้น้ำ ส่วนใหญ่เป็นน้ำอัดลม มีน้ำผลไม้กระป๋อง (แบบที่ต้องเปิดฝาแล้วเทลงแก้ว) และนมของเกาหลีอีกนิดหน่อย

KAL Prestige Lounge

Seoul Milk

KAL Prestige Lounge

เลาจ์ของ Prestige มีสองฝั่ง คือขึ้นบันไดไปเจอทางเข้า โชว์ตั๋วแล้วเราจะเดินแยกไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ ทุกอย่างเหมือนกัน แต่ห้องน้ำจะอยู่ฝั่งขวานะครับ

KAL Prestige Lounge

หน้าทางเข้ามีซุ้มโชว์ลูกฟุตบอลสำหรับฟุตบอลโลกด้วย น่าจะทำมาตั้งแต่บอลโลกปี 2002 แล้วค่อยๆ เพิ่มเข้ามา

KAL Prestige Lounge

เค้ากำลังตื่นเต้นกับ A380 กันอยู่กระมัง

KAL Prestige Lounge

ห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมไม่แยกหญิงชายครับ เข้าไปแล้วห้องใหญ่มีความเป็นส่วนตัวสูง

KAL Prestige Lounge

โถส้วมก็ไฮเทคมีระบบมากมายแบบเดียวกับญี่ปุ่น ลองเล่นดูก็สนุกดีเหมือนกัน

KAL Prestige Lounge

เครื่องที่เป็น A380 ใหญ่มาก มีสองชั้นตามที่เขียนไปแล้ว และใช้งวงคนละเส้นกันสำหรับผู้โดยสารคนละกลุ่ม (Prestige อยู่ชั้นบน)

Korea Airline A380

Korea Airline A380

สรุปคือ ประสบการณ์การบิน Business Class ครั้งแรกน่าประทับใจมาก จุดสำคัญคือที่นั่งได้นอนราบ อันนี้เยี่ยมยอดเหนือคำบรรยาย ส่วนอย่างอื่นถึงแม้ผมมองว่าไม่จำเป็นมาก (เช่น อาหาร ของแจก เลาจ์) แต่ก็ช่วยเสริมให้การเดินทางโดยรวมสะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก

ข้อจำกัดสำคัญคงเป็นเรื่องราคาที่แพงกว่า Economy หลายขั้น ดังนั้นโอกาสที่จะได้นั่ง Business อีกรอบก็คงต้องรอโชคชะตาฟ้าลิขิตต่อไปในครั้งหน้าครับ

Ore No ร้านอาหารสุดฮ็อตที่คนญี่ปุ่นกำลังฮิตในขณะนี้

$
0
0

ไปญี่ปุ่นมาครับ มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างเดี๋ยวค่อยๆ เขียนลงบล็อกไปตามแต่พลังจะอำนวย (สเปนยังเขียนไม่จบเลย)

ที่น่าสนใจจนต้องลัดคิวก่อนในบล็อกตอนนี้คือร้านอาหารสุดฮ็อตของญี่ปุ่น ณ บัดนาว (ปี 2013) ที่คนญี่ปุ่นต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อกินร้านนี้ ร้านนี้ชื่อว่า "โอเรโนะ" (Ore No หรือ 俺の) มีเปิดอยู่หลายสาขาในญี่ปุ่น แต่เพิ่งเปิดเมื่อปี 2012 นี้เอง (เว็บไซต์)

Ore No Ginza

คอนเซปต์ของ Ore No คือ "ของอร่อย เชฟคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้"ร้านจะเอาเชฟเก่งๆ เมนูเจ๋งๆ มาขายในราคาไม่แพงนัก ส่วนอาหารก็หลากหลายแต่เค้าจะแบ่งแยกกันตามร้านเลยนะครับ เบื้องต้นมีอาหารหลักๆ 3 ประเภทคือ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี แยกร้านกันชัดเจน ใครอยากกินร้านไหนก็เข้าร้านนั้น (ฝรั่งเศสจะฮิตฮ็อตที่สุด ตามด้วยอิตาลี และญี่ปุ่น)

จุดเด่นอีกประการของ Ore No คือ "ยืนกิน"เท่านั้น ไม่มีเก้าอี้ เป็นโมเดลแบบเดียวกับบาร์ของฝรั่งที่มีโต๊ะสูงๆ ให้ยืนกิน ร้านจะเล็กๆ เบียดๆ แถมต้องยืนกิน พอมาเจอคนเยอะมหาศาล ต้องต่อคิวหน้าร้านเป็นชั่วโมง ได้เข้าร้านแล้วก็ต้องมายืนกินอีก ใช่ครับ คนญี่ปุ่นทนได้เพราะมันเด็ดจริง!

ผมโชคดีที่มีเพื่อนคนไทยผู้เชี่ยวชาญพาไปกินครับที่สาขากินซ่าครับ (สามร้านอยู่ใกล้ๆ กัน) ตอนแรกไปต่อคิวที่Ore No French Ginzaอยู่ตั้งนานเป็นชั่วโมง เพื่อจะพบว่าของหมดเร็วมาก (เขามีกระดาษเขียนแปะไว้หน้าร้าน และขีดฆ่าออกเป็นพักๆ ว่าอะไรหมดแล้ว)

Ore No Ginza

เราเลยแก้ไขสถานการณ์โดยส่งคนไปดูลาดเลาที่ร้าน Ore No Italian Ginzaที่อยู่ใกล้ๆ กัน พบว่าคิวน้อยกว่า อาหารยังเหลือ ก็เลยสลับไปต่อคิวร้านนี้แทน รออยู่สักพักก็ได้เข้าไปในร้าน (ส่วนร้าน Oreno Japan นี่คนโล่ง ไม่ต้องต่อคิวเลย ซึ่งเพื่อนผมบอกว่าอร่อยจริงแต่คนญี่ปุ่นเบื่ออาหารญี่ปุ่นมากกว่า)

Ore No Ginza

เมื่อได้เข้ามาในร้านก็ตามภาพครับ ร้านก็เล็กๆ ประมาณนี้แหละ มีทั้งแบบโต๊ะสูงล้อมๆ กันและนั่งเคาเตอร์ พื้นที่วางจานมีน้อยมาก ต้องบริหารออเดอร์กันดีๆ (ร้านไม่มีจำกัดเวลา ไม่มีจำกัดจำนวน แต่เนื่องด้วยพื้นที่จำกัดและต้องยืนกิน ทำให้คนกินไม่แช่ กินไวออกไว)

Ore No Ginza

เชฟก็ทำให้ดูกันสดๆ ตรงนั้นเลยครับ ได้บรรยากาศดี

Ore No Ginza

Ore No Ginza

ใครชอบไวน์หรือแชมเปญก็มีให้สั่ง บางวันก็มีโปรโมชั่นเครื่องดื่มเป็นพิเศษด้วย

Ore No Ginza

ปัญหาสำคัญของคนต่างชาติแบบเราคือเมนูเป็นญี่ปุ่นล้วนครับ ใครที่จะตามรอยก็ต้องพึ่งพาคนที่อ่านออกมาช่วยสั่งให้นะ

Ore No Ginza

เข้าเรื่องของอาหารกันเลยครับ จานแรกเริ่มจากหอยเชลล์ (hotate) กับครีม ไข่ปลา และสลัด

หอยสดแบบไม่น่าเชื่อ (ทริปนี้กินหอยเยอะเลยพอแยกแยะได้) ส่วนครีมแม้หน้าตาดูฝรั่งๆ ไม่น่าจะเข้ากันเท่าไร แต่กลับเข้ากันกว่าที่คิด ส่วนผักก็รสเปรี้ยวมาตัดเลี่ยนได้ดี

Ore No Ginza

ต่อมาเป็น "พิซซ่า"ครับ พิซซ่าแบบอบสด หน้าตาและแนวทางแบบอิตาเลียนแท้ แผ่นบางๆ หน้าเยิ้มๆ (ซึ่งต่างจากพิซซ่าแบบอเมริกันมาก) ที่แปลกหน่อยคือราดหน้าไข่แบบไม่สุกมาด้วย แล้วก็มีใส่เห็ดทรัฟเฟิลมาด้วย ตอนกินนี่อารมณ์แบบกินพิซซ่าจุ่มไข่เลย เยิ้มๆ ไหลๆ

Ore No Ginza

จานนี้คือทะเลรวมมิตรครับ มีหอยสองชนิด ปลา ปลาหมึก อบมาพร้อมกับมะเขือเทศ ทีเด็ดอยู่ที่ปลา เนื้อเด้งมาก น้ำซอสรสชาติจางๆ ไม่แย่งความเด่นของเนื้อสัตว์

Ore No Ginza

เริ่มเข้าสู่อาหารหนักกันบ้าง จานนี้คือข้าวริซ็อตโตะ (risotto) ใส่ทรัฟเฟิล แล้วโปะมาด้วย "ฟรัวกราส์"อีกทีหนึ่ง (ฟรัวกราต์นี่เป็นอาหารจานเด็ดของที่นี่เลย)

ริซอตโต้นี่เป็นอาหารที่หาอร่อยๆ กินยาก แต่ร้านนี้เขาเด็ดจริง แถมใช้ข้าวญี่ปุ่นทำริซอตโต้ด้วยนะครับ ส่วนฟรัวกราส์ก็อ่อนนุ่ม ละลายในปาก กินพร้อมกับข้าวแล้วแทบไม่รู้สึกว่ามันมีตัวตนอยู่

Ore No Ginza

จานต่อมาเป็นพาสต้าแบบเกี๊ยว (ผมไม่แน่ใจว่ามันเรียกอะไรแฮะ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ) หน้าตาดูจืดๆ แต่ครีมอร่อยมากผิดคาด เกี๊ยวเป็นไส้ฟักทองด้วยครับ

Ore No Ginza

จานนี้เป็น "ทีเด็ด"ของร้านนี้เลยครับ (และเป็นเหตุที่เราย้ายร้านเพราะร้าน French ของหมด) มันคือสเต๊กเนื้อโปะมาด้วยฟรัวกราส์ชิ้นโต อร่อยโคตรๆ ทั้งเนื้อและฟรัวกราส์ เนื้อนิ่มมาก ส่วนฟรัวกราส์นี่เกรียมข้างนอก แต่กัดแล้วความอร่อยภายในมันจะทะลักออกมาในปาก กินแล้วละลาย

Ore No Ginza

หอยแมลงภู่อบแชมเปญครับ ผมเคยกินอาหารแบบนี้มาแล้วที่เบลเยียม ต้องบอกว่าของร้านนี้เป็นรองอยู่นิดหน่อยแต่ก็ถือว่าอร่อยมากเช่นกัน

Ore No Ginza

จานปิดท้ายเป็น เนื้อแกะอบกับผักย่าง แกะแทบไม่มีกลิ่นเหม็นสาบเลย ย่างได้เกรียมกรอบแต่เนื้อในยังชุ่ม ส่วนผักย่างโดยเฉพาะมะเขือม่วงก็อร่อยมากๆ

Ore No Ginza

ทั้งหมดนี้กินกัน 5 คน รวมเครื่องดื่มด้วยแล้วหมดไปคนละเกือบ 3,000 เยน ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,000 บาทต่อหัว ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพญี่ปุ่น และคุณภาพอาหารระดับนี้

Oreno Bill

สรุปแล้ว ร้านนี้มีดีกรีความอร่อยแบบห้ามพลาด เพียงแต่กระบวนการก่อนจะได้กินอาจต้องใช้ความอดทนสูงมาก + เมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ถ้าใครเงื่อนไขครบ มีโอกาสไปเยือนก็แนะนำเป็นอย่างยิ่งครับ

Keyword:

Unicorn Club: Founders Story

$
0
0

บทความน่าสนใจในแวดวง startup ของอเมริกาครับ Welcome To The Unicorn Club: Learning From Billion-Dollar Startups

ผู้เขียนบทความย้อนดูสถิติการลงทุนใน startup ของสหรัฐ 10 ปีย้อนหลัง (2003-2013) เพื่อหา "แพทเทิร์น"ของ startup ที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้เขียนใช้เกณฑ์ว่าต้องมีมูลค่าตามราคาหุ้น (ไม่ว่าจะอยู่ในตลาดหรือไม่) ที่ 1,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป โดยผู้เขียนเรื่องบริษัทที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ว่า "Unicorn"

ผลปรากฏว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มี unicorn เกิดขึ้นในสหรัฐทั้งสิ้น 39 บริษัท หรือคิดเฉลี่ยง่ายๆ คือปีละ 4 บริษัท โดยมีบริษัทระดับ super unicorn (มูลค่ามากกว่า 100 billion) อยู่หนึ่งบริษัทคือ Facebook

การเกิดขึ้นของ unicorn ไม่ใช่เรื่องง่าย เทียบอัตราความสำเร็จจากบริษัทที่ได้รับเงินลงทุนทั้งหมดแล้ว โอกาสประสบความสำเร็จระดับ 1 billion มีแค่ 0.7% เท่านั้นเอง

สถิติที่น่าสนใจอื่นๆ

  • บริษัทด้าน enterprise มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าบริษัทสาย consumer
  • ระยะเวลาเฉลี่ยนับจากตั้งบริษัท มาจนถึงประสบความสำเร็จทางการเงิน (เช่น ขายหรือเข้าตลาด) อยู่ที่ 7 ปี ความสำเร็จต้องอดทนรอ
  • อายุเฉลี่ยของผู้ก่อตั้งที่ประสบความสำเร็จคือ 34 ปี ตรงนี้จะขัดกับเทพนิยาย "วัยรุ่นอายุ 20 กว่าๆ ลาออกจากมหาวิทยาลัย เปิดบริษัทในโรงรถแล้วเปลี่ยนโลก"อยู่มาก คือมันมีเทพนิยายแบบนี้อยู่จริง แต่เป็น exceptional case ไม่ใช่ค่าเฉลี่ย
  • ยิ่งเป็นบริษัทสาย enterprise ผู้ก่อตั้งยิ่งมีอายุเฉลี่ยมาก ในขณะที่สาย consumer มีอายุเฉลี่ยน้อย
  • แพทเทิร์นที่พบในบรรดาผู้ก่อตั้งบริษัทระดับ unicorn คือส่วนใหญ่เคยร่วมทีม ร่วมงาน ร่วมสถาบันกันมาก่อนเปิดบริษัท เรียกว่าเรียนรู้กันมาในระดับหนึ่งแล้วค่อยออกมาท่องยุทธจักรด้วยกัน
  • ผู้ก่อตั้งที่เป็นซีอีโอด้วย 76% อยู่กับบริษัทยืดจนถึงวันที่ประสบความสำเร็จด้านการลงทุน แปลว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ผู้ก่อตั้งที่เป็นแกนหลักจะอยู่กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง (บริษัทสาย enterprise นิยมเปลี่ยนตัวซีอีโอมากกว่าสาย consumer)
  • ค่าเฉลี่ยคือ 2 ใน 3 คนของทีมผู้ก่อตั้งจะอยู่กับบริษัทยืด นั่นแปลว่าจะมีคนออกไปกลางทางหนึ่งคนโดยเฉลี่ย
  • 80% ของบริษัท unicorn มีอย่างน้อยหนึ่งคนในทีมผู้ก่อตั้ง ที่เคยเปิดบริษัทมาก่อนแล้ว เรียกว่าประสบการณ์ช่วยนำทางให้ประสบความสำเร็จได้อีก
  • 90% ของบริษัท unicorn ทำธุรกิจตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่เปลี่ยนแผนธุรกิจกลางทาง (บริษัทที่เปลี่ยนแผนกลางทางแล้วยังสำเร็จ เป็นสาย consumer ทั้งหมด)

รายละเอียดอื่นๆ อ่านได้ตามลิงก์นะครับ ผมยกมาเฉพาะส่วนของผู้ก่อตั้งเท่านั้น

เหตุผลที่ยกมาก็เพราะว่า การเปิด startup เป็นกระบวนการที่ต้องเผชิญกับความท้อแท้อยู่เสมอ สิ่งที่ช่วยได้คือการเรียนรู้ว่า ปัญหาที่เราเจอในตอนนั้นไม่ใช่ปัญหาที่เราเจอคนเดียว บริษัทไหนๆ ก็ต้องเจอกับปัญหานี้ และสถิติเหล่านี้ก็บอกได้ว่าบริษัทระดับ unicorn ต้องผ่านอะไรมาบ้างจึงจะประสบความสำเร็จได้ระดับนี้ น่าจะพอเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนกำลังใจให้กับ founders ทุกท่านสู้ต่อไปครับ

Artnia คาเฟ่และร้านขายของที่ระลึกของ Square Enix

$
0
0

เขียนเรื่องไปเที่ยวญี่ปุ่นต่อนะครับ เน้นสถานที่แปลกๆ ที่คนไม่ค่อยรู้จักก่อนแล้วถ้ามีเวลาค่อยเขียนถึงสถานที่ดังๆ ตามมาตรฐานนะครับ

เรื่องของบล็อกตอนนี้มีอยู่ว่า ผมนอนโรงแรมแถวชินจูกุ และมีอยู่วันหนึ่งก็ลองขึ้นจากรถใต้ดินในประตูที่ต่างไปจากปกติ เดินสำรวจเล็กน้อยแล้วก็ไปพบกับป้ายนี้เข้า

Square Enix

อดีตติ่งไฟนอลฯ แบบเราก็กรี๊ดสิครับ มันคือสำนักงานใหญ่ของ Square Enix ที่ชินจูกุนั่นเอง (ชาวบ้านในวงการก็รู้กันแหละนะ มีแต่เราที่ไม่รู้เรื่องเอง)

กลับโรงแรมมาดูข้อมูลผ่านเว็บ ก็พบว่าเค้ามี "คาเฟ่"และร้านขายของที่ระลึกเปิดอยู่ด้วย วันถัดๆ มาเลยแวะไปเดินเล่นครับ

Artia Square Enix Shinjuku

คาเฟ่นี้ชื่อว่า ARTNIA รูปล่างเป็นโดมทรงกลมอยู่ด้านหลังของตึก Square Enix ที่ชินจูกุ (ถ้าเรานับถนนใหญ่เป็นด้านหน้านะ) ข้างๆ กันจะมีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่อยู่ หาไม่ยาก

Artia Square Enix Shinjuku

ตัวอาคารไม่ใหญ่มาก แบ่งออกเป็น 3 โซนคือ คาเฟ่ ขายของที่ระลึก และโชว์รูมโชว์ของที่ระลึก เริ่มจากคาเฟ่ก่อนครับ ไม่ใหญ่อะไรนัก เผอิญไม่ได้ทดลองกินเพราะไปตอนดึกแล้ว แถมคนเยอะชนิดว่าต้องรอคิว (เมนูอาหารมีเครื่องดื่มชื่อ เอลิกเซอร์ ด้วยนะ)

Artia Square Enix Shinjuku

โซนโชว์รูมเป็นห้องจัดแสดงของที่ระลึก ซึ่งผมเข้าใจว่าเขาจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของที่จะโชว์ไปเรื่อยๆ ซึ่งธีมรอบนี้เป็นการฉลองอายุครบ 11 ปีของ Final Fantasy XI นี่ล่ะครับ ก็จะเป็นสินค้าใหม่ๆ ที่ทำมาเพื่อฉลองให้กับแฟนๆ ของ FFXI รวมถึงบางอย่างก็มีขายเฉพาะใน ARTNIA ด้วย

Artia Square Enix Shinjuku

บรรยากาศในห้องนี้ก็ดูเคร่งขรึม สีดำขาวแดง เน้นกระจกและแสงสะท้อนอย่างเต็มที่

Artia Square Enix Shinjuku

ของที่ระลึกแนวหรูหรา เครื่องประดับ สร้อย กำไล ต่างหู พวกนี้ก็อยู่ในโซนโชว์รูมครับ ใครอยากได้ดาบและโล่ห์ของโรโตะไปห้อยกระเป๋าก็ต้องมาแถวนี้

Artia Square Enix Shinjuku

น้ำตกที่ใจกลางห้อง และคริสตัลสีแดงที่ลอยอยู่

Artia Square Enix Shinjuku

สุดท้ายเป็นโซนของที่ระลึกที่อยู่ติดกับคาเฟ่ครับ ก็จะมีสินค้าสารพัดมาวางเรียกเงิน ทั้งจาก Dragon Quest, Final Fantasy และมี Kingdom Hearts มาแจมๆ ด้วยนิดหน่อย

Artia Square Enix Shinjuku

ฝั่งของ DQ นี่ชัดเจนมากว่าเป็นสไลม์แทบทั้งหมด

Artia Square Enix Shinjuku

Artia Square Enix Shinjuku

Artia Square Enix Shinjuku

ฝั่งไฟนอลก็กระจายๆ ครับ ตัวแปลกๆ อย่างซาโบเทนดาก็มีนะ (ไม่รู้ขายไหมแฮะตัวนี้)

Artia Square Enix Shinjuku

โจโคโบะก็มีเป็นมาตรฐาน แต่ดูไม่ค่อยเน้นเท่าไร

Artia Square Enix Shinjuku

ใครสนใจตามไปก็เข้าไปดูรายละเอียดในเว็บของ ARTNIA

การเดินทางง่ายที่สุดให้ลงสถานีรถไฟใต้ดิน Higachi Shinjuku (เป็นสถานีที่อยู่ติดกับ Shinjuku) ออกทางออกเบอร์ A3 จะโผล่มาหน้าตึกของ Square Enix เลย แล้วก็เดินอ้อมมาหลังตึกครับ (Google Maps)


Baratie Odaiba ภัตตาคารของซันจิแห่ง One Piece

$
0
0

บล็อกญี่ปุ่นเนื้อหายังวนๆ อยู่ที่การ์ตูน-อนิเมะอยู่ครับ ถัดจาก คาเฟ่ Final Fantasyเรามาดู "คาเฟ่วันพีซ"กันบ้าง

คนที่ติดตามวันพีซคงทราบกันดีว่า "ซันจิ"เดิมทีทำงานอยู่ที่ภัตตาคารลอยทะเล "บาราติเอ" (Baratie) ก่อนจะมาเข้าร่วมขบวนการโจรสลัดหมวกฟาง

One Piece Baratie Odaiba

ความโด่งดังของวันพีซที่ญี่ปุ่น (กลับกันกับฝรั่งที่บ้านารุโตะ) ทำให้ทุกสิ่งอย่างกลายเป็นวันพีซไปหมด ช็อปเปอร์กลายเป็นตัวละครที่อยู่บนของที่ระลึกทุกชนิด ขึ้นไปเทียบชั้นโดเรมอนและคิตตี้เรียบร้อย และในที่สุดภัตตาคาร "บาราติเอ"ก็ถูกสร้างขึ้นจริงๆ ซะด้วย

ภัตตาคารนี้อยู่ที่โอไดบะ (Odaiba) ซึ่งเป็นเขตเมืองใหม่ของโตเกียว (ที่เกิดจากการถมทะเล) บริเวณแถบโอไดบะมีห้างสรรพสินค้ามากมาย โดย Baratie ตั้งอยู่ที่ตึกของ Fuji TV ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของโอไดบะครับ (ตึกที่มีลูกเหล็กกลมๆ อยู่ในรูปนั่นแหละ)

Odaiba Seaside

วิธีเดินทางไปตึกสำนักงาน Fuji TV ที่ง่ายที่สุดคือนั่งรถไฟฟ้าไปครับ รถสายที่ไป Odaiba เป็นโมโนเรลสายพิเศษที่แยกจากระบรถใต้ดินของโตเกียว เรียกว่า Yurikamome ซึ่งสามารถขึ้นได้ที่สถานี Shimbashi แล้วก็มาลงที่สถานี Daiba จะเดินใกล้ที่สุด

หน้าตึก Fuji TV ก็ตามภาพครับ เราจะต้องขึ้นบันไดเลื่อนที่เป็นปล่องไปยังชั้น 7 ก่อน

Odaiba Fuji TV

ลูกเหล็กกลมๆ ของ Fuji TV เป็นจุดชมวิวด้วย ถ้าใครคิดว่าไหนๆ ก็มาถึงแถวนี้แล้ว ก็สามารถซื้อบัตรขึ้นไปชมวิวได้จากซุ้มตรงหน้าบันไดเนี่ยแหละ (ค่าตั๋ว 500 เยน) ส่วน Baratie ไม่ต้องใช้บัตรนะ

Odaiba Fuji TV

ขึ้นบันไดเลื่อนตามทางไปเรื่อยๆ ครับ มันจะมี 2 ขยักคือชั้น 5 และชั้น 7 ซึ่งเป้าหมายของเราคือชั้น 7 นะ (ชั้น 5 เป็นมิวเซียมของ Fuji TV เอง)

Odaiba Fuji TV

ขึ้นไปชั้น 7 ปั๊บก็หาไม่ยากครับ หน้าบันไดจะมีสองอย่างนี้เด่นเป็นสง่า ได้แก่ หัวเรือโกอิ้งแมรี่ยักษ์ และปลายักษ์ทางเข้าร้าน Baratie (ซึ่งสร้างตามแบบในการ์ตูน)

Odaiba Fuji TV

แน่นอนว่าหัวเรือโกอิ้งแมรี่ก็เป็นจุดถ่ายรูปสำคัญที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่าย

Odaiba Fuji TV

ข้างๆ ยังมีคาแรกเตอร์ยอดนิยมทั้งลูฟี่และช็อปเปอร์ให้ถ่ายรูปด้วย

One Piece Baratie Odaiba

ป้ายร้าน Baratie ส่วนทางขวามือในรูปเป็นลิฟต์ขึ้นไปชมวิวที่ Observation Deck ของ Fuji TV ครับ (มาซื้อตั๋วตรงนี้แทนก็ได้)

Odaiba Fuji TV

โลโก้แบบชัดๆ Baratie One Piece Restaurant

Odaiba Fuji TV

ทางเข้าร้านแบบชัดๆ ข้างๆ ก็เป็นร้านขายของเล่น ของที่ระลึก หลอกเด็กเล็ก และเด็กแก่ (แบบเรา) ให้เสียเงิน

Odaiba Fuji TV

เข้าไปในร้านกันดีกว่าครับ ผมมาตอนบ่ายๆ แล้วคนเลยน้อย แต่เห็นว่าตอนเที่ยงๆ คนเยอะต้องรอคิวเลยแหละ (ขายอาหารทั้งเที่ยงและเย็น)

Odaiba Fuji TV

เข้าไปในร้านปั๊บก็จะเจอกับ "ซันจิ"ยืนหล่ออยู่ พร้อมด้วยสัตว์ทะเลทั้งหลาย

One Piece Baratie Odaiba

การตกแต่งเป็นวันพีซทั้งหมด เพดานก็มีแผนที่แกรนด์ไลน์ครับ

Odaiba Fuji TV

สัตว์ทะเลสารพัดชนิดรอการลิ้มลองจากท่าน

Odaiba Fuji TV

เมนูอาหาร แบบเต็มๆ ดูได้จาก เว็บของร้าน Baratie (ญี่ปุ่นล้วน, Google Translate ช่วยได้) มีทั้งอาหารที่อิงตามคาแรกเตอร์ในเรื่อง และอาหารธรรมดาที่ไม่ค่อยเกี่ยวกัน

จากภาพด้านซ้าย รูปกลางเป็นสเต๊กของแชงคูส (3 รอยบาก) และรูปล่างคือ ข้าวแกงกะหรี่ของโคบี้

One Piece Baratie Odaiba

เครื่องดื่มตามตัวละครในโจรสลัดหมวกฟางเกือบครบคน (ดูสัญลักษณ์ประกอบ) ของนามิเป็นน้ำส้ม ของซันจิเป็นบลูโซดา

One Piece Baratie Odaiba

อาหารอื่นๆ และของหวานครับ ที่เจ๋งคืออาหารทานเล่นในหน้าซ้ายล่าง เป็นกล่องสมบัติ (ไก่ทอด เฟรนช์ฟราย) ด้านขวามีขนมทำเป็นหน้าบากี้ด้วย (ผมเข้าไปดูเว็บล่าสุด เหมือนเมนูจะเปลี่ยนแล้ว)

สำหรับคนที่อยากได้ของเจ๋งจริงๆ ต้องไปตอนเย็นแล้วสั่ง Dinner Course จะมีของหวานพิเศษที่ไม่มีเป็นเมนูแยกคือ "ผลปีศาจ"ให้ด้วยนะ (ดูภาพกันเองในลิงก์เมนูข้างบน)

One Piece Baratie Odaiba

เนื่องจากว่าไปกันตอนบ่ายๆ เลยยังไม่ทันหิว สั่งขนมมาจานนึงพอ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นขนมที่ซันจิทำให้สาวๆ บนเรือกินในเรื่อง

One Piece Baratie Odaiba

กินๆ ถ่ายรูป ไปสักพัก ก็มีเสียงดังมาจากในครัวครับ ทุกคนในร้านก็หันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น

ปรากฏว่าเป็นเขาเองครับ เซฟขาแดง!!! มาได้ไงเนี่ย

One Piece Baratie Odaiba

เซฟออกมาโหวกเหวกตามบทอยู่สักครู่ ก็เดินออกมาถ่ายรูปกับแฟนๆ (มีขาเดียวจริงๆ นะ ไม่รู้ยัดกันยังไง)

One Piece Baratie Odaiba

ไทยฝรั่งขอถ่ายรูปกันหมด คุยกับพนักงานเสิร์ฟแล้วเขาบอกว่าเซฟจะออกมาเป็นพักๆ ไม่มีตารางกำหนดการที่แน่นอน (สุ่มออกมาวันละ 6 รอบ) ใครได้เจอก็โชคดีหลายๆ

One Piece Baratie Odaiba

ออกมาจากร้านก็มีสารพัดของเล่นล่อใจครับ เริ่มจากตู้กาจาปองเป็นทิวแถวอยู่หน้าร้านเลย สารพัดซีรีส์ของวันพีซมีเป็นกาจาปองหมด

Odaiba Fuji TV

ของชำร่วยสารพัดชนิดในญี่ปุ่น แปะคาแรกเตอร์วันพีซแล้วขายได้หมด อันที่เห็นเป็นพวงกุญแจสโมสรฟุตบอลใน J-League ที่ห้อยคาแรกเตอร์ลูฟี่ โซโล ช็อปเปอร์ ฯลฯ (มันเกี่ยวกันตรงไหน?)

Odaiba Fuji TV

ไหนๆ เขียนถึง Fuji TV แล้วก็ขอเอามาต่อให้จบนะครับ ผมซื้อตั๋วขึ้นไปยังชั้น 25 จุดชมวิวด้วย ขึ้นไปก็เป็นโดมโล่งๆ ไม่มีอะไรมากครับ

Odaiba Fuji TV

ช่วงนี้ Fuji TV กำลังโปรโมท Minion อยู่ ก็จะมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Minion เต็มไปหมดเช่นกัน

Odaiba Fuji TV

Odaiba Fuji TV

นอกจาก Minion ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก ที่เหลือก็มีแต่วิวอย่างเดียว มองลงไปเห็นนครโตเกียวที่ฝั่งตรงข้าม

Odaiba View from FujiTV

สะพาน Rainbow Bridge ตอนยังไม่มืดครับ

Odaiba View from FujiTV

ตอนมืดแล้ว ถ่ายด้วย Lumia 1020 แบบแนบกระจกถ่าย ได้รายละเอียดดีทีเดียว

Odaiba View from FujiTV

มุมใกล้ๆ กัน ถ่ายด้วย Olympus EP-M แบบไม่มีขาตั้ง

Odaiba Fuji TV

มืดกว่านั้นอีกหน่อยด้วย Lumia 1020

Odaiba View from FujiTV

เรื่องราวของ Baratie คงจบแค่นี้ แต่เรื่องราวของวันพีซยังไม่จบลง รอติดตามได้ในตอนต่อๆ ไป

หมายเหตุ: ทั้งร้านขายของที่ระลึกและ Observation Deck ปิดเวลา 18.00 วางแผนเดินทางกันดีๆ นะครับ

1/1 Gundam ขนาดเท่าของจริงที่ Odaiba

$
0
0

บล็อกญี่ปุ่นยังอยู่ที่หัวข้อการ์ตูนกันอยู่นะครับ ที่ย่านโอไดบะ นอกจากมีภัตตาคารวันพีซก็ยังมี "กันดั้ม"ตัวเท่าของจริงอยู่ไม่ไกลกันนัก

Gundam Odaiba

กันดั้มตัวนี้เป็น First Gundam หรือ RX-78-2 ขนาดเท่าของจริง (ภาษาพลาโมเรียก 1/1) ตั้งอยู่ที่หน้าห้าง DiverCity ในย่านโอไดบะครับ

วิธีการเดินทางก็ดูจากตอนที่แล้วได้เลย นั่งรถไฟไปลงสถานี Daiba แล้วเดินมาทาง Fuji TV ทะลุมาเรื่อยๆ จะเป็นสะพานข้ามทางด่วน เดินมาอีกหน่อยนึงจะเป็นห้าง DiverCity เห็นด้านข้างตามภาพ (คือตัวห้างหันหลังให้ทางด่วน) เดินอ้อมมุมตึกมาหน่อยก็จะเจอกันดั้มยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หนึ่งตัว

Odaiba

กันดั้มตัวนี้ไม่ได้ยืนอยู่เฉยๆ แต่มันสามารถหันหัวไปมาได้ด้วยครับ มีโชว์แสงสีเสียงนิดหน่อยเป็นพักๆ พอให้คนเดินผ่านไปผ่านมาได้ตื่นเต้น

Gundam Odaiba

Gundam Odaiba

ดีเทลครบครันครับ (รูปนี้ถ่ายด้วย Lumia 1020 ซูมได้ระดับนี้เลย) มีปล่อยควันได้ด้วย

Gundam Odaiba

ด้านหลัง

Gundam Odaiba

ใกล้ๆ กันก็มีร้าน Gundam Cafe เป็นคาเฟ่และขายของที่ระลึก

Gundam Odaiba

ผมว่ามันไม่ค่อยมีอะไรนะ ถ้าไม่นับพลาโมที่ซื้อแถวไหนก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นของกินครับ ของที่ระลึกก็มีแต่ทำไม่ค่อยดี ที่เจ๋งหน่อยก็อย่างเช่น กาแฟจากฐานทัพ Jaburo (บราซิล)

Gundam Odaiba

ของกินในคาเฟ่ก็ดูกิ๊กก๊อกไปหน่อย ที่พอไวก็อย่างเค้กรูปแซคเวอร์ชันดาวหางสีแดง

Gundam Odaiba

จบแล้วครับ ตอนนี้สั้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรให้เขียนเท่าไร เอาเป็นใครเป็นแฟนกันดั้มแล้วบังเอิญผ่านไปแถวนั้นพอดีก็ไม่ควรพลาด แต่ถ้าจะดั้นด้นไปแค่ถ่ายรูปกับกันดั้มขนาด life size แบบนี้ก็คงไม่ค่อยคุ้มล่ะนะ

Gundam Odaiba

Update WordPress Over SSH/SFTP

$
0
0

มีเหตุให้ต้องมาดูแลระบบ WordPress ครับ เนื่องจากไม่ถนัดเท่าไร พอมาเจอปัญหายากๆ หน่อยเลยต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมบ้าง พอแก้ปัญหาได้แล้วก็มาบันทึกไว้หน่อยเพื่อเป็นความรู้แด่ชนรุ่นหลังที่พบปัญหาเดียวกัน

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ WordPress คือระบบอัพเดตซอฟต์แวร์แบบคลิกเดียวอยู่ (ปลอดภัยแค่ไหนอีกเรื่องนึง แต่มันใช้ง่ายจริงๆ) ปัญหามีอยู่ว่าถ้าเซิร์ฟเวอร์ไม่ได้เป็น FTP ธรรมดา แต่เป็น SFTP หรือ FTP บน SSH (ซึ่งก็เป็นคนละอย่างกับ FTPS หรือ FTP บน SSL ด้วยนะ!!!) จะไม่สามารถใช้การอัพเดตแบบนี้ได้

ทางออกคือลงปลั๊กอิน SSH SFTP Updater Supportเพิ่มเติมครับ เมื่อลงเสร็จแล้วหน้าจออัพเดตจะมีช่องเพิ่มเข้ามาดังภาพ

wordpress-sftp-update

ที่เหลือก็ป้อนข้อมูลกันตามสะดวกครับ ใครใช้รหัสผ่านก็ป้อนรหัส ใครใช้คีย์ก็ป้อนคีย์

จะมีนิดนึงคือถ้าเป็น SSH พอร์ตไม่มาตรฐานจะต้องทำอย่างไร ผมอ่านดูใน support forum ของปลั๊กอินเขาใช้วิธี localhost:2222 แต่ผมลองแล้วไม่เวิร์ค กลับกลายเป็นว่า localhost ธรรมดาไม่ต้องระบุพอร์ตนี่ล่ะ เวิร์คเฉยเลย

กินราเม็งที่ Aqua City Odaiba

$
0
0

ญี่ปุ่นเป็นชาติแห่งราเม็ง มีร้านราเม็งชื่อดังมากมาย และก็มีคนหัวใสพยายามรวมร้านราเม็งดังๆ จากทั่วประเทศมาไว้ในห้างสรรพสินค้าหรือมอลล์กันอยู่พอสมควร

เมื่อ 7 ปีก่อน (นานแล้วเนอะ) ผมเคยไปกินที่ศูนย์ราเม็งในห้าง Aqua City Odaibaอีก 7 ให้หลังเมื่อได้ไปเยือนแถบนั้นอีกก็เลยไปกินระลึกความหลังครับ (เข้าใจว่าร้านมันเปลี่ยนไปหมดแล้วน่ะ)

Odaiba

ศูนย์ราเม็งจะอยู่ที่ชั้น 5 ของ Aqua City ใกล้ๆ กับบันไดกลางครับ หาไม่ยาก

รายละเอียดของร้านต่างๆ เวอร์ชันปัจจุบัน สามารถดูได้จาก เว็บของ Aqua Cityโดยมีราเม็งให้เลือก 7 ร้าน และเกี๊ยวซ่าอีก 1 ร้าน

Odaiba Ramen Stadium

รูปแบบร้านต่างไปจากสมัยก่อนที่เคยกินมาก ของเดิมคุ้นๆ ว่าเป็นร้านใครร้านมัน (แค่อยู่ติดกัน) และเป็นระบบตู้กด แต่ของใหม่คือเป็นเหมือนฟู้ดคอร์ต ที่นั่งอยู่รวมกันตรงกลาง เดินไปสั่งร้านไหนก็มานั่งกินคละๆ กันอยู่ดี (แถมเลิกใช้ระบบตู้กดแล้ว)

Odaiba

จากการพิจารณาคิวด้วยสายตาตลอดการกินแล้ว ร้านสีเขียวตรงกลางดูจะฮิตที่สุดครับ ตอนผมมากินยังเย็นๆ แต่กินไปได้แป๊บๆ คนมากินกันเยอะ ต้องต่อแถวเลยทีเดียว

Odaiba Ramen Stadium

ตะเกียบ ช้อน ทิชชู ต้องเอาที่ส่วนกลาง ร้านไม่มีให้ น้ำเปล่ามีให้กินฟรี กินเสร็จแล้วต้องเอาชามกลับไปคืนที่ร้านที่ซื้อด้วยนะ

Odaiba Ramen Stadium

ชามนี้จากร้านสีเขียว เป็นราเม็งจากฟุกุโอกะ ราคา 850 เยน น้ำซุปรสชาติไม่จัดมาก ไข่ต้มอร่อย เส้นราเม็งจะเล็กกว่าปกติอยู่บ้าง

Odaiba Ramen Stadium

อีกชามเป็นราเม็งจากคันไซ อยู่ติดกับร้านเกี๊ยวซ่าครับ ชามนี้ 890 เยน รสชาติจัดกว่า หมูชิ้นใหญ่ และให้ผักเยอะกว่าหน่อย

Odaiba Ramen Stadium

โดยรวมๆ ก็ถือว่ากินได้อร่อยดีแต่ยังไม่ถึงเจ๋งมาก ส่วนร้านอื่นๆ หน้าตาจะแปลกๆ ไปสักนิดจนไม่ค่อยกล้าสั่ง เช่น ราเม็งข้าวโพด ทันตัมเมน ราเม็งแห้ง เป็นต้น

The Future of Classroom

$
0
0

ผมหนุนการนำระบบไอทีทุกประเภท (ไม่ใช่แค่แท็บเล็ต) มาใช้ในการเรียนการสอนครับ

ใครที่บอกว่ามันเป็นของฟุ่มเฟือย ไร้สาระ เอาไว้เล่นแต่เกม ให้เด็กใช้กระดาษปากกาก็พอแล้ว (เป็นความเห็นที่พบได้บ่อยๆ ใน Blognone) ควรดูคลิปนี้

การใช้ระบบไอทีเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นการ conversion เทคโนโลยีแบบกระดาษ (ปากกา ดินสอ ข้อสอบ หนังสือ) มาสู่โลกดิจิทัล แต่มันคือตัว enabler ที่จะทำให้เกิดการเรียนการสอนใหม่ๆ (ที่มีประสิทธิผลมากกว่า) และไม่เคยทำได้ในยุคก่อนหน้ามาก่อน

จากวิดีโอจะเห็นว่า "แท็บเล็ต"มันไม่ได้เป็นแค่ที่อ่านอีบุ๊ก (ที่แปลงมาจากหนังสืออีกที) แต่มันช่วยให้นักเรียนแชร์ไอเดียระหว่างกัน (ดังนั้นปาแนวคิดเรื่อง "ห้ามลอกกัน"ทิ้งไปซะ) สามารถคุยกับวิศวกรสะพานได้ทันที และสามารถใช้ "กล้องบนแท็บเล็ต"มาพินิจพิเคราะห์โครงสร้างของสะพานได้ (ถึงแม้จะยังเป็นความฝันแต่มันก็เป็นไปได้)

การพัฒนา หรือ development นั้นคือการเอาชนะระบบและวิธีคิดแบบเก่าๆ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ใช่การพยายามเลียนแบบกระบวนการทำงานแบบเก่าๆ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

Viewing all 557 articles
Browse latest View live


Latest Images