Quantcast
Channel: Isriya Paireepairit blogs
Viewing all 557 articles
Browse latest View live

El Clasico on Your Head

0
0

เพิ่งเห็นโฆษณาของ Messi กับแชมพู Head and Shoulders ชุดนี้

เลยนึกถึงคู่แข่งอย่าง Ronaldo กับโฆษณา Clear แชมพูขจัดรังแคคู่แข่ง (Ronaldo มาก่อนหลายปี)

El Clasico ลามปามมาถึงหนังศีรษะของเราๆ ท่านๆ แล้วหรือเนี่ย!


Open Government - Beth Noveck

0
0

มีคนรู้จักส่งลิงก์การพูดของ Beth Noveck อดีตของ CTO ของสหรัฐอเมริกา ผู้อยู่เบื้องหลังการยกเครื่อง whitehouse.gov และการเผยข้อมูลภาครัฐของสหรัฐมาให้ดู

หลักการของ open government คงไม่มีอะไรขัดแย้ง ที่น่าสนใจคือในทางปฏิบัติแล้ว เราต้องทำอะไรกันบ้าง ซึ่ง Beth บอกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่อง transparency อย่างเดียวนะ

open government is not about transparent government. Simply throwing data over the transom doesn't change how government works. It doesn't get anybody to do anything with that data to change lives, to solve problems, and it doesn't change government. What it does is it creates an adversarial relationship between civil society and government over the control and ownership of information. And transparency, by itself, is not reducing the flow of money into politics, and arguably, it's not even producing accountability as well as it might if we took the next step of combining participation and collaboration with transparency to transform how we work.

Beth มองว่า open government จะแบ่งเป็นสองช่วง คือ การรับข้อมูลจากภาคประชาชนเข้าเป็น input ของภาครัฐ และการกระจายอำนาจของภาครัฐออกไปสู่ภาคประชาชน

The first phase is in getting better information in. The second phase is in getting decision-making power out.

ต้นฉบับดูกันได้จาก TED

CyanogenMod 10.1 and Quick Toggle

0
0

เนื่องจากว่า Nexus S ของผมถูกกูเกิลทิ้งแล้ว (หยุดอยู่แค่ 4.1) ทางออกที่จะได้ไปต่อก็คงหนีไม่พ้นรอมอื่นๆ แทน

เป้าหมายหลักของผมคงเป็น CyanogenMod เพราะชุมชนมีขนาดใหญ่ และเมื่อ CM10.1 (อิง 4.2) ออกรุ่น M2ก็คิดว่าได้เวลาเปลี่ยนจาก Stock 4.1 มาเป็น 4.2 บน CM10.1 เสียที

ผมใช้ Stock 4.2 บน Nexus 7 อยู่แล้ว คงไม่มีอะไรตื่นเต้นกับตัว 4.2 มากนัก แต่ที่ประทับใจจนต้องมาเขียนเป็นบล็อกคือฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาโดยทีมของ CM เอง นั่นคือตัวของ quick toggle ฟีเจอร์ที่เหมือนจะดีแต่เอาเข้าจริงแย่มากบน Stock 4.2 (เพราะในทางปฏิบัติไม่มีใครเขาใช้กัน)

พอมาเป็นเวอร์ชันของ CM เพิ่มการปรับแต่ง toggle เข้าไปอีกหน่อย มันกลายเป็นฟีเจอร์ที่ดีมากๆๆ ไปเลย เพราะสามารถเลือก toggle ได้ตามต้องการ แถมปุ่มใหญ่กดง่าย ไม่เหมือน toggle ของรอมบริษัทอย่างพวกซัมซุงที่มีแถวเดียวแล้วต้องเลื่อนซ้ายขวาเอา

On Demand TV

0
0

ได้กล่อง IPTV ของ TOT มาสักพักหนึ่งแล้ว (คนอ่านบล็อกนี้หลายๆ คนก็น่าจะได้เหมือนกัน) ว่าจะเขียนถึงแต่ก็ไม่มีโอกาส ใช้มาสักระยะก็พบ "killer feature"ของ IPTV แล้วว่าคืออะไร

จุดเด่นของ IPTV เหนือการกระจายสัญญาณโทรทัศน์ระบบอื่นๆ มันคือการดูทีวีแบบ on demand นั่นล่ะครับ กลับบ้านมาตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง แต่อยากดู "เจาะข่าวเด่นกับสรยุทธ"ใช่ไหม กดปุ่มสามสี่ทีก็ย้อนได้แล้ว อยากดูละครย้อนหลังสองวันหรือหยุดพักเข้าห้องน้ำ ทุกอย่างสามารถทำได้บนระบบของ IPTV

คำว่า on demand TV เป็นอย่างไร ก็รู้ซึ้งตอนมาใช้เองเนี่ยล่ะ

MeTV by TOT

แน่นอนว่ามันมีข้อเสียเหมือนกัน การกระจายสัญญาณผ่านระบบอินเทอร์เน็ตด้อยกว่าการใช้คลื่นความถี่แบบชัดเจนในเรื่องของการกระตุกและดีเลย์ ซึ่งทำให้ประสบการณ์ในการใช้งานแย่กว่าทีวีปกติ-ดาวเทียม-เคเบิลอยู่พอสมควร (ซึ่งปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยอินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น FTTx หรือ Google Fiber)

ส่วนกล่อง MeTV ของ TOT ข้างในเป็น Android 4.0.4 ในแง่ฟีเจอร์โดยรวมๆ ก็พอไหว แต่ UI ของโปรแกรมควบคุมทีวีห่วยมาก และฟีเจอร์พิเศษจำพวก on demand movie ก็ยังอยู่แค่ในขั้น "มีให้รู้สึกว่ามี"คือ content deal ยังอ่อนแออยู่มาก

โดยสรุปคือแนวคิดน่ะโอเคแล้ว แต่ execution ยังต้องพัฒนาอีกพอสมควร

Wicked in Broadway

0
0

เคยดูละครเพลงเรื่อง Wicked มาครั้งหนึ่งแล้วที่ West Endในลอนดอน คราวนี้มาดูซ้ำที่ Broadway ค้นเว็บดูแล้วพบว่าเป็นเวอร์ชันต้นฉบับ เริ่มสร้างและแสดงครั้งแรกที่นี่ ถือว่ามาดูเรื่องเดิมแค่เปลี่ยนสถานที่+เปลี่ยนที่นั่งมาอยู่ใกล้เวทีมากๆ เต็มตาประทับใจ

เรื่องโดยคร่าวๆ รู้อยู่แล้ว (แม้รายละเอียดจะลืมหมด) การมาดูซ้ำครั้งนี้จึงเป็นเสมือนการ "ตีความซ้ำ"หรือ reinterpret อีกรอบหนึ่ง ความน่าสนใจของมันอยู่ที่ Wicked เองก็เป็นการ reinterpret ของ The Wizard of Oz ด้วยเช่นกัน

wicked

การดูรอบที่สองนี้ ผมมานั่งนึกดีๆ แล้วคิดว่าคนที่ไม่เคยอ่าน Oz มาก่อนก็คงสนุกกับ Wicked ได้ในระดับหนึ่ง (จากเพลงและการแสดง) แต่ถ้าจะให้เข้าใจเรื่อง เข้าถึงที่มาที่ไปอย่างละเอียดหน่อย ยังไงก็คงต้องอ่านหรือดู Oz ไปก่อน

The Wonderful Wizard of Ozถือเป็นนิทานแฟนตาซีคลาสสิคของโลกตะวันตกยุคหลังๆ (ผมว่าดีกรีน่าจะใกล้เคียงกับ Alice in the Wonderland และนำหน้า The Hobbit ด้วย) จุดเด่นของมันอยู่ที่ความเป็นแฟนตาซีอันมีจินตนาการบรรเจิด การผจญภัยในโลกต่างมิติของเด็กหญิงใสซื่อ มีหมู่คณะเป็นตัวละครแฟนตาซีอย่างสิงโต หุ่นกระป๋อง และหุ่นไล่กา ก่อนจะหักมุมแบบพลิกโลกแฟนตาซีว่าพ่อมดอ๊อซน่ะเป็นคนธรรมดา (จุดเด่นที่สุดคงเป็นตรงนี้) และปิดท้ายด้วยไคลแม็กซ์การปราบปีศาจอย่าง The Wicked Witch of the West แทน

ตัวเรื่องของ Wickedฉบับนิยายนำ Oz มาตีความใหม่หมด มีความเป็นดราม่าและเรียลลิสติกสูงมาก ตัวละครมีที่มาที่ไปชัดเจน การกระทำมีเหตุผลอธิบายได้ ความเจ๋งของมันอยู่ที่การตีความใหม่ทั้งหมดนี้กลับสอดคล้องกับเหตุการณ์ใน Oz เสียด้วย (จุดผมชอบที่สุดคือ แม่มดตะวันตกเลี้ยงลิง ถูกตีความเป็นเรื่องการพิทักษ์สิทธิสัตว์ในโลกของ Oz)

Wickedฉบับละครเพลงดัดแปลงจากฉบับนิยายอีกต่อหนึ่ง ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องบางส่วน ใส่เพลงเข้าไป ตัดความยาวให้กระชับพอกับเป็นละครเพลง เมื่อบวกกับการแสดงและโปรดักชั่น ชีวิตของเหล่าแม่มดกลายเป็นภาพสะท้อนโรงเรียนวัยรุ่น (ผมดูรอบนี้รู้สึกว่ามันเหมือน High School Musicalมากๆ) มีดาวเด่น หนุ่มหล่อ สาวทึนทึก ครบถ้วน ตัวละครที่เล่นดีมากคือ Glinda แม่มดขาว เล่นได้น่าหยิกน่าหมั่นไส้อย่างสมจริงสุดๆ

Wicked ฉบับละครที่อิงจากนิยาย ถือเป็นการตีความใหม่ของ Oz ที่น่าประทับใจ (เพราะโครงเรื่องฉบับนิยายดีอยู่แล้ว) อย่างไรก็ตามด้วยเวลาที่จำกัดของละครเพลง ทำให้รายละเอียดหลายๆ ส่วนหายไป โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสองนางเอกอย่าง Elphaba กับ Glinda ที่น่าจะลงลึกได้มากกว่านี้ (คงต้องไปอ่านในฉบับนิยายกันเอง)

โดยสรุปแล้ว คุณภาพของ Wicked อยู่ในระดับดีเลิศ คนเต็มทุกรอบและหาตั๋วหน้าโรงไม่ง่าย ใครคิดจะตามไปดูควรเตรียมตัวล่วงหน้าเรื่องตั๋วนานพอสมควร

Looper

0
0

ได้ยินเสียงร่ำลือเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มามาก พอมีโอกาสดูบนเครื่องบินก็เลยจัดเสียหน่อย พบว่าน่าผิดหวังมาก เกือบปิดทิ้งกลางเรื่องแต่สุดท้ายก็อดทนดูจนจบ

Looper เป็นหนังย้อนเวลาที่มี logic flaw ของเรื่องการย้อนเวลาเยอะมาก หลักการหนังไซไฟเรื่องย้อนเวลาจะมีตรรกะเรื่อง timeline ที่ค่อนข้างซับซ้อนและ challenge ได้ง่าย ซึ่งตรงนี้ Looper ทำได้แย่มาก (ว่ากันตามตรงแล้ว ดราก้อนบอลภาคทรังค์ยังสมจริงกว่ากันมาก ไม่ต้องพูดถึงงานไซไฟระดับคลาสสิคอีกหลายเรื่องเลย)

อีกจุดที่หนังทำไม่ดีคือเอาบรูซ วิลลิส มาเล่นเป็นพระเอกตอนแก่ในอนาคต คือผมดูยังไงมันก็ไม่ใช่คนเดียวกัน เหมือนเป็นพระเอก Die Hard หลุดข้ามเรื่องมามากกว่า แถมบทบาทและความจำเป็นของวิลลิสในเรื่องก็มีน้อยมากๆ (ตอนแรกเหมือนจะเยอะ แต่เอาไปเอามาก็มาเดินๆ ยิงๆ เล่นฉากแอคชั่นอย่างเดียว จบ)

จุดดีในเรื่องนี้มีแค่ art direction ที่มันดูโบราณๆ ดี (แต่ก็ไม่มีคำอธิบายถึงที่มาที่ไป) และตัวนางเอก Emily Blunt น่ารักมาก

ป.ล. ใครสนใจไซไฟดีๆ เรื่องการข้ามเวลา แนะนำให้อ่าน The End of Eternity

Keyword:

Rise of the Guardians

0
0

รู้จักการ์ตูนเรื่องนี้จากโฆษณาใน MRT มีโอกาสก็ดูสักหน่อยครับ

เรื่องนี้จับเอา "ผู้พิทักษ์"หรือ guardian ตามตำนานหรือนิทานของฝรั่ง มาแต่งเป็นเรื่องใหม่ ให้ผู้พิทักษ์ร่วมทีมกันต่อสู้กับวายร้าย (แนวๆ The Avenger ภาคเทพนิยาย) โดยเนื้อเรื่องคือ guardian เดิม 4 ตน ต้องชวน guardian ใหม่ 1 ตน (Jack Frost เทพหิมะ) เพื่อไปต่อสู้กับเทพแห่งความมืดที่ต้องการมากินฝันของเด็กๆ ทั่วโลก

ปัญหาคือผมดันไม่รู้จัก guardian ทุกตัวในเรื่อง อาจเป็นเพราะไม่ได้อยู่ในโลกตะวันตกมากนัก ใน 4 ตัวเลยรู้จักซานตาคลอสแต่ตัวเดียว กระต่ายอีสเตอร์พอได้ยินมาบ้าง ส่วน Tooth Fairy กับ Sandman เข้าขั้นไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน พอเจอประเด็นนี้เข้าไปทำให้ไม่อินกับหนังเท่าที่ควร

การดำเนินเรื่องโดยรวมก็ใช้ได้ ปมหลักของเรื่องคือการค้นหา "ตัวตนที่แท้จริง"ของเราเองว่าคืออะไร (ผ่านมุมมองของ Jack Frost ที่เป็นพระเอก) ก็ทำออกมาได้ดี แต่ความลื่นไหลของเรื่องยังห่วยอยู่เมื่อเทียบกับการ์ตูนของ Pixar หรือแม้แต่การ์ตูน DreamWorks เองบางเรื่อง (เช่น Shrek หรือ Kung Fu Panda) ตัวละครในเรื่องนี้ออกจะโวยวายและโอเวอร์เกินความจำเป็นไปมาก

สรุปก็พอดูได้ขำๆ ไม่ถึงกับเสียเวลา แต่ถ้าไปดูในโรงคงเสียดายเงินอยู่บ้าง

Liberal Arts

0
0

เคยเห็นมิตรสหายท่านหนึ่งแชร์คลิปมาใน Facebook ดูเทรลเลอร์แล้วน่าสนใจดี พอมาเจอมันฉายอยู่บนเครื่องบินก็เลยดูสักหน่อย (บนเครื่องบินไม่มีซับ หนังประวัติศาสตร์เครียดๆ พูดเยอะๆ เราไม่ดู)

เรื่องย่อแบบไม่สปอยล์ครับ พระเอกเป็นหนุ่มอายุ 35 ทำงานแบบซังกะตายในนิวยอร์ก อยู่มาวันหนึ่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยโทรเรียกกลับไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณอายุ (เพราะเป็นศิษย์เอก) พระเอกเลยดี๊ด๊าได้กลับไปสูดบรรยากาศ "สดใหม่ของนักศึกษาอีกรอบ"แต่เท่านั้นยังไม่พอ ไปเจอกับลูกสาวของเพื่อนอาจารย์อายุ 19 แถมโดนสาวเจ้าจีบซะงั้น!

หนังเริ่มต้นเหมือนเป็นโรแมนติกคอเมดี้ที่เน้นเรื่องความต่างของอายุ แต่ครึ่งหลังกลายเป็นการแสวงหาตัวตนและคำตอบของพระเอก กับคำถามว่าเขาจะหลุดพ้น "ความเป็นนักศึกษา"ของตัวเองได้อย่างไร

โดยรวมก็สนุกดีครับ แต่หนังมันเรื่อยๆ ไม่หวือหวา ไม่ไคลแมกซ์ ตัวละครน้อยแต่ใช้คุ้มดี ฉากหลังมหาวิทยาลัยสวย ที่น่าสนใจคือค้นข้อมูลดูแล้ว พระเอกเล่นเอง เขียนบทเอง กำกับเอง โปรดิวซ์เองเสียด้วย!

Keyword:


United Nations HQ

0
0

ไปนิวยอร์กมาครับ รอบนี้ไปแบบสบายหน่อยเพราะมีรถยนต์บริการ (นั่งรถเที่ยวในนิวยอร์กนี่มันไฮโซมากเลยนะ!) เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นแค่ไปเที่ยวแต่มีส่วนของ business trip อย่างงานอีเวนต์, business lunch และสัมภาษณ์ผู้บริหารด้วย

คนขับรถเป็นรัสเซีย (จริงๆ เป็นเบลารุสสมัยที่ยังเป็นของรัสเซีย แกเลยถือว่าตัวเองเป็นรัสเซีย) ชื่อ Dmitry บริการดีมาก ทีนี้ช่วงวันที่ว่างๆ แกก็ถามว่านอกจากแหล่งท่องเที่ยวดังๆ แล้วอยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมตอบทันทีว่าไป United Nations ซึ่งก็เล่นเอาเขางงเลยทีเดียว (มันคงไม่ค่อยมีใครไปอะนะ)

ในแง่ของคนที่สนใจประวัติศาสตร์และการเมืองโลกสมัยใหม่ (global affairs) สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติเป็นสิ่งที่ควรไปเห็น แต่สำหรับผมแล้วก็พิเศษกว่านั้นนิดหน่อย #otaku นั่นคืออยากไปเห็นซีนใน The Silent Servicesที่กัปตันไคเอดะเอาเรือดำน้ำนิวเคลียร์ไปจอดที่ปากแม่น้ำอีสต์ริเวอร์เพื่อขู่สหประชาชาตินั้นเป็นเช่นไร

East River

ปรากฎว่าผิดหวังนิดหน่อยครับ เพราะตรง UN เขากั้นไว้ไม่ให้ไปเดินริมน้ำ (ฮา) เลยต้องดูวิวแบบไกลๆ แบบนี้แทน ตึกขาวๆ ที่เห็นตรงกลางรูปคือ UN ส่วนแม่น้ำอันนี้คืออีสต์ริเวอร์ และสะพานในภาพคือ Queensboro Bridgeเป็นสะพานเดียวกับ Spider-Man ภาคแรกตอนท้าย ที่ Green Goblin คนแรกเอารถรางไปห้อยบนสะพานเพื่อท้าให้สไปเดอร์แมนไปต่อสู้ด้วย

United Nation New York

ส่วนตัวตึก UN ก็ไม่มีอะไรพิสดาร เป็นตึกแบบเดียวกับที่เห็นในภาพ (คนเล่น Civilization คงคุ้นชิน) เพียงแต่มีส่วนของตึกชั้นล่างที่ยาวหน่อยถ้าดูด้วยตาตัวเอง

United Nation New York

สิ่งที่เยอะหน่อยและเป็นสัญลักษณ์คงเป็น "ธง"ของทุกชาติสมาชิก (ธงไทยอยู่ด้านขวาของภาพข้างต้น ใกล้ๆ กับประตูอันขวาสุด)

United Nation New York

ที่น่าสนใจคือ UN ไม่มี "ป้าย"เขียนว่า United Nations ที่หน้ารั้วนะครับ (หรือมีแต่ผมหาไม่เจอหว่า) มีแต่ธง ประตู รั้ว และยามเท่านั้น

United Nation New York

ด้านข้างเค้าเปิดให้เข้าไปดูนิดหน่อย มีปฏิมากรรมเล็กน้อย มีทัวริสต์บ้างพอประมาณ

United Nation New York

แต่ถ้าจะเข้าไปมากกว่านั้นต้องเป็นแขกหรือบุคลากรติดบัตรเท่านั้น

United Nation New York

ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกออฟฟิศธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเท่าไร

United Nation New York

ตึกที่น่าสนใจมีอันเดียวคือ อเมริกาเจ้าของพื้นที่ไปเปิด United States Mission to UN ที่ฝั่งตรงข้าม อารมณ์ประมาณว่าลืมเอกสารคงวิ่งข้ามถนนกลับมาเอา ง่ายดี

P1019239

ปิดท้ายด้วยป้ายรถเมล์หน้า UN ในวันที่อากาศสดใสครับ จบละ

New York City

0
0

Top View NY

ไปอยู่ที่นิวยอร์ก (จริงๆ ต้องบอกว่าแค่แมนฮัตตัน) มาเกือบสัปดาห์ พอสรุปประเด็นได้ดังนี้ครับ

  • มันคือเมืองหลวงของทุนนิยมโลกอย่างแท้จริง ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยทุน บริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ทุกแห่งที่นึกชื่อออกจะต้องมีออฟฟิศอยู่ที่นี่
  • นิวยอร์กเป็นเมืองใหญ่ ประชากรหนาแน่น แต่มีประวัติศาสตร์สั้นมากเมื่อเทียบกับสารพัดเมืองหลวงของฝั่งยุโรป ทำให้ "ตำนาน"ของเมืองค่อนข้างใหม่ เช่น หมู่ตึกของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์, สระน้ำตั้งชื่อตามแจ็กเกอลีน เคเนดี้, พิพิธภัณฑ์เรือบรรทุกเครื่องบิน, ตึกที่จอห์น เลนนอนถูกยิง เป็นต้น (พวกตำนานผียุคกลาง กษัตริย์ผู้รวมชาติ ป้อมปราการหิน แบบนี้ไม่มีเลย) และแน่นอนว่า 9/11 คือ "ตำนานอันใหม่"ของนิวยอร์กที่เล่ากันต่อได้อีกไม่รู้จบ
  • อาคารสูงของนิวยอร์กในฝั่งแมนฮัตตันสร้างจนเต็มพื้นที่มานานแล้ว ดังนั้นภาพลักษณ์หรือสถาปัตยกรรมของอาคารจะหยุดอยู่ที่ยุคสมัยหนึ่ง (ผมไม่มีความรู้พอที่จะบอกว่าเป็นสถาปัตยกรรมยุค 60s 70s หรือ 80s) ดังนั้นในแง่ความใหม่ในภาพรวมมันจะสู้เมืองใหม่ๆ อย่างสิงคโปร์หรือดูไบไม่ได้
  • ผังเมืองของแมนฮัตตันดีมากๆ ทุกอย่างเป็นบล็อค ตั้งชื่อถนนเป็นเลขเรียงเป็นระเบียบ ไปครั้งแรกไม่มีงงว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน ไล่ชื่อกันตามถนนได้สบายแฮ
  • การแบ่งโซนของแมนฮัตตันง่ายมาก ใต้ Central Park เรียก Downtown ด้านเหนือเรียก Uptown หรือ Upper, ส่วนฝั่งตะวันออก/ตกก็เรียก East/West Side ตรงตัว ดังนั้นเวลาคุยกันว่าย่าน Upper East Side ก็สามารถเดาพื้นที่ได้เลย
  • เช่นเดียวกับเมืองนานาชาติทั่วไป ที่นี่มีความเป็นนานาชาติสูงมาก คนขายของตามท้องถนน ร้านค้า คุ้นเคยกับทัวริสต์หรือชาวต่างชาติเป็นอย่างดี ไม่มีงง ไม่มีเหวอ
  • รถใต้ดินของนิวยอร์กลงไปจากพื้นดินน้อยมาก ลงบันไดไปชุดเดียวก็เจอขบวนรถแล้ว (บ้านเราลงตั้ง 2-3 ชั้น)
  • ช่วงที่มาจังหวะไม่ค่อยดี เซ็นทรัลพาร์คกำลังฟื้นจากฤดูหนาวแต่ยังไม่เข้าฤดูใบไม้ผลิ เลยเจอต้นไม้โกร๋นๆ และหญ้าแห้งๆ ไม่สวยเอาซะเลย
  • ผมมาพบความจริงว่า ภาพยนตร์ที่สะท้อนความเป็นแมนฮัตตันได้ดีที่สุด ไม่ใช่พวกหนังโรแมนติกทั้งหลายแหล่ แต่เป็น Spider-Man ไตรภาคเสียอย่างนั้น (ทีมที่ไปด้วยอินกับ Gossip Girls แต่ผมดันไม่เคยดู)

Central Park

Central Park ที่ไม่สวยเท่าไรนัก

Central Park

Central Park จากบนยอดตึก

P3159876

Hotel Empire คนในทีมบอกว่าเป็นที่อยู่ของพระเอกใน Gossip Girls

Apple Store

Apple Store มีเยอะมาก ไปที่ไหนก็เจอ (ในภาพเป็นสาขา Upper West Side)

Rockefeller Center

รูปปั้นแบบยุโรปก็มีบ้าง แต่รูปปั้นยุคใหม่แบบที่ตึก Rockefeller อย่างในภาพก็เป็นแบบฉบับของนิวยอร์กอีกเหมือนกัน

Columbia University

0
0

นอกจาก สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่ผมขอให้คนขับรถพาไปคือ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (ซึ่งคนขับรถก็งงอีกเหมือนกันว่าจะไปทำไม)

ผมรู้จักมหาวิทยาลัยโคลัมเบียจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่จบที่นี่ ได้ความมาว่าเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของอเมริกา และมีความไฮโซระดับไอวีลีก มีชื่อเสียงด้านวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและวิชาด้านสังคมศาสตร์ ก็เลยตามมาดูสักหน่อยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

Columbia University

มหาวิทยาลัยโคลัมเบียอยู่ที่ฝั่ง Upper West Side เหนือสวนเซ็นทรัลพาร์คไปเล็กน้อย สร้างตั้งแต่สมัยอเมริกายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้บรรยากาศเหมือนมหาวิทยาลัยฝั่งอังกฤษมาก

มหาวิทยาลัยโคลัมเบียมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก รูปแบบเป็นแคมปัสในเมือง แต่เนื่องจากกินพื้นที่หลายบล็อคถนน ทำให้ตรงกลางบล็อคมีสวนและสถาปัตยกรรมโอ่อ่าอย่างที่เห็น

Columbia University

อาคารข้างต้นเป็นห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย มีรูปปั้นเทพีชื่อ Alma Mater ซึ่งมีชื่อเสียงมาก

Columbia University

ห้องสมุดอีกอันหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน มีชื่อของนักปรัชญายุคโบราณแปะอยู่ด้วย เท่มากมาย

Columbia University

ทราบจากพี่ๆ นักข่าวที่ไปด้วยกันว่า โคลัมเบียมีชื่อเสียงด้านวารสารศาสตร์มาก เพราะผู้ก่อตั้ง School of Journalism ของที่นี่คือ Joseph Pulitzer เจ้าของรางวัล Pulitzer นั่นเอง

Columbia University

ว่าแล้วก็ถ่ายรูปกับ Pulitzer เสียหน่อย

Columbia University

บรรยากาศส่วนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย อาคารสีแดงๆ นั่นเป็นโบสถ์ที่สร้างมานมนาน

P1019248

มหาวิทยาลัยกินพื้นที่เป็นบล็อคถนน เค้าเลยสร้างทางเดินข้ามถนนขนาดใหญ่มาด้ว

Columbia University

ย อันนี้เป็นภาพที่ถ่ายจากทางเดิน

Columbia University

สถาปัตยกรรมบนทางเดิน

Columbia University

รูปปั้นอลังการหน้าคณะนิติศาสตร์

Columbia University

สวนภายในมหาวิทยาลัยมีบ้างประปราย แต่ก็ไม่ใหญ่นัก

Columbia University

อาคารทันสมัยก็มีเหมือนกันครับ ข้างล่างเป็นศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัย ขายหนังสือ เครื่องเขียน และของที่ระลึก

Columbia University

ภาควิชา International Affairs

P1019255

P1019250

ฝั่งตะวันออกของมหาวิทยาลัยติดกับสวนสาธารณะชื่อ Morningside Park พื้นที่ตรงนี้จะสูง ทำให้มองเห็นวิวฝั่ง Upper East Side ได้ด้วย

P1019245

ฝั่งตะวันออกของมหาวิทยาลัยมีโบสถ์ใหญ่หนึ่งแห่ง (คนขับรถบอกมา)

P1019243

รูปปั้นในสวนข้างโบสถ์ แนวดีครับ

ผมเดินเล่นในโคลัมเบียแบบผิวๆ เป็นทัวริสต์ธรรมดา ก็คงได้รายละเอียดเท่าที่เห็น แต่โดยรวมก็ให้บรรยากาศความเป็นมหาวิทยาลัยดี เต็มไปด้วยนักศึกษายกตำราเป็นหอบๆ เดินไปเดินมา มีพลังแห่งการเรียนรู้ดีครับ

Incredible India

0
0

Taj Mahal

ช่วงนี้ดวงชะตาต้องเดินทางบ่อย เพิ่งไปอินเดียมาครับ ถือเป็นครั้งแรกที่ไปอินเดียด้วย

  • ได้ยินกิตติศัพท์ของอินเดียมานาน และมีเพื่อนเป็นแขกอินเดียมาบ้าง แต่พอมาถึงถิ่นจริงๆ ก็เข้าใจและรู้ซึ้งถึงสุภาษิต "ตีแขกก่อนตีงู"เพราะแขกอินเดียนี่มั่วขั้นเทพจริงๆ
  • คนอินเดียขับรถกันโหดมาก แทรกได้แทรก แซงได้แซง บีบแตรกันตลอดจนไร้ความหมาย (แต่กลับไม่ค่อยมีอุบัติเหตุนะ น่าสนใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขับรถไม่เร็วด้วยเนื่องจากถนนไม่ค่อยดี) ท่าขับแบบที่เมืองไทยทำแล้วต้องควักปืนมายิงกันแน่ๆ หรือรถชนกันเละแน่ๆ เกิดขึ้นเป็นปกติทุกๆ สามนาที และไม่มีใครโกรธใคร
  • คนอินเดียชอบยืนคุยกันบนถนน อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องลงไปยืนคุยกันบนพื้นถนน (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถนนไม่ค่อยมีฟุตบาทด้วยมั้ง) และจะข้ามถนนเวลาที่รถมาเสมอ
  • ที่มหัศจรรย์ที่สุดคือ หมาอินเดีย ซึ่งก็เหมือนคนอินเดียคือข้ามถนนเวลาที่รถมาเสมอ ต่างจากหมาไทยที่ประสบการณ์สูงเพราะโดนมาเยอะเจ็บมาเยอะแล้ว
  • นอกจากหมาแล้ว สัตว์บนถนนของที่นี่ยังมีวัวและม้า ดังนั้นเวลาเดินต้องระวังขี้วัวและขี้ม้าเพิ่มเติมด้วย
  • อินเดียมีศาสนาเยอะ ฝ่ายฮินดูไม่กินเนื้อ มุสลิมไม่กินหมู ทางแก้ที่รอมชอมคือ "มังสวิรัต"และ "ไก่"มีเนื้อแกะแพะบ้างประปราย แต่รวมแล้วมังสวิรัตเยอะที่สุดครับ
  • ได้รับคำเตือนเรื่องสุขอนามัยระหว่างอยู่อินเดีย แต่ขนาดระวังแล้วยังแย่ (ระดับความรุนแรงขึ้นกับพื้นฐานสุขภาพของแต่ละบุคคล)
  • ขนมที่ขายดีมากในอินเดียคือ เลย์ และ Kurkure (คล้ายชีโตสหรือทวิสตี้บ้านเรา เป็นของ PepsiCo เหมือนกัน) มีขายทุกตรอกซอกซอย บนเขาบนดอย กลางหิมะ มีหมด ส่วนรสชาติเป็นเครื่องเทศอินเดีย (Masala) และรสอื่นๆ โดยรวมถือว่าค่อนข้างอร่อยครับ
  • แน่นอนว่าขนมของ PepsiCo ย่อมมาคู่กับน้ำอัดลมของ PepsiCo ซึ่งดูจะครองตลาดซอฟต์ดริงค์เช่นกัน แทบไม่มียี่ห้ออื่นเลย
  • อินเดียมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ 5,000 ปี แต่ไม่ค่อยมีโบราณสถานเก่าๆ ให้ดูเท่าไรนัก เหตุเพราะอินเดียเคยถูกปกครองโดยอิสลามมาช่วงหนึ่ง ซึ่งเผาทำลายรูปเคารพของศาสนาอื่นๆ เหี้ยนไปหมด โบราณวัตถุที่ยังหลงเหลือจึงค่อนข้างใหม่ (สำหรับอินเดีย) คือประมาณ 800-900 ปีตามยุคของอาณาจักรอิสลาม ไม่ค่อยมีเก่าเกินนี้ที่ยังสมบูรณ์เหลืออยู่
  • อินเดียเป็น "อนุทวีป"ไม่ใช่ "ประเทศ"ดังนั้นความหลากหลายของแต่ละเมืองหรือแต่ละภูมิภาคจะสูงมาก แต่คนส่วนใหญ่พูดได้ 2 ภาษาขั้นต่ำคืออังกฤษและฮินดี ตามด้วยภาษาของแต่ละท้องถิ่นเอง
  • เด็กอินเดียกล้าพูดกล้าคุยกับชาวต่างชาติ ถ้าเจอแล้วจะมาโบกมือหรือจับมือด้วยตลอด แต่เด็กอินเดียนี่ก็แสบมากเรื่องซุกซนพิสดารต่างๆ แถมพ่อแม่ก็ไม่ค่อยสนใจปรามกันเท่าไร
  • การซื้อซิมพรีเพดในอินเดียยากมากเพราะติดข้อบังคับ ต้องใช้รูปถ่ายและหลักฐานพอสมควร แถมมี activation period ที่ต้องรออีกอย่างต่ำ 24 ชม. ถึง 7 วัน (ในท้องที่ห่างไกล) ดังนั้นคนที่อยากใช้เน็ตมือถือควรเตรียมเรื่อง roaming มาจากเมืองไทย (และข่าวร้ายคือ AIS ไม่มี unlimited data roaming ในอินเดียแล้ว เนื่องจากคู่สัญญาในอินเดียคือ Airtel ยกเลิกข้อตกลง)
  • ห้องน้ำที่สนามบิน Indira Gandhi ในเดลีสะอาดมากอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ห้องน้ำเขตนอกๆ เมืองของอินเดียหายาก มีน้อย และค่อนข้างสกปรก

Keyword:

Prepaid Data Simcard in USA

0
0

มีประสบการณ์โดยตรงมาแล้ว เขียนลงบล็อกไว้เป็นความรู้สำหรับคนที่จะไปอเมริกา แล้วอยากซื้อซิมแบบพรีเพดเพื่อใช้งาน data เป็นหลักนะครับ

Requirement ของผมคือไปอยู่ที่อเมริกาประมาณ 7 วัน ต้องการต่ออินเทอร์เน็ต 3G ผ่านมือถือเพื่อดู maps, ตอบอีเมล และหาข้อมูลอื่นๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา พื้นที่ใช้บริการคือนิวยอร์กย่านแมนฮัตตัน ซึ่งเจริญสุดๆ คงไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณอะไรมากนัก เป้าหมายคือใช้ซิมท้องถิ่น ไม่ใช่การเปิด data roaming ไปจากเมืองไทย

เนื่องจากโอเปอเรเตอร์ Big 4 ของอเมริกาดันมี 2 รายที่ใช้ระบบ CDMA คือ Verizon กับ Sprint ดังนั้นการนำโทรศัพท์ GSM จากเมืองไทยไปใช้คงไม่เวิร์ค ตัวเลือกของเราจึงเหลือแค่ AT&T กับ T-Mobile ที่เป็นระบบ GSM เท่านั้น

Sprint & T-Mobile

T-Mobile

กรณีของ T-Mobile จะง่ายมากเพราะบริษัทสนับสนุนการใช้แพกเกจแบบ pay per use ที่ไม่ติดสัญญาอยู่แล้ว มีซิม prepaid data พร้อมขายเสร็จสรรพทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน แถมราคาถูกเข้าถึงง่าย เอื้อมากๆ สำหรับคนไปเที่ยวครับ

  • 300MB 1 week for $15
  • 1.5GB 1 month for $25
  • 3.5GB 1 month for $35
  • แบบรายวัน - วันละ 3 ดอลลาร์ต่อ 24 ชั่วโมง

แต่การใช้งาน T-Mobile ก็มีข้อจำกัดหลายประการ ดังนี้

  • คลื่น 3G ที่รองรับคือ 1700MHz และ 1900MHz ต้องเช็คว่าโทรศัพท์รองรับด้วย
  • มีปัญหากับ iPhone
  • คุณภาพสัญญาณไม่ดีนัก พี่ที่ไปด้วยกันใช้ T-Mobile บอกว่า 3G มาๆ หายๆ

AT&T

เนื่องจากโทรศัพท์ของผมไม่รองรับคลื่น 3G ของ T-Mobile ทางเลือกเดียวคือ AT&T ซึ่งก็ยุ่งยากพอตัว เพราะ AT&T ไม่สนับสนุนระบบพรีเพดมากนัก (เน้นขายมือถือติดสัญญาเป็นหลัก) ความถี่ 3G ของ AT&T คือ 850 และ 1900

AT&T มีบริการ prepaid planภายใต้ชื่อแบรนด์ว่า GoPhone โดยมีทั้งแบบขายพ่วงมือถือฟีเจอร์โฟนราคาถูก และแบบซื้อแพกเกจแยกเอง รายละเอียดตามลิงก์

แพกเกจ prepaid ของ AT&T จำกัดมาก อันดับแรกคือเป็นแพกเกจ 1 เดือนเท่านั้น (ซื้อใช้เป็นเดือนๆ ไม่ติดสัญญา) ไม่มีแบบรายวันหรือรายสัปดาห์ให้เลือก

ต่อมาคือเราต้องเลือกแพกเกจพื้นฐานที่รวมค่าโทรกับ SMS ไว้ก่อน ซึ่งแพกเกจต่ำสุดคือ $25 Monthly plan โทรออกได้ทั่วประเทศ 250 นาที, ส่งข้อความไม่จำกัด แต่ไม่มี data plan รวมมาด้วย

จากนั้นก็ต้องเลือกจ่าย topup ซื้อ data plan เพิ่มอีกทีหนึ่ง (ซื้อเฉพาะ data plan ไม่ได้) โดยคิดราคาตามปริมาณข้อมูล ดังนี้ (อัพเดตเท่าวันที่เขียนบล็อกนี้)

  • $25 for 1 GB
  • $15 for 200 MB
  • $5 for 50 MB

ผมดูสภาพแล้วการใช้งานคงต้องเลือกแพกเกจ $25 สำหรับ 1GB ดังนั้นต้องจ่ายเงินรวม $50 สำหรับ 1GB และโทรออก 250 นาทีครับ (มัดมือชกมาก)

วิธีการคือไปที่ร้าน AT&T เพื่อเปิดบริการ เผอิญว่าผมพลาดตรงนี้คือไปร้าน AT&T ใต้ตึก Rockefeller แล้วพนักงานบอกว่าเราต้องจ่ายค่าซิมอีก $25 ด้วย (รวมเป็น $75 แน่ะ) ซึ่งเราอ่านข้อมูลมาว่าค่าซิมฟรี แต่ตอนนั้นเพิ่งไปถึง ยังงงๆ แถมฝนตก ก็เลยตัดสินใจว่ามาถึงร้าน AT&T แล้วก็คงเหมือนกันหมดทุกที่ ไม่มีทางเลือก เลยยอมจ่าย $75 เพื่อแพกเกจ 1GB ไปดีกว่า

ปรากฏว่ามาเช็คกับร้าน AT&T อีกแห่งกลับไม่คิดค่าซิมซะงั้น เลยพอสรุปได้ว่าร้าน AT&T ใต้ตึก Rockefeller คงเป็นตัวแทนจำหน่าย ไม่ใช่ร้านของ AT&T โดยตรง อันนี้ถือว่าเสียค่าโง่ไป

การเปิดใช้ซิมต้องใช้สำเนาพาสปอร์ต (ถ่ายเอกสารได้ที่ร้านเลย) จ่ายเงินผ่านเครดิตการ์ดได้ และต้องเสียเวลา activate + เติมเงินอีกพอสมควร ส่วนคุณภาพสัญญาณดีเยี่ยม และสามารถ tethering ใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้จาก Pay as You Go Sim with Data Wikiมีประโยชน์มากมาย

9/11 Memorial and One World Trade Center

0
0

หลังเหตุการณ์ 9/11 ทำให้พื้นที่เกิดเหตุคืออาคาร World Trade Center หรือที่เรียกกันว่า Ground Zero กลายเป็นสถานที่ที่ควรไปเยือน

เวลาผ่านมาเกิน 10 ปี Ground Zero เปลี่ยนจากซากปรักหักพังกลายเป็น "อนุสรณ์สถาน"ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ของสหรัฐ (ในระยะยาวแล้วผมว่ามันน่าจะสำคัญพอๆ กับ Independence Hall ที่ฟิลาเดลเฟียหรือ Gettysburg เลยแหละ)

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ตรงนี้มีความสำคัญอย่างสูงในเชิงพาณิชย์ (และสัญลักษณ์ของการ "สร้างใหม่") ทำให้ Ground Zero ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ อนุสรณ์สถาน 9/11 Memorial และอาคาร World Trade Center ชุดใหม่ที่มีอาคาร Freedom Tower (หรือชื่อใหม่คือ One World Trade Center/1WTC) เป็นตัวชูโรง

9/11 Memorial

ตอนที่ผมไป (มีนาคม 2013) ส่วนของ Memorial สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว (เปิดปี 2011 ครบรอบสิบปี 9/11) ส่วนของ Museum ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันก็เสร็จในส่วนของตัวอาคารภายนอก เหลืองานตกแต่งภายใน สำหรับอาคาร 1WTC กำลังก่อสร้างอยู่เช่นกัน

9/11 Memorial

พื้นที่ของ 9/11 Memorial เป็นลานคอนกรีตเปิดโล่ง มีต้นไม้เล็กน้อย (เห็นว่าบางต้นเป็นต้นไม้ที่รอดจาก 9/11 ด้วย) จุดสำคัญคือ "รากฐาน"ของอาคาร WTC ทั้งสองหลังที่ถล่มลงไป กลายเป็น "หลุม"ขนาดใหญ่ที่มีน้ำตกไหลอยู่ตลอดเวลา และรอบบ่อน้ำก็สลักชื่อของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น

9/11 Memorial

คนออกแบบอนุสรณ์สถานอันนี้สุดยอดมากเลยนะครับ คือมันเรียบง่ายแต่มีความหมายและทรงพลังมาก ที่สำคัญคือจากจุดที่เรายืนริมบ่อน้ำ เรามองไม่เห็น "ก้นหลุม"ว่ามันลึกเท่าไร ให้ความรู้สึกว่ามันเป็น blackhole ที่ไร้จุดสิ้นสุด สะท้อนถึง grief ของคนอเมริกันจากเหตุการณ์ครั้งนี้

9/11 Memorial

ตัวของพิพิธภัณฑ์ยังสร้างไม่เสร็จ เป็นอาคารกระจกเอียงๆ หลังเล็กๆ ตามภาพ ข้างในยังมีอุปกรณ์การช่างสำหรับตกแต่งอยู่เลย

9/11 Memorial

ติดกันกับ Memorial ก็เป็นหมู่ตึก WTC ชุดใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่เช่นกันครับ

9/11 Memorial

Freedom Tower หรือ 1WTC หอคอยแห่งใหม่ (มีหอเดียว) ที่กำลังสร้างอยู่

Freedom Tower

Freedom Tower

Freedom Tower

จุดที่ผมประทับใจคืออาคารใกล้เคียงแถวๆ นั้นก็มีอนุสรณ์ของตัวเองเช่นกัน (เข้าใจว่าเป็นอาคารของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง)

9/11 Memorial

9/11 Memorial

9/11 Memorial

ที่ผมค่อนข้าง stunning มาก (กว่าตัว 9/11 Memorial หลัก) ก็คือป้ายพร้อมรูปภาพของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ พวกนี้แปะอยู่ข้างถนนเลยแหละนะ ไม่ยิ่งใหญ่เท่าอนุสรณ์สถานอย่างเป็นทางการ แต่มันให้ความรู้สึก "จริง"กว่ากันมาก

9/11 Memorial

9/11 Memorial

พื้นที่ของ 9/11 Memorial ให้เข้าชมได้ฟรี แต่ต้องขอตั๋วก่อนจากสำนักงานที่อยู่แถบๆ นั้น (เผอิญผมไม่ได้ไปขอเองเลยไม่ทราบรายละเอียด) และตรวจอาวุธละเอียดพอๆ กับขึ้นเครื่องบินครับ ใครจะไปเยี่ยมชมควรหาข้อมูลก่อนจะได้ไม่เสียเวลาหาตั๋ว-รอคิวตรวจก่อนเข้าชม

Lombardi's - First Pizzeria in US

0
0

Lombardi's Pizza NY

ตอนไปนิวยอร์กก็มีโอกาสได้กินอาหารร้านดังๆ กับเขาบ้างนะครับ ร้านที่มาแนะนำคราวนี้เป็น "ร้านพิซซ่า"ร้านแรกของประเทศสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1905 และก็ยังให้บริการต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ (ถือเป็นคนสร้างค่านิยมกินพิซซ่าขึ้นมาในนิวยอร์กด้วย)

ร้านมีชื่อว่า Lombardi's (เว็บ) ไม่ธรรมดาตรงที่มีเพจบน Wikipediaเป็นของตัวเองด้วย ในฐานะร้านดังที่มีประวัติศาสตร์สำคัญ

วิธีการเดินทางลองดูจากเว็บกันเองนะครับ ร้านอยู่ตรงหัวมุมถนนพอดี หาไม่ยาก

Lombardi's Pizza NY

หน้าร้านมีสัญลักษณ์สำคัญคือ โมนาลิซ่าถือพิซซ่า คล้องจองกันดี

Lombardi's Pizza NY

อาหารในร้านก็มีให้เลือกไม่เยอะมากตามแบบฉบับร้านฝรั่งที่มักมีเมนูไม่เยอะ แต่ทำให้อร่อยไปเลย ส่วนของพิซซ่าก็มีท่ามาตรฐาน Margherita ให้เลือก (รูปซ้าย) และแบบเลือกเครื่องปรุงใส่เพิ่มเองได้ ซึ่งถ้าจำไม่ผิดทีมที่ไปด้วยกันจะเลือกใส่ sausage เพิ่ม (รูปขวา)

Lombardi's Pizza NY

โดยรวมแล้วถือเป็นพิซซ่าอิตาลีต้นฉบับที่อบกันสดๆ แป้งบางกินง่าย แต่รสชาติโดยรวมแล้วผมยังให้เป็นรองร้าน Pizzeria da Baffetto ที่โรมเล็กน้อย (หรือว่าตอนนั้นหิวกว่าก็ไม่แน่ใจ) ส่วนที่อร่อยเกินคาดคือ ซีซาร์สลัด ที่สั่งมากินเสริม ใครตามไปก็แนะนำให้สั่งมาด้วยครับ


New York from The Top

0
0

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในนิวยอร์กที่ผมไม่ได้ไปเยือนคือ ตึก Empire State อดีตแชมป์ตึกสูงที่สุดในโลก (สงสัยต้องหาเรื่องไปแก้มือ) อย่างไรก็ตาม ก็โชคดีที่มีโอกาสได้ขึ้นตึกสูงเพื่อดูวิวทิวตึกอยู่บ้าง

ตึกแรกที่ไปคือโรงแรม Le Parker Meridienซึ่งอยู่ติดกับ Central Park และมีห้องจัดเลี้ยง Penthouse ที่เห็นวิว Central Park จากมุมสูงด้วย

Central Park

ในเว็บเพจของโรงแรมเขียนไว้ว่า "ถ้าคุณโชคดีจองห้อง Penthouse ได้"ซึ่งเรื่องแบบนี้ ซัมซุงเนรมิตได้ครับ (กำลังเงินเขาหนาจริงๆ ยอมเขาเถอะ) งานเลี้ยงรับรองอาหารเที่ยงระหว่าง Samsung Asia กับผู้สื่อข่าวทั้งหมดในเอเชีย (ประเทศละโต๊ะ) จึงจัดขึ้นที่นี่

P1019292

P1019304

ไหนๆ ก็ถ่ายรูปอาหารมาแล้ว แปะไว้ด้วยเลยแล้วกัน

P1019303

เริ่มจากจานเรียกน้ำย่อย เป็นสลัดผักขมซอสส้ม โรยหมี่กรอบ (มาได้ไงไม่รู้) พร้อมติด Motorola ของผมมาด้วย (ไปงานซัมซุงแต่ใช้โมโต)

P1019317

อาหารจานหลัก มีให้เลือก 2 อย่าง อันนี้เป็นไก่ จานของคนอื่นครับ ไม่ได้ชิมเอง

P1019318

จานของผมเป็นปลากระพง (Seabass) พร้อมข้าว (ที่ไม่อร่อยและไม่เข้ากันเลย) ปลาจืดๆ ซอสงั้นๆ ปลาไทยอร่อยกว่าเยอะ

P1019320

ของหวานเป็นมูสช็อคโกแลตในถ้วยช็อกโกแลต กินขำๆ

P1019324

วิวต่างหากที่สำคัญกว่า อันนี้เป็น terrace นอกห้องจัดเลี้ยงให้ออกไปถ่ายภาพทิศอื่นๆ บ้าง

Top View NY

ผมเรียกภาพนี้ว่า มุมสไปเดอร์แมน

Top View NY

แนวตั้งบ้างตามสมควร

Top View NY

Top View NY

Top View NY

ตึกที่สองเป็นโรงแรมที่ผมนอนอยู่ตลอด 5 คืนในนิวยอร์กครับ Marriott Marquisที่อยู่กลาง Times Square พอดี

ห้องนอนหน้าตาประมาณนี้

New York Marriott Marquis

New York Marriott Marquis

ห้องน้ำ

New York Marriott Marquis

วิวห้องมองเห็น Times Square แบบเฉียงๆ (จากชั้น 43)

TImes Square

วันสุดท้ายเจอหิมะถล่มก็ดูไม่ค่อยจืดเท่าไรนะครับ

P1019953

โรงแรมมีระเบียงภายใน และใช้ลิฟต์ที่ให้บรรยากาศไซไฟแบบพวก Blade Runner มากๆ

New York Marriott Marquis

ชั้นบนสุดของโรงแรม (ชั้น 48) เป็นภัตตาคารชื่อ The View เห็นวิวนิวยอร์กเต็มๆ แถมเป็นภัตตาคารหมุนแบบที่นิยมบนยอดตึกด้วย (หมุนเร็วอีกต่างหาก)

The View - Marriott Marquis

เห็นวิวแม่น้ำเลยด้วย

The View - Marriott Marquis

โรงแรมข้างๆ W เห็นแล้วนึกถึง Wayne Enterprise มันคงได้แบบมาจากแถวๆ นี้แหละ

The View - Marriott Marquis

ตึก Chrysler จากระยะไกล

The View - Marriott Marquis

อาหารเป็น full course menu เริ่มจากซุปอะไรสักอย่างที่ลืมไปแล้ว (พยายามปรับ white balance สุดชีวิตแล้วทำได้แค่นี้)

จานหลัก ของผมสั่งปลาอีก เป็นแซลมอนย่าง ก็เฉยๆ ครับไม่อร่อยเท่าไร (สั่งอาหารไม่ค่อยเข้าเป้าเลย)

ล็อบสเตอร์ของพี่ที่ไปด้วยกัน ไม่ได้ชิมหรอกนะ

ของหวานก็มีให้เลือกหลายอย่าง อันนี้คือ New York Cheesecake ถ้าจำชื่อไม่ผิด อร่อยใช้ได้เลย

การผจญภัยในนิวยอร์กตอนนี้ก็คงจบลงแค่นี้ครับ หมดเซ็ตโรงแรมล่ะ

Meatpacking District

0
0

ชื่อฟังดูโหดแปลกๆ แต่มันคือ "ย่าน"ที่กำลังมาแรงที่สุดของนิวยอร์กครับ

ประวัติศาสตร์ของ Meatpacking Districtก็ตามชื่อเป๊ะๆ คือโรงแพ็กเนื้อสัตว์ในอดีต ปัจจุบันโรงงานแพ็กเนื้อล้มหายตายจากไปหมดแล้ว พอกลายเป็นโกดัง-อาคารโล่งๆ กลางแมนฮัตตัน มันจึงเป็น "ทำเลทอง"ของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาแปลงกายเป็นย่านช็อปปิ้งแนวฮิปๆ แทน ภาพนี้น่าจะเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงได้ดีมาก

Meatpacking District

ในซีรีส์ชุด Sex and the City ตัวละครสำคัญคนหนึ่งในเรื่องคือ Samantha ก็ย้ายบ้านมาพักอยู่ที่นี่ ทำให้ Meatpacking District โด่งดังยิ่งๆ ขึ้นไปอีก (เขาเล่ามาแบบนี้ ผมเคยดูแต่จำอะไรไม่ได้เลย ><)

กำแพงข้างหน้าขาย veal แต่ข้างในกลายเป็นขายอย่างอื่นไปแทนหมดแล้ว เหลือแต่บรรยากาศ

P1019339

ตัวอาคารภายนอกยังเป็นโกดัง แต่ดีไซเนอร์ชื่อดังๆ มาจับจองกันพร้อมหน้า

P1019340

P1019341

P1019343

P1019344

นอกจากขายเสื้อผ้า ก็มีร้านเฟอร์นิเจอร์แนวฮิปๆ ของแต่งบ้าน อะไรแบบนี้ครับ

P1019337

บรรยากาศทั่วๆ ไป แถวแยกที่คนเดินผ่านเยอะๆ ก็มีพวกร้านอาหาร บาร์ ร้านกาแฟบ้าง

P1019348

P1019349

P1019358

Apple Store ก็มีนะ อยู่ตรงหัวมุมเลย

Apple Store NY 14th Street

สาขานี้ไม่เด่นเท่ากับ Fifth Avenue แต่ก็มี "บันไดแก้ว"ที่เป็นสัญลักษณ์ด้วยเหมือนกัน

P1019353

P1019357

P1019354

นอกจากแอปเปิลแล้วยังมีสิ่งนี้ครับ Google สำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก อยู่แถวนี้เอง

Google Office NY

อย่างอื่นที่น่าสนใจแถวๆ นี้คือ Chelsea Market เป็นโกดังเก่าขนาดใหญ๋ที่แปลงกายมาเป็นตลาดสุดฮิป (พยายามทำแนวย้อนยุค สไตล์คล้ายๆ Covent Garden ที่ลอนดอน แต่ผมชอบที่นี่มากกว่านะ) เริ่มจากแค่ผังของตลาดก็เท่แล้ว

Chelsea Market

เพดานมีชั้นเดียวเปลือยๆ แบบนี้ แต่ข้างในร้านอัดแน่น

Chelsea Market

P1019363

ตกแต่งมีแนว

Chelsea Market

บ้างก็สไตล์กำแพงอิฐ

P1019362

ทางเข้าทำซะเท่เลย

Chelsea Market

Chelsea Market

ร้านขายช็อกโกแลต

Chelsea Market

อาหาร

Chelsea Market

ขายเครื่องเทศ คนขายมันเจ๋งวุ้ย แลบลิ้นให้ด้วย

Chelsea Market

Chelsea Market

เข้าใจว่าขนมปัง

Chelsea Market

ของชำร่วยน่ารักๆ

Chelsea Market

ร้านกาแฟ

Chelsea Market

ใครที่มีโอกาสได้ไปนิวยอร์กก็ลองไปเดินเล่นๆ ดูได้ครับ น่าจะเป็นย่านแปลกใหม่อีกย่านหนึ่งที่ tourist ส่วนใหญ่อาจไม่สนใจนัก

Keyword:

Joe' Shanghai

0
0

Joe' Shanghai เป็นร้านอาหารจีนในนิวยอร์กที่มีคนแนะนำให้ไปชิมครับ ตำแหน่งของร้านก็อยู่ใน China Town นั่นแล (เว็บร้าน, พิกัดร้าน)

ร้านมันจะอยู่หลบเข้าไปในซอยนิดนึง ไม่ติดถนนใหญ่ซะทีเดียว หน้าตาดังภาพ

Joe' Shanghai

อาหารเด่นของที่นี่คือ "ซ่างไห่เสี่ยวหลงเปา"ครับ อร่อยมาก ถ้าจำไม่ผิดมีไส้หมูกับไส้ปูมั้ง อร่อยทั้งคู่

Joe' Shanghai

อาหารอย่างอื่นที่สั่งมา กุ้งผัดซอสอะไรสักอย่าง อันนี้โอเค

Joe' Shanghai

จานโปรดของผมคือ ปลาหมึกผัดพริกเกลือ (หน้าตายังกะดอกกะหล่ำ) แต่ร้านนี้ทำไม่ค่อยแซบเท่าไร จืดๆ

Joe' Shanghai

เป็ดอบ อร่อยใช้ได้ ให้เป็ดเยอะมาก

Joe' Shanghai

แฟนหมูกรอบแบบเราย่อมไม่พลาด ลองสั่ง crispy pork ดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่หมูกรอบแต่เป็นหมูชิ้นชุบแป้งทอดแทน (มีงี้ด้วยเหรอฟะ) สรุปว่าร้านนี้ไม่มีหมูกรอบแบบร้านจีนทั่วไป

Joe' Shanghai

หลังจากกินร้านดังๆ ในนิวยอร์กมาพอสมควร ผมก็พอเข้าใจแล้วว่ากูเกิลซื้อ Zagat ไปทำไม เพราะฐานข้อมูลการรีวิวร้านอาหารของ Zagat นั้นครอบคลุมและมีคุณภาพมากๆ มีความน่าเชื่อถือสูง และสามารถเอาไปต่อกรกับ Yelp หรือ Foursquare ได้นั่นเองครับ

Facebook Home

0
0

บทวิเคราะห์แบบนั่งเทียนเขียนจริงๆ เพราะยังไม่มีใครได้ใช้หรือสัมผัสของจริงแน่ๆ

  • Facebook Home เป็นเกมที่ถูกต้องของ Facebook เพราะเป็นการชิง "พื้นที่-ความสนใจ"ของผู้ใช้ เป็นวิธีคิดแบบเดียวกับที่กูเกิลลงทุนทำ Android นั่นแล
  • แต่ Facebook ฉลาดกว่าตรงที่ไม่ต้องทำ OS ทั้งตัวแต่ทำเฉพาะ launcher แทน ลงทุนน้อยกว่าแต่ได้ชิงพื้นที่อันมีค่าที่สุดบนมือถือเลย อันนี้ในระยะยาวมันมีความเสี่ยงที่กูเกิลจะกีดกัน ซึ่งในระยะยาว Facebook ก็คงต้องทำ OS เอง (คงเป็น Android fork ลักษณะเดียวกับ Amazon)
  • กรณีของ Facebook Home แสดงให้เห็นชัดมากว่า Facebook/Google มีความคล้ายกันมากๆ (ตรงที่เป็นบริษัทเว็บเหมือนกัน) ดังนั้นแม้หน้าฉากสองบริษัทนี้จะไม่ค่อยชอบกัน แต่ในแง่ยุทธศาสตร์แล้ว ธรรมชาติของธุรกิจที่คล้ายกันทำให้ยุทธศาสตร์มันออกมาเหมือนกันมากๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
  • Google คงจะใช้ยุทธศาสตร์ "เป็นเพื่อนกันนะ"กับ Facebook นั่นคือตราบใดที่ Facebook Home ยังมี Google Search และเข้ากันได้กับ Standard Android กูเกิลก็ยินดีด้วย ส่วน Google+ จะถูกกันออกไปแค่ไหน กูเกิลจะทำเฉยๆ ไว้ก่อน เพราะผลประโยชน์ที่มี Facebook Home บน Android นั้นสำคัญกว่า
  • Facebook Home ยังมีอะไรให้เล่นอีกพอสมควร พัฒนาต่อไปได้อีกหลายจุดในแง่ integration ระหว่างบริการออนไลน์ กับซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมาบนเครื่อง ที่พอนึกออกได้แก่
    • Gallery ที่เชื่อมกับ Facebook Photos เป็นอันเดียวไปเลย อ่านคอมเมนต์ กดไลค์ได้จากแอพ Gallery เลย
    • Instagram Home ถ้าเอาข้อมูลใน Instagram มาเรียงแบบเดียวกับ Flipboard บนหน้า Cover Feed น่าจะเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี และช่วยให้ Facebook เอาชนะ Twitter ในแง่ข้อมูล (ที่เป็น visual) ของคนดังหรือดาราได้ด้วย (ถ้าทำได้จริงๆ ซื้อไปพันล้านก็คุ้มมาก)
    • App Platform อีกสักพักผมคิดว่ามันจะทำแบบ "แอพบน Facebook Web จะมาอยู่บน Facebook Home โดยอัตโนมัติ"แค่ล็อกอินก็เสร็จแล้ว เป็น seamless experience แบบเดียวกับ Gmail Web/Android ยังไงยังงั้น
  • Facebook Home กลายเป็น high profile third party app บน Android ซึ่งเกิดจาก "ความเปิด+ความนิยม"ของ Android ถ้ามองในภาพรวมมันคือ evolution อีกขั้นของแพลตฟอร์ม Android
  • คำถามคือ iOS ที่ใช้นโยบาย "ปิด"จะแก้ปัญหานี้ (high profile third party app ไปลงแพลตฟอร์มคู่แข่ง) ได้อย่างไร เพราะในแง่การตลาดแล้ว iOS เสียเปรียบมากที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ลักษณะเดียวกัน คำถามนี้ผมลองคิดคำตอบมาคืนนึงแล้วตอบไม่ได้ว่า ถ้าเราเป็นแอปเปิล เราจะแก้เกมอย่างไร
  • อีกประเด็นที่สงสัยและยังไม่ได้คำตอบคือ algorithm ในเรื่องการเลือกภาพมาเป็น Cover Feed จะเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นว่ามือถือของเราจะเต็มไปด้วยภาพสลดหดหู่ คนตาย เด็กป่วย หมาแมวไม่มีเจ้าของ ฯลฯ ที่เพื่อนๆ (ผู้ไม่ค่อยประสีประสาของเรา) ขยันแชร์กันมาหรือเปล่า

Bangkok Ingress Meetup #1

Viewing all 557 articles
Browse latest View live




Latest Images