นั่งเครื่องบินมาก็เยอะแต่เพิ่งเคยได้บิน Business Class เป็นครั้งแรก แถมยังเป็นไฟลท์ยาว เดินทางกันครึ่งโลกด้วย ก็เลยมาบันทึกลงบล็อกไว้สักหน่อยครับ
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2013 ผมได้รับคำเชิญจากซัมซุงไปร่วมงานเปิดตัว Galaxy S4 ที่นิวยอร์กซึ่งแน่นอนว่าซัมซุงออกค่าเครื่องบินและที่พักให้ ผมไม่แน่ใจเรื่องนโยบายด้านนี้ของซัมซุงเท่าไร แต่สรุปว่าทริปนี้สื่อไทยทุกรายได้นั่ง Business Class ของสายการบิน Korean Air (ชื่อการค้าที่ Korean Air เรียกคือ Prestige Class) ดังนั้นเรื่องราคาคงไม่ทราบเพราะว่าบินฟรี ที่บอกได้คงมีแค่ประสบการณ์ว่านั่งแล้วเป็นอย่างไร
เส้นทาง
เนื่องจากเป็นการเดินทางไกลเลยต้องแวะพักกลางทางที่สนามบินอินชอนด้วย ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ได้นั่งเครื่องบินทั้งหมด 4 ไฟล์ท (ไป-กลับ) คือ กรุงเทพ-อินชอน, อินชอน-นิวยอร์ก, นิวยอร์ก-อินชอน, อินชอน-กรุงเทพ
ไฟล์ทระหว่างอินชอนกับนิวยอร์กให้บริการด้วย Airbus A380 ด้วย ส่วนไฟล์ทกรุงเทพ-อินชอน เป็นโบอิ้ง (จำรุ่นไม่ได้) อย่างไรก็ตามสายการบิน Korean Air ออกแบบที่นั่งของ Prestige Class ให้เหมือนกันอยู่แล้ว ประสบการณ์โดยรวมจึงแทบไม่ต่างกันมากนัก (ยกเว้นดีเทลเล็กๆ น้อยที่อาจต่างกันในแต่ละรุ่นเครื่องบิน)
ที่นั่งและห้องโดยสาร
ในฐานะที่เดินทางมาเยอะ ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าการนั่งเครื่องบินนานๆ มันจะมี pain point ที่สำคัญคือ "เก้าอี้"นั่นเองครับ ทั้งในประเด็นว่า
- ต้องนั่งเบียดกับคนข้างๆ วางแขนไม่ถนัด (ถ้าเจอข้างๆ ว่างก็คือว่าโชคดีมาก)
- ที่นั่งเอนได้น้อย นั่งเฉยๆ น่ะโอเคแต่ให้นอนนี่ลำบากมาก
- ระยะห่างของช่วงวางขา (leg room) น้อย วางขาไม่สบาย นั่งแล้วเมื่อย
- คนข้างหน้าเอนที่นั่งเยอะ มาเบียดเรา กินข้าว-ดูหนังลำบาก
ในเรื่องบริการอื่นๆ ผมคิดว่าไม่ซีเรียสมากเท่ากับเก้าอี้ คือถ้ามีเก้าอี้ดี ต่อให้กินอาหารไม่ดี เครื่องดื่มน้อย แอร์น้อย คนเยอะ หนังไม่สนุก มันก็ยังพอทนได้ แต่ถ้าเก้าอี้แย่ก็เป็นประสบการณ์แย่ๆ ไปตลอดการเดินทางนับสิบชั่วโมงเลย
Prestige Class ของ Korean Air ออกแบบที่นั่งโดยสารที่แก้ปัญหาข้างต้นได้ทั้งหมดครับ หน้าตาประมาณรูปด้านล่าง (ภาพจากเว็บ Korean Air)
ของจริงหน้าตามันจะประมาณนี้ครับ
เจ้าเก้าอี้แบบนี้มันสามารถปรับได้ 3 ระดับคือ นั่งตรง (สำหรับทานข้าว) เอียงประมาณ 45 องศา (เวลาปกติ) และนอนราบ! ย้ำว่านอนราบ 180 องศาสมบูรณ์แบบ ให้ประสบการณ์นอนบนเครื่องที่ไม่มีวันลืมจริงๆ (แค่นี้ก็พอละ) หน้าตาปุ่มปรับระดับความเอียงเป็นตามรูป
เนื่องจากมันเป็นแค่ Business Class ไม่ใช่ First Class ดังนั้นความเป็นส่วนตัวอาจไม่เยอะนัก คือไม่ได้เป็นคอกส่วนตัวแบบ First Class ของสายการบินทั่วไป เราจะมีคนมานั่งข้างๆ แชร์ที่วางแขน-ที่วางแก้วด้วย (แต่ก็จะไม่ชิดกันนัก) ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าไม่ใช่สาระสำคัญ คือจะมีคนแปลกหน้ามานั่งด้วยหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับประสบการณ์นอนราบ 180 องศานั่นล่ะครับ
ออพชั่นเสริมของเก้าอี้ Business Class ได้แก่หนวดมนุษย์ต่างดาว (จริงๆ มันคือไฟอ่านหนังสือ) ช่องเสียบ USB ที่ชาร์จได้ในตัว และสามารถเอาเพลงใน mobile device ไปเปิดฟังกับระบบ in-flight entertainment ได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีปลั๊กไฟที่ข้างขา ชาร์จโน้ตบุ๊กได้สบายๆ
ระยะห่างระหว่างที่นั่งของเรากับคนข้างหน้า สุดเหยียดครับ!
ด้านหน้ามีช่องเสียบรองเท้าเฉพาะตัว มีรองเท้าแตะให้ใส่เวลาเดินอยู่บนเครื่องด้วย
จอภาพของ in-flight entertainment จะใหญ่กว่า Economy Class เยอะอยู่ และคุณภาพของสีดีกว่า มุมมองกว้างกว่ามาก (มันก็ไม่ดีถึงขนาดจอทีวีแต่ดีกว่าจอ Economy Class ที่มองผิดมุมก็ไม่เห็นแล้วแน่ๆ) จุดด้อยคงมีแค่ที่ใส่ของด้านหน้ามันเล็กไปนิด
โต๊ะกินข้าวจะถูกพับเก็บในที่วางแขนด้านข้าง
ยกโต๊ะขึ้นมา พับได้สองระดับ อันนี้โต๊ะกินขนมกินพื้นที่ครึ่งเดียว ถ้ากางออกเต็มๆ ก็เป็นโต๊ะกินข้าวปกติ
รีโมทควบคุมระบบ in-flight entertainment ไม่มีอะไรพิเศษ หลักๆ ก็เน้นเลื่อนเคอร์เซอร์แล้วกดโอเค (จอภาพมันเป็นจอสัมผัสนะครับแต่มันจะอยู่ไกลมากจนแทบไม่ได้สัมผัสเลย)
สำหรับเครื่องที่เป็น A380 จะมีเลาจ์เล็กๆ อยู่ท้ายเครื่องด้วย (A380 จะให้ Business Class นั่งชั้นบน ส่วน First กับ Economy นั่งชั้นล่าง) นั่งได้ประมาณ 3 คน จะมีแอร์คอยชงเครื่องดื่มให้ (แต่ผมไม่ได้กินหรอกนะ แค่กินอาหารตามปกติก็อิ่มโคตรละ)
มีทีวีให้ดู นิตยสารให้อ่านเล็กน้อย เอาไว้มานั่งแก้เบื่อมากกว่ามาเสพย์อะไรจริงจัง (ไฟล์ทหนึ่งที่เป็น A380 มีสาวเกาหลีแม่ลูกอ่อน เอาลูกมาเลี้ยงตรงนี้ให้ลูกได้เดินเล่น มีแอร์สาวๆ เกาหลีช่วยกันเลี้ยงก็น่ารักดีครับ)
ทางลงไปชั้น 1 ที่ท้ายเครื่องครับ เค้ากั้นไว้ไม่ให้ลง
ห้องน้ำของ Business Class ไม่ต่างอะไรจากห้องน้ำปกติของ Economy Class ครับ (แต่จะมีห้องหนึ่งใหญ่พิเศษ เข้าใจว่าให้คนพิการหรือแม่ลูกอ่อนใช้เนี่ยแหละ) ที่แปลกหน่อยคงมีแค่แจกมีดโกนหนวดในห้องน้ำเลย
ชุดคิตเดินทาง
ไฟล์ทระยะไกลๆ ส่วนใหญ่จะมีแจกชุดคิตสำหรับเดินทาง เช่น ผ้าปิดตา ถุงเท้า ฯลฯ ซึ่งของ Korean Air ก็แจกมาหนึ่งถุงเป็นของแบรนด์ Davi ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นของอเมริกา แต่มาผูกสัญญากับ Korean Air
อุปกรณ์ข้างในถุงก็หลากหลาย มีทั้งลิปมัน ครีมทาหน้า เจลต่างๆ แปรงสีฟัน เป็นต้น
ขากลับได้มาอีกถุง คนละสี ของข้างในเหมือนกันหมด
อาหาร
ผมใช้เวลาเดินทางอยู่บนเครื่องทั้งหมดเกิน 48 ชั่วโมง แปลว่าได้กินหลายมื้อมาก อาหารมื้อใหญ่จะเสิร์ฟเป็น full course เมนูกินกันจนล้น และมีอาหารมื้อเล็กแทรกเป็นระยะ
รูปแบบการกินจะมีเมนูมาแจกก่อนตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่อง แล้วแอร์จะนำมาเสิร์ฟทีละจานในภายหลังครับ
เริ่มจากเมนูอาหารเที่ยงก่อน
อาหารว่างเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มก่อนเข้ามื้ออาหาร เป็นหอยเชลล์ (scallop) กับซอสพริก paprika บด เป็นอาหารจานเย็น (cold dish) กินพอขำๆ ซอสรสชาติเฉยๆ ไม่เข้มข้นนัก
อาหารเรียกน้ำย่อย แซลมอนรมควันกับผักสลัดครับ ที่เห็นถ้วยเหลืองๆ คือ olive oil เพิ่งกินเป็นก็งานนี้ โคตรอร่อยเลย
บินกับเกาหลีทั้งที ก็ต้องมีอาหาร signature dish ที่เค้าภูมิใจนำเสนออย่าง Bibimbap ที่มีเสิร์ฟบนเครื่องด้วย จริงจังถึงขนาดมีคู่มือสอนกิน Bibimbap ด้วยนะ
ถ้าเราเลือก main dish เป็น Bibimbap จะได้อาหารหน้าตาแบบนี้ ได้แก่ ข้าวสวย ผัก+เนื้อ ซุป เครื่องเคียง และซอสพริกหลอด
ซอสพริกหน้าตาจริงจังมากครับ
เครื่องเคียงเป็นกิมจิต่างๆ
ผมไม่ได้ถ่ายภาพตอนคลุกเสร็จมาด้วยเพราะเอาแต่กิน แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่อร่อยเท่ากับ Bibimbap ในชามหินแบบที่เรากินตามร้านเกาหลีหรอก (มีให้กินบนเครื่องก็อเมซิ่งแล้ว) แต่ก็เป็นประสบการณ์การกิน Bibimbap ที่สนุกดี ซอสพริกไม่เผ็ดมาก (ผมต้องขอ 2 หลอดแน่ะ) และให้ผักมาเยอะมากเมื่อเทียบกับข้าว
อาหารหนักในชุดยังมีชีส (กินไม่เป็น) และขนมปัง (อิ่มแล้ว) เครื่องดื่มมีไวน์ เหล้า ชากาแฟ ชาเขียว ส่วนของหวานจริงๆ เลือกได้ว่าจะเอาเค้กหรือไอศกรีม
เลือกไอศกรีมเพราะอิ่มมาก มาเจอ Haagen-Dazs เป็นถ้วยแถมเพิ่งออกมาจากฟรีซ แข็งปั๊ก!
มื้อต่อมาที่เจอเป็น Light Meal หรืออาหารเบาๆ ก่อนลงเครื่อง เลือกได้ 3 แบบ ผมเน้นของแปลกคือ Dongchimi บะหมี่เย็นของเกาหลี
เกิดมาเพิ่งเคยกิน Dongchimi ก็เป็นประสบการณ์แปลกๆ ไปอีกแบบ แต่มันไม่ค่อยซาบซึ้งนักเพราะบนเครื่องบินมันหนาว มาเจอบะหมี่เย็นใส่น้ำแข็งเข้าไปอีกนี่หนาวจนน้ำตาไหล
มื้อใหญ่มื้อถัดไปครับ อาหารเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มเป็นพริกย่าง (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
เรียกน้ำย่อยคือกุ้งกับหอยเชลล์ย่างพร้อมสลัด (อีกแล้ว) น้ำสลัดอร่อยมาก (อีกแล้ว)
ขวดเกลือและพริกไทยน่ารักมากมาย
เปลี่ยนเมนคอร์สมากินแบบฝรั่งบ้าง เป็นสเต๊กเนื้อซอสเห็ด อร่อยมากครับจานนี้ เนื้อนุ่ม มันฝรั่งทอดอร่อย แต่กินหมดแล้วจุกเลยแหละ
มื้อใหญ่มื้อที่สามครับ ผักย่าง (ข้างใต้มันคือเห็ด) พร้อมน้ำมันมะกอก Balsamic Vinegar
สลัดและชีส อร่อยอีกละ
ผมมาซาบซึ้งกับการกินน้ำมันมะกอกกับ Balsamic Vinegar ก็งานนี้แหละ
เมนรอบนี้เป็นข้าวผัดกับซีฟู้ดผัดน้ำมันหอย จานนี้เฉยๆ ไม่ถึงกับอร่อยมาก
จานนี้มื้อไหนไม่รู้จำไม่ได้แล้ว เป็นสลัดพร้อมชีส อร่อยอีกเหมือนกัน (สลัดเค้าอร่อยทุกจานเลย)
จานสุดท้ายแล้ว เป็นข้าวกับเนื้อผัด อร่อยอยู่
เลาจ์
นอกจากบริการบนเครื่องแล้ว การบิน Business Class ยังมีข้อดีอีกประการคือได้นั่งเลาจ์ในสนามบิน มีขนมให้กิน มีเน็ตให้ใช้ มีห้องน้ำให้อาบ (ถ้ามีเวลาและอยากอาบนะครับ) ถือเป็นประโยชน์ต่อประสบการณ์เดินทางในภาพรวม
เริ่มจากที่สุวรรณภูมิก่อนนะครับ ถ้าบิน Business เราจะได้ตั๋ว Premium Lane สำหรับตรวจหนังสือเดินทางขาออกแบบรวดเร็ว (แยกจากช่องปกติอันแสนแออัด)
ช่องตรวจหนังสือเดินทาง Premium Lane จะอยู่ด้านล่าง (ช่องปกติที่ทำใหม่จะต้องเดินขึ้นไปข้างบนก่อน 1 รอบ) ใครมีโอกาสก็เดินตามป้ายไปละกันครับ
มาถึงส่วนของเลาจ์ Korean Air ไม่มีเลาจ์ของตัวเองที่สุวรรณภูมิ แต่ทำข้อตกลงให้ใช้เลาจ์ของ Air France ซึ่งจะอยู่ชั้น 3 ของผู้โดยสารขาออก (ต้องเดินลงไป 1 ชั้น) หน้าตาก็เก่าๆ นิดหน่อยแต่ไม่มีปัญหาอะไรในการให้บริการนะ มีคอมตั้งโต๊ะให้เล่นเน็ตด้วย
อาหารในเลาจ์ของ Air France ก็เน้นแปะแต่ภาพละกันนะครับคงไม่ต้องบรรยายอะไรเยอะ เริ่มจากขนม ไวน์ เครื่องดื่ม
น้ำขวดและเครื่องกระป๋อง
ชากาแฟ
เบเกอรี่ มีให้เลือกประมาณหนึ่ง
อาหารหนัก ซุป แซนด์วิช
ซูชิ
ติ่มซำ มาม่าคัพ
ส่วนที่สนามบินอินชอน ฐานหลักของ Korean Air ย่อมมีเลาจ์อลังการรอเราอยู่ เลาจ์ของ Prestige จะแยกขาดจาก First และอยู่คนละจุดกันนะครับ ต้องเดินขึ้นไปข้างบนอีกชั้นตามป้าย
สายการบินอื่นๆ ที่มาขอใช้เลาจ์อันเดียวกันนี้ด้วย
เลาจ์ที่อินชอนบรรยากาศดีมาก ติดกระจกมองเห็นเครื่องบิน
มีโต๊ะสำหรับนั่งทำงาน+ใช้โน้ตบุ๊ก ที่ชาร์จไฟพร้อมสรรพ
โซนโซฟา หนังสือพิมพ์มีแต่ภาษาเกาหลีเกือบหมด
เคาเตอร์อาหารครับ หน้าตาดูโรงแรมมาก เพราะเอาท์ซอร์สให้โรงแรมมาทำ (เท่าที่อ่านจากป้าย)
เนื่องจากว่าไปสองทีก็เอาภาพอาหารของทั้งสองรอบมารวมกันเลย เริ่มจากมันอบ
เบคอน
ผักและสลัด
ซีเรียลและเบเกอรี่
ซุปงาดำ แปลกดี
ซุ้มเครื่องดื่ม อันนี้ก็มาตรฐาน ชากาแฟ
ตู้น้ำ ส่วนใหญ่เป็นน้ำอัดลม มีน้ำผลไม้กระป๋อง (แบบที่ต้องเปิดฝาแล้วเทลงแก้ว) และนมของเกาหลีอีกนิดหน่อย
Seoul Milk
เลาจ์ของ Prestige มีสองฝั่ง คือขึ้นบันไดไปเจอทางเข้า โชว์ตั๋วแล้วเราจะเดินแยกไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ ทุกอย่างเหมือนกัน แต่ห้องน้ำจะอยู่ฝั่งขวานะครับ
หน้าทางเข้ามีซุ้มโชว์ลูกฟุตบอลสำหรับฟุตบอลโลกด้วย น่าจะทำมาตั้งแต่บอลโลกปี 2002 แล้วค่อยๆ เพิ่มเข้ามา
เค้ากำลังตื่นเต้นกับ A380 กันอยู่กระมัง
ห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมไม่แยกหญิงชายครับ เข้าไปแล้วห้องใหญ่มีความเป็นส่วนตัวสูง
โถส้วมก็ไฮเทคมีระบบมากมายแบบเดียวกับญี่ปุ่น ลองเล่นดูก็สนุกดีเหมือนกัน
เครื่องที่เป็น A380 ใหญ่มาก มีสองชั้นตามที่เขียนไปแล้ว และใช้งวงคนละเส้นกันสำหรับผู้โดยสารคนละกลุ่ม (Prestige อยู่ชั้นบน)
สรุปคือ ประสบการณ์การบิน Business Class ครั้งแรกน่าประทับใจมาก จุดสำคัญคือที่นั่งได้นอนราบ อันนี้เยี่ยมยอดเหนือคำบรรยาย ส่วนอย่างอื่นถึงแม้ผมมองว่าไม่จำเป็นมาก (เช่น อาหาร ของแจก เลาจ์) แต่ก็ช่วยเสริมให้การเดินทางโดยรวมสะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก
ข้อจำกัดสำคัญคงเป็นเรื่องราคาที่แพงกว่า Economy หลายขั้น ดังนั้นโอกาสที่จะได้นั่ง Business อีกรอบก็คงต้องรอโชคชะตาฟ้าลิขิตต่อไปในครั้งหน้าครับ